ย้อนรอยโรคระบาดในไทย ก่อนเจอวิกฤตเชื้อไวรัสโควิด-19
จากสถานการณ์ โรคปอดอักเสบชนิดรุนแรงที่เกิดจาก “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019” หรือ “ไวรัสโควิด-19” ที่กำลังระบาดกระจายไปทุกมณฑลและเขตการปกครองอื่นๆ ของจีน และหลายประเทศทั่วโลกและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นอีก จนส่งผลกระทบทุกวิชาชีพ

แต่ทว่าเด็กรุ่นหลังอาจไม่เคยรู้ว่าประเทศไทยเคยเจอวิกฤตโรคระบาดอย่างหนัก แต่ก็ผ่านกันมาได้ จะมีโรคอะไรบ้างนั้นไปดูกัน…
โรคห่า กาฬโรคและอหิวาตกโรค

เริ่มต้นพุทธศักราช 2563 ประเทศไทยเผชิญกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ที่กำลังแพร่กระจายทั่วโลก กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศเกี่ยวกับโรคติดต่ออันตราย (ฉบับที่ ๓) ระบุว่าโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หอบเหนื่อย หรือมีอาการของโรคปอดอักเสบ ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการระบบทางเดินหายใจล้มเหลว และอาจถึงขั้นเสียชีวิต”
ย้อนกลับไปดูการระบาดของโรคร้ายแรงในประวัติศาสตร์สยาม มีเหตุการณ์น่าสนใจที่เกิดขึ้นและจารึกไว้หลายเหตุการณ์ กรุงศรีอยุธยายามเผชิญกับ “ความตายสีดำ” หรือ “Black Death”
โรคร้ายแรงในสยาม อันดับแรก คือ กาฬโรค หรือ “โรคห่า” กาฬโรคระบาดไปหลายภูมิภาคทั่วโลก จนถึงแถบอุษาคเนย์ เนื่องมาจากการติดต่อค้าขายทางสำเภากับชาติจีน กล่าวได้ว่ากาฬโรคระบาดในช่วงเวลาคาบเกี่ยวก่อนการตั้งกรุงศรีอยุธยา
โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ

เป็นอีกโรคที่หลาย ๆ คนคงรู้จักกันเป็นอย่างดีครับ เพราะโรคระบาดอย่าง“ฝีดาษ”เป็นสาเหตุที่ทำให้กษัตริย์ของไทยเราสวรรคตไปถึง2พระองค์ด้วยกัน นั่นคือ พระมหากษัตริย์ ลำดับที่ 11 ของกรุงศรีอยุธยา และ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช… งั้นก็พอจะรู้กันแล้วใช่มั้ยล่ะว่า โรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษเนี้ย มีมาน๊านนานตั้งแต่โบราณแล้วเช่นกัน
มาทำความรู้จักฝีดาษกันแบบเผิน ๆ หน่อย ทำไมโรคนี้ถึงกลายเป็นหนึ่งในโรคระบาดร้ายแรงที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทย โรคนี้ถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรงมากครับ เพราะผู้ติดเชื้อจะมีอาการผื่นขึ้นตามตัว ตามมาด้วยอาการไข้สูง ปวดหัว และ สามารถเกิดอาการชักได้เลยทีเดียว นอกจากนี้ผู้ติดเชื้อยังสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ด้วย โดยมีอัตราการตายสูงถึง 30%โดยเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า “วาริโอลา เมเจอร์” (ไข้ทรพิษชนิดอ่อน มีความรุนแรงน้อย) “วาริโอลา ไมเนอร์” (ไข้ทรพิษชนิดรุนแรง)
ไข้หวัดใหญ่ 2009 (2552)

ไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่กลุ่ม เอ (เอช1 เอ็น1) ที่มีรายงานพบเชื้อในคนครั้งแรกเมื่อเดือน เม.ย. 2552 เริ่มแพร่ระบาดในเม็กซิโก และสหรัฐ ก่อนจะแพร่ระบาดไปหลายประเทศทั่วโลก
เชื้อสายพันธุ์นี้มีองค์ประกอบพันธุกรรมที่เป็นผลรวมจากไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ ไข้หวัดนกที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ และไข้หวัดหมูที่พบในทวีปเอเชีย และยุโรป ทำให้ WHO ต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เนื่องจากหวั่นวิตกว่า เชื้อเอช1 เอ็น1 อาจจะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ที่อันตรายยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครทราบว่าเชื้อดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่ไหน และแพร่จากสัตว์มาสู่คนครั้งแรกเมื่อไหร่ และเนื่องด้วยโรคดังกล่าวสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้อย่างรวดเร็ว จึงจัดเป็นโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ที่สำคัญในช่วงเวลานั้น
สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (ซีดีซี) คาดการณ์ว่า โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 คร่าชีวิตประชากรโลกรวมกว่า 280,000 คน ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตที่ WHO ยืนยันอยู่ที่ไม่ถึง 20,000 คนทั่วโลก
เชื้อไวรัส โควิด-19

โรคโควิด-19 เริ่มระบาดในจีน ที่เมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีประชากรกว่า 11 ล้านคน หลังจากเก็บตัวอย่างไวรัสจากคนไข้กลุ่มแรกไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ จีนและ WHO ระบุตรงกันว่า ไวรัสชนิดนี้คือ “เชื้อไวรัสโคโรน่า” ซึ่งถือเป็นสายพันธุ์ใหม่ หลังจากก่อนหน้านี้พบไวรัสโคโรน่ามาแล้ว 6 สายพันธุ์ ที่เคยมีการระบาดในมนุษย์ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาดจึงเป็นสายพันธุ์ที่ 7
จนขณะนี้ยังไม่มีใครทราบแน่ชัดถึงแหล่งกำเนิดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ต้นตอโรคโควิด-19 หลังจากเคยมีข้อสันนิษฐานว่า ไวรัสชนิดนี้อาจเริ่มติดต่อจากสัตว์ป่ามาสู่คน โดยมีต้นตอของการระบาดจากงูเห่าจีน และงูสามเหลี่ยมจีน ที่นำมาวางจำหน่ายในตลาดสดอู่ฮั่น ซึ่งเป็นสถานที่พบผู้ติดเชื้อกลุ่มแรก ๆ
คณะผู้วิจัยคาดว่า งูอาจเป็นสัตว์ตัวกลางที่ส่งต่อเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่จากค้างคาวมาสู่คน เนื่องจากงูพิษที่อยู่ในธรรมชาติล่าค้างคาวในถ้ำเป็นอาหาร แต่ก็ยังคงมีข้อกังขาว่า ไวรัสโคโรน่าปรับตัวให้มีชีวิตอยู่และขยายพันธุ์ในร่างกายของทั้งสัตว์เลือดเย็นและสัตว์เลือดอุ่นได้อย่างไร
ปัจจุบัน สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังกว่า 120 ประเทศทั่วโลก มีผู้ป่วยรวมกันกว่า 120,000 คนและผู้เสียชีวิตอีกกว่า 4,600 คน (นับถึงวันที่ 12 มี.ค.) ตัวเลขผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในจีน แต่ขณะนี้ในยุโรปเกิดการระบาดเข้าขั้นรุนแรง นำโดยอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมากที่สุดนอกจีน อยู่ที่กว่า 12,000 คนและกว่า 800 คนตามลำดับ












