เปิดใจหญิงไทยติดค้างในศรีลังกา 2 เดือน หลังน่านฟ้าปิดช่วงโควิด-19 เจอสารพัดเรื่องราว ทั้งถูกเหยียดต้องตัดกล้วยกินประทังชีวิต
วันที่ 29 เมษายน ได้พูดคุยข้ามประเทศกับโซโนโกะ พราว ศิลปินด้านการแสดง และวิทยากรด้านการพัฒนาตนเองด้วยการเต้นรำ ละคร และสมาธิในแบบโอโช่ สาวไทยที่ติดอยู่ประเทศศรีลังกากว่า 2 เดือนเพราะวิกฤติโควิด-19 ทำให้น่านฟ้าการเดินทางด้วยเครื่องบินของแต่ละประเทศปิดตัวลง เธอต้องอยู่ต่างแดนและใช้ชีวิตเพื่อรอวันเดินทางกลับประเทศไทย
เธอเล่าว่า สาเหตุที่ไปศรีลังกา เพราะนัดเจอเพื่อนชาวอิสราเอลที่ไม่ได้เจอหน้ากัน 2 ปีแล้ว เดิมทีนัดเพื่อนให้มาเจอกันที่ไทย แต่ช่วงนั้นประเทศไทยเริ่มมีผู้ป่วยโควิด-19 แล้ว ขณะที่ศรีลังกามีผู้ป่วยแค่คนเดียว และเป็นคนจีนด้วย ตอนแรกเห็นว่าเป็นประเทศที่ค่อนข้างปลอดภัยกว่าเมืองไทย จึงตกลงไปพบกันที่นั่น เพราะถ้าไม่ได้เจอกัน ก็จะไม่ได้พบกันอีกนาน เนื่องจากตารางของแต่ละคนแทบจะไม่ตรงกันเลย
3 มีนาคม เธอจึงเดินทางไปศรีลังกา พอไปถึงปรากฏว่าวิกฤติโควิด-19 ได้เกิดการแพร่ระบาดในประเทศนี้แล้ว นักท่องเที่ยวหลายคนไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้ อีกทั้งตั๋วเครื่องบินยังเลื่อนการเดินทางออกไป เดิมที่เธอซื้อตั๋วกลับในวันที่ 23 มีนาคม แต่ตั๋วถูกยกเลิก เนื่องจากน่านฟ้าประเทศไทยปิด
“ตั๋วใหม่ก็ไม่มี เราไปดูพวกเว็บไซค์ที่จำหน่ายตั๋ว มันขึ้นว่ามี แต่ก็เสี่ยง เพราะถ้าจ่ายเงินไป แล้วมันไม่มีไฟลท์บิน ขอเงินคืนจะลำบากมาก”
ดังนั้นเธอจึงไม่เลือกวิธีการนี้
เวลานั้นประเทศศรีลังกาประกาศเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมง ปิดเมืองปิดประเทศ นั่นทำให้เธอต้องติดอยู่ในต่างแดน โดยการประกาศเคอร์ฟิวนั้น รัฐบาลแจ้งล่วงหน้าเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น ทำให้ต้องรีบไปซื้อของตระเตรียมไว้ ท่ามกลางการระบาดของโควิด-19
“จริง ๆ ตอนนั้นมีตั๋วมาประเทศไทยนะ แต่ต้องเดินทางไปประเทศที่ 3 ก่อน แล้วจึงจะกลับไทยได้ เราเห็นว่าไปประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดก็หนักอยู่ ตั๋วราคาเกือบ 30,000 บาท เราเลยไม่เอาตัวเลือกนี้”
แม้จะอยู่ต่างเมือง ที่อาจเป็นชนบทของศรีลังกา แต่เธอคิดว่าค่อนข้างปลอดภัย เมื่อเพื่อนได้ตั๋วกลับประเทศ คราวนี้เธอจึงต้องอยู่คนเดียวในประเทศแห่งนี้เสียแล้ว
เคราะซ้ำกรรมซัด ที่พักของเธอและการใช้จ่ายต่าง ๆ จะถูกชาร์จในราคานักท่องเที่ยวแพงกว่าปกติ และด้วยความที่เธอเป็นคนเอเชียคล้ายคนจีน จึงทำให้ถูกคนศรีลังกาตะโกนใส่หน้าว่า “โคโรนา”
“มีคนขี่จักรยานยนต์ผ่านหน้าเราและตะโกนว่า โคโรนา เหมือนเขาเหยียดเราเลย ไปชายหาด คนดูแลหาดก็หัวเราะชี้เราว่า โคโรนา ฝรั่งได้ยินก็ตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีการพูดจาแบบนี้ แต่สำหรับเรามองว่ามันตลก งงว่าทำไมเขาแสดงอะไรออกไปแบบนั้นมากกว่า เขาตะโกนใส่เรามา เราก็แกล้งแหย่กลับไปเหมือนกัน”
เธอบอกว่าคนศรีลังกานั้น จะแสดงความรู้สึกแบบตรงไปตรงมา
ทั้งนี้ศรีลังกามีมะพร้าวกับกล้วยเยอะมาก หลังที่พัก มันมีสวนรก ๆ อยู่ ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าใครเป็นเจ้าของ จึงชวนเพื่อนที่พัก 2 คนเป็นผู้ชายไปที่สวน ตอนนั้นเราตามหาเจ้าของ แต่ไปบ้านไหนเขาก็ไม่คุยกับเรา ปิดประตูใส่ ไล่เราก็มี คงเห็นว่าเป็นนักท่องเที่ยวกลัวจะติดโควิด-19 ทั้ง ๆ ที่เราแค่จะถามว่าสวนนี้เป็นของใครเท่านั้นเอง
เมื่อไม่เจอก็จึงตัดสินใจเอามีดตัดโค่นกล้วยเลย เพื่อเอากล้วยมากิน ตอนต้นล้ม คนศรีลังกาบ้านข้างๆ สวนออกมาดูกัน ออกมาว่าเรา แบบทำอย่างนี้ไม่ดี เราก็พยายามไปบอกเขาว่าขอโทษ แต่คนที่นั่นก็วิ่งหนีเข้าบ้านปิดประตูไป ไล่เรา
“ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจว่าจะขโมยกล้วย ต้องเข้าใจว่าตอนนั้น แค่ไปซื้อยาร้านเล็ก ๆ แถวยาวมากประมาณ 700-800 เมตร เราเลยต้องประทังชีวิตด้วยการกินสมุนไพร ต้องเสิร์ชวิธีการต้มเพื่อเอามากินแบบถูกต้อง เพราะไม่รู้ว่าจะต้องอยู่อีกนานแค่ไหน”
แต่เธอก็อยู่ได้เพราะปกติกินมังสวิรัติ ไม่กินเนื้อสัตว์ จึงอยู่ในต่างแดนมา 2 เดือน ท่ามกลางสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก
เพื่อนที่พัก จากเคยสนิทก็มาไม่ไว้ใจกัน เพราะต่างกลัวว่าใครจะติดโรคมาหรือเปล่า เพราะเพื่อนบางคน ช่วงเคอร์ฟิวเขาแอบออกไปข้างนอก เราเองถ้าไม่ได้ออกกำลังกายหนัก ๆ จะมีอาการภูมิแพ้ ทีนี้เขาก็จะระแวงว่าเราติดโควิดมาหรือเปล่า
แต่พอถึงจุดหนึ่งเธอกลับรู้สึกว่าสามารถอยู่ได้ เพราะสัมผัสถึงความสงบ ไม่ได้คิดอยากกลับไทย ผ่านไปเกือบ 2 เดือน ในที่สุดสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำศรีลังกาได้ประสานเครื่องบินเพื่อพาเธอกลับไทยได้แล้ว ทำให้เธอต้องเดินทางขึ้นมาที่เมืองหลวงโคลัมโบ และได้เห็นความวุ่นวายของเมือง สถานการณ์โควิดที่ลุกลามแพร่ระบาด ก็เริ่มรู้สึกกลัว
“เหมือนเป็นทอม แฮงค์ ในภาพยนตร์เรื่อง Cast Away เลย เราถามตัวเองว่าอยากกลับจริงไหม พอมาเห็นความวุ่นวายในเมืองหลวง พอกลับไทยก็ต้องกักตัว 14 วัน เราต้องเซ็นหนังสือยินยอมด้วย ความรู้สึกแบบเหมือนในหนังที่ทหารรบรอดมาได้ แล้วจะมาตายที่บ้านตัวเองเหรอ”
ตอนเซ็นหนังสือยินยอม เธอขอกับเจ้าหน้าที่ว่าอย่าเอาไปนอนรวมกับใครก็ไม่รู้เด็ดขาด เพราะอุตส่าห์รอดจากโรคระบาดครั้งนี้มาได้เกือบ 2 เดือนแล้ว อย่ามาติดโควิดเพราะแบบนี้เลย
“เรายอมรับว่ากลัว เพราะไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้านี้ จะต้องเจอกับอะไรบ้าง”
....
โซโนโกะ พราวจะเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 30 เมษายน
อ้างอิงจาก: FB : Tempo Old journalists























