โรมันในด้านมืด
หากถามว่าคุณรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับโรมัน (ติ๊กตอกๆๆ) อันดับแรกเลยคุณต้องนึกถึงจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ แล้วอะไรอีก เอากุสตุส ซีซาร์กับกองทัพอันเกรียงไกร แล้วอะไรอีก สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่อย่างสนามกีฬาโคลอสเซอุม (โคลอสเซียม) นักสู้กลาดิเอเตอร์ นักพูดจอมคารมผู้มีวาทศิลป์เป็นเลิศอย่างซิเซโร หรือจักรพรรดิเนโรจอมเพี้ยน ฮ่าๆๆ ฯลฯ และ ฯลฯ
แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร หรืออะไร และไม่ว่าสิ่งนั้นจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนในโลกนี้ล้วนมี ‘ด้านมืด’ ด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างโรมัน ที่เมื่อเวลาผันผ่านไปหลักฐานต่างๆ ก็ช่วยให้เราได้เห็นชีวิตอีกด้านหนึ่ง (หรือหลายด้าน) ของผู้คนในยุคสมัยนั้นมากขึ้น
และไม่ว่าเราจะมองภาพชาวโรมันดูดีมีชาติตระกูลสูงส่งสง่างาม เป็นผู้นำทางวัฒนธรรมขนาดไหน และคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ได้ว่า โรมันก็ยังมีด้าน ‘ดาร์คๆ’ ที่เราไม่นึกไม่ฝันและแทบจะจินตนาการไปไม่ถึงกันเลยทีเดียว
ถ้างั้นเราจะไปเที่ยวโรมัน แล้วคุณล่ะ ไปเที่ยวด้วยกันมั้ย!
กระสอบสยอง
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องที่ชาวโรมันใช้สิงโตไล่ล่าชาวคริสต์ในช่วงต้นของการเผยแพร่ศาสนา แต่นั่นยังสยดสยองน้อยกว่าหากนำมาเทียบกับกฎหมายโรมันที่ระบุการลงโทษสำหรับความผิดร้ายแรงที่สุด คือ การฆ่าพ่อ (ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานว่ามีการลงโทษเกิดขึ้นจริงๆ แต่มันอาจเป็นไปได้ เพราะในสังคมโรมันถือ ‘พ่อ’ เป็นใหญ่มากๆ) วิธีการลงโทษก็คือ หากใครถูกตัดสินว่ากระทำผิดจะถูกเปลื้องผ้า โบย แล้วก็ขว้างด้วยก้อนหิน จนเลือดและเนื้อรวมเป็นหนึ่งเดียว จากนั้นก็นำร่างเปลือยเปล่าที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดยัดเข้าไปในกระสอบใบใหญ่ที่มีสุนัข งู และไก่ อยู่ในนั้น ก่อนมัดปากกระสอบแล้วโยนลงแม่น้ำไทเบอร์ให้จมน้ำตายไปด้วยกัน หรือไม่ก็ถูกสัตว์ร้ายฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ
รู้แล้วเป็นไง โหดสัสไหมล่ะโรมัน
ที่มาของภาพ
พี่เลี้ยงที่แสนดี?
ฟังให้จบก่อนแล้วค่อยตอบคำถามนะ คืออย่างนี้ สมมติว่าคุณเป็นพี่เลี้ยงที่ดูแลเด็กหญิงคนหนึ่งมาตั้งแต่เล็ก จนเธอโตเป็นสาวรุ่นอายุสักสิบสามสิบสี่ปี วันหนึ่งเธอไปพบชายหนุ่มที่รักใคร่ชอบพอกัน คำถามก็คือ คุณจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นการแอบนัดเจอกันของคนทั้งสองไหม คุณจะยอมให้เธอมีช่วงเวลาดีๆ
ที่มีความสุขก่อนที่เธอจะตกลงปลงใจแต่งงานกับชายหนุ่มคนที่เธอรักได้หรือเปล่า คุณจะช่วยปกปิดเรื่องรักลับๆ ของทั้งคู่ไหม คุณก็เห็นอยู่ว่าความรักของทั้งสองนั้นงดงามและโรแมนติกจะตายเหมือนโรมีโอกับจูเลียตเลย คุณจะส่งเสริมให้เธอและเขาได้ครองรักกันตราบชั่วฟ้าดินสลายไหม
โดยมีข้อแม้ว่าหากคุณถูกจับได้ว่ารู้เห็นเป็นใจให้คนทั้งสองแอบดอดไปพลอดรักกันไม่ว่าจะในสุมทุมมุมมืดหรือที่บ้านหลังไหน อันเป็นการสนับสนุนให้เธอคบชู้สู่ชาย คุณในฐานะพี่เลี้ยงจะถูกจับกรอกตะกั่วหลอมเหลวจนตาย เพื่อความรักของคนทั้งสอง คุณจะยอมเสี่ยงไหม ค่อยๆ คิดก็ได้ ไม่ต้องรีบ...
อะไรๆ ก็ ‘จู๋’
อาจเรียกได้ว่ามี ‘จู๋’ อยู่ในทุกที่ในโรมัน ขอย้ำว่าทุกที่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นจู๋บนเครื่องประดับของเด็ก จู๋บนผนัง ไม่เว้นแม้กระทั่งจู๋ที่เป็นต่างหู กระดิ่งลมจู๋เป็นของที่ระลึก อุแม่จ้าว! มีอนุสาวรีย์จู๋ด้วยง่ะ! เชื่อเขาเลย แต่เชื่อไหม พูดถึงเรื่องจู๋ๆ นี่นะ แม้แต่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอังกฤษยังมีต่างหูสมัยโรมันซึ่งทำเป็นรูป ‘จู๋’ ออกท่าทางเหมือนคนที่มีใบหน้ากับมือด้วยล่ะ ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมแหวนเล็กๆ ของเด็กจึงต้องมีจู๋อยู่ด้วย นั่นเป็นเพราะว่าชาวโรมันเขาเชื่อกันว่ามันเป็นเครื่องรางนำโชคและขับไล่สิ่งชั่วร้ายแล้วคุณล่ะ อยากได้ ‘จู๋’ไปเป็นที่ระลึกสักอันไหม
เลือดสดๆ ไหมคร้าบ
เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม ท่องเที่ยวไปในด้านมืดของโรมัน แวะหาอะไรดื่มกันหน่อยไหม ดูซิว่ามีสถานบันเทิงแบบโรมันๆ อะไรบ้างที่น่าสนใจ แล้วนั่นเสียงโห่ฮาอะไรดังกระหึ่มกึกก้อง เราลองไปดูกันหน่อยไหม โอ้วว! นั่นมันกลาดิเอเตอร์นี่ คนโรมันชอบดูทาสสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งท่ามกลางสายตาของนายทาสนับร้อยที่จับจ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย
และที่น่าพะอืดพะอมจนอยากจะอ้วกก็คือพวกนายทาสยังดื่มเลือดของนักสู้ (gladiator) ที่พ่ายแพ้และตายในสนามต่อสู้ เพราะพวกเขาเชื่อกันว่ามันคือยาวิเศษ และต้องเป็นเลือดที่ยังอุ่นๆ (ไม่ใช่เอาไปต้มให้สุกเหมือนต้มเลือดหมูใบตำลึงนะ) ทำให้เกิดพ่อค้าหัวใสเจาะเอาเลือดจากร่างไร้วิญญาณของนักสู้ทันทีที่ศพถูกหามออกมาจากสังเวียน ก่อนจะนำไปขายแบบด่วนจี๋ “เลือดสดๆ ไหมนาย เลือดสดๆ แท้ๆ ของนักสู้กลาดิเอเตอร์ที่เพิ่งตายเมื่อตะกี้นี่เอง” ลองสักแก้วไหมคุณ
โบยฉันที
เรามากันเกือบจะสุดซอยแล้วล่ะ เอ้อ-เกือบลืมไป! คุณรู้ไหมว่าชาวโรมันเขามีพิธีเฉลิมฉลองอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะมากมายเลยล่ะ แต่มีอยู่พิธีหนึ่งเรียกว่า ‘ลูเปร์คาเลีย’ (Lupercalia) จะเรียกว่างานประจำปีส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ก็ไม่ผิด เพราะจัดขึ้นทุกเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นเดือนที่ 12 ตามปฏิทินโรมัน พิธีเริ่มขึ้นในถ้ำแห่งหนึ่งบนเนินเขาปาลาไทน์ ที่ที่นักบวชแห่งลูเปร์คุสจะมารวมกันแล้วถอดเสื้อผ้าออก (รู้นะคิดอะไรอยู่ ใจเย็นๆ ก่อนคุณ) แล้วเอาหนังแพะมาห่ม ก่อนลงมือบูชายัญแพะ 2 ตัวกับสุนัขอีก 1 ตัว เอาเลือดสัตว์พวกนั้นป้ายไปบนหน้านักบวชที่อ่อนพรรษาที่สุด แล้วใช้ผ้าขนสัตว์ชุบน้ำนมเช็ดออก ก่อนจะแข่งกันตะเบ็งเสียงหัวเราะราวกับพวกบ้า!
ยังไม่จบนะ อย่าคิดว่ามันจะจบง่ายๆ จากนั้นพวกเขาก็เฉือนหนังแพะมาทำเป็นแส้ (ไม่มีโซ่และกุญแจมือ) แล้ววิ่งไปทั่วเมืองเหมือนพวกชีเปลือยมีเพียงหนังแพะปกปิดบางส่วนเอาไว้ พ่อชีเปลือยพวกนี้จะใช้แส้ไล่โบยใครต่อใครเขาไปทั่วไม่เลือกหน้า ที่ตลกร้ายก็คือบรรดาชาวบ้านร้านตลาด (โดยเฉพาะพวกผู้หญิง) ต่างออกมายืนออ-รอกันตามท้องถนนให้พวกชีเปลือยโบยเอาๆ ด้วยความยินดีปรีดาเป็นที่สุด เพราะว่ากันว่าใครที่ถูกโบยจะมีลูกและคลอดง่าย แล้วเขาก็หวดกันเรื่อยมาจนชาวคริสต์ยกเลิกไปในคริสต์ศตวรรษที่ 5 นี้เอง
อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิโรมันอันยิ่งใหญ่ได้มอบมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมให้กับคนรุ่นหลังไว้ไม่น้อย แต่ละสิ่งแต่ละอย่างล้วนทำให้เราทึ่ง-ตะลึงงันในความสามารถอันเอกอุท่ามกลางขีดจำกัดทางวิทยาการ เพียงแต่ข้อมูลด้านมืดที่ว่ามานี้ทำให้ปากที่อ้าเพราะความตกตะลึงของเรายิ่งถ่างกว้างขึ้นไปอีกก็เท่านั้น
ขอบคุณที่เดินทางท่องเที่ยวไปกับเรา, สวัสดี














