เด็กสาวไทยกลายเป็นแชมป์ตั้งท้องก่อนวัยอันควร
เพจเฟซบุ๊ค OHPA TV โอป่ะ ทีวี เผย เด็กสาวไทยกลายเป็นแชมป์ตั้งท้องก่อนวัยอันควร โดยโพสท์ข้อมูลว่า ล่าสุดจากผลการสำรวจทั่วโลกนั้น ในระดับเอเชีย เด็กสาวไทยกลายเป็นแชมป์ตั้งท้องก่อนวัยอันควรที่มากเป็นอันดับ 1
ในแต่ละปี มีจำนวนสตรีที่ตั้งครรภ์ทั่วโลกถึง 208.2 ล้านคน ซึ่งเป็นการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์ถึงร้อยละ 41 ในขณะที่ทวีปเอเชีย มีจำนวนสตรีที่ตั้งครรภ์ถึง 18.8 ล้านคน และมีอัตราการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์ถึงร้อยละ 38 และสำหรับประเทศไทยนั้น อัตราสตรีที่ตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจนั้นเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะเยาวชนในวัยเรียน จากสถิติพบว่าจำนวนสตรีไทยที่อายุน้อยกว่า 20 ปีตั้งครรภ์ในวัยเรียนมีมากเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย หรือมากกว่า 130,000 ราย หรือกว่าร้อยละ 56 และยังพบว่าอายุของเยาวชนไทยที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก หรืออายุของสตรีที่ตั้งครรภ์ยังลดลงเรื่อยๆ โดยสาเหตุหลักของการตั้งครรภ์ในสตรีอายุต่ำกว่า 20 ปี ก็คือ การที่ไม่มีความรู้ หรือไม่รู้จักวิธีคุมกำเนิด จึงไม่ได้ป้องกันขณะมีเพศสัมพันธ์
ปัญหาของการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์ การคุมกำเนิด และการวางแผนครอบครัว โดยเฉพาะที่เกิดกับวัยรุ่น จึงเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งทั้งนี้ได้มีการจัดงานประชุมวิชาการระดับภูมิภาค “MSD AP Contraceptive Summit 2012” ขึ้น เพื่อเป็นเวทีในการเผยแพร่ผลการศึกษา และแลกเปลี่ยนความรู้ในงานวิจัยด้านการคุมกำเนิด โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยาจากนานาประเทศ และที่สำคัญเพื่อสื่อสารเรื่องวิธีการคุมกำเนิดและการวางแผนครอบครัว รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องสู่ภาคประชาชนอย่างจริงจัง
ผศ.นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ หัวหน้าหน่วยโรคติดเชื้อทางนรีเวชวิทยาและโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์สตรี ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า
“ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีทางเลือกการคุมกำเนิดที่หลากหลาย และสตรีไทยมีอัตราการใช้วิธีการคุมกำเนิดที่ค่อนข้างสูง แต่อัตราการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์นั้น ก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอายุของสตรีที่ตั้งครรภ์ก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ ตัวอย่างล่าสุด คือ ทางโรงพยาบาลศิริราชมีสตรีที่มาคลอดบุตรอายุเพียง 12 ปีเท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของการคุมกำเนิดในบ้านเรา ซึ่งส่วนมากเกิดจากสตรีไทยจำนวนมาก ยังคงขาดความรู้ความเข้าใจในการคุมกำเนิดอย่างถูกวิธี ความเชื่อ ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการใช้ยาคุมกำเนิดด้วย'
ฮอร์โมน ตลอดจนการคุมกำเนิดที่ไม่ถูกวิธี รวมถึงปัญหาการใช้ยาคุมฉุกเฉินในวัยรุ่น ซึ่งยังส่งผลต่อปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นความสำส่อนทางเพศ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์”
ปัจจุบัน มีความเข้าใจผิดต่อวัตถุประสงค์ในการใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นอย่างมาก เพราะยาคุมฉุกเฉินมีไว้สำหรับใช้ในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น และประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินนั้นต่ำกว่ายาคุมกำเนิดปกติทั่วไปถึงร้อยละ 70 ทำให้ความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์เพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมน ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้สตรีไทยเลือกใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นๆ ที่อาจมีประสิทธิภาพที่ต่ำกว่า หรืออาจนำไปสู่การใช้ยาคุมกำเนิดที่ไม่ถูกวิธี ทำให้ความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์เพิ่มขึ้นเช่นกัน และยังโยงไปถึงปัญหาของการทำแท้งอีกด้วย
ที่ผ่านมา สตรีไทยมักเชื่อว่า การทานยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดผลข้างเคียงแก่ร่ายกาย ไม่ว่าจะเป็นรอบเดือนมาไม่ปกติ การมีบุตรยากในอนาคต และอาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ ซึ่งจากการศึกษาวิจัยที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า การทานยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนนั้น ช่วยให้ร่างกายปรับสมดุล ทำให้รอบเดือนมาปกติและเที่ยงตรงมากขึ้น ช่วยลดการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน ลดการเกิดของเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือช็อกโกแลตซี้ด ช่วยควบคุมการตกไข่ และยังป้องกันมะเร็งรังไข่และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกอีกด้วย
รศ.นพ.อรรณพ ใจสำราญ หัวหน้าหน่วยวางแผนครอบครัวและอนามัยการเจริญพันธุ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “จริงๆ แล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการคุมกำเนิดส่วนมากนั้น มักเกิดจากการใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างไม่ถูกต้อง เช่น การทานยาเม็ดคุมกำเนิดที่ไม่ต่อเนื่อง และความเชื่อผิดๆ ที่เห็นว่าการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมนอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ฮอร์โมนในยาเม็ดคุมกำเนิดนั้น เป็นฮอร์โมนชนิดเดียวกับที่มีในร่างกาย ซึ่งในปัจจุบันยาเม็ดคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดถึง 99 เปอร์เซ็นต์ หากใช้อย่างถูกวิธี และยาเม็ดคุมกำเนิด ยังสามารถใช้ได้ตั้งแต่ผู้ที่มีประจำเดือนครั้งแรก ไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน หากมีสุขภาพแข็งแรงดี และไม่มีโรคประจำตัว”
ทั้งนี้ ปัจจัยทางร่างกายและความต้องการของสตรีแต่ละบุคคลนั้นไม่เหมือนกัน ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับสตรีบุคคลหนึ่ง อาจไม่เกิดกับอีกบุคคลก็เป็นได้ ที่สำคัญโรคประจำตัวบางอย่าง ก็อาจจะส่งผลต่อข้อห้ามในการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด เช่น เป็นมะเร็งที่อวัยวะสืบพันธุ์ มะเร็งเต้านม โรคตับ โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือโรคความดันโลหิตสูง ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ สตรีที่เริ่มใช้ยาคุมกำเนิดครั้งแรก หรือหากไม่แน่ใจว่าจะเลือกวิธีการคุมกำเนิดแบบไหนดี ควรไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อที่จะได้เลือกวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับตนเอง และยังจะได้รับคำแนะนำในการใช้วิธีการคุมกำเนิดอย่างถูกต้องด้วย.
https://www.facebook.com/ohpatv/photos/a.488375188028394.1073741828.487284794804100/593122614220317/?type=3&theater

















