คดีล่วงละเมิดเด็กหญิง: เหยื่อแมวและการหลอกล่อ – เบื้องหลังคำปฏิเสธของผู้ต้องหา กับหลักฐานมัดตัว
คดีสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เมื่อชายสูงวัยถูกกล่าวหาว่ากระทำอนาจารและล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี โดยใช้ "แมว" เป็นเครื่องมือในการหลอกล่อ ได้สร้างความตกตะลึงและหดหู่ใจให้กับสังคมไทยเป็นอย่างมาก คดีนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงภัยร้ายที่แฝงตัวอยู่ในสังคม และความเปราะบางของเด็กที่ตกเป็นเหยื่อ แต่ยังรวมไปถึงความซับซ้อนของกระบวนการยุติธรรม และความท้าทายในการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2567 และต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2567 เมื่อเด็กหญิงบี (นามสมมติ) อายุ 9 ขวบ ได้ชักชวนเด็กหญิงเอ (นามสมมติ) อายุ 12 ขวบ ไปที่บ้านของชายสูงวัย อายุ 67 ปี (ขอสงวนนาม) โดยอ้างว่าจะไปขอเงิน
เมื่อเด็กหญิงทั้งสองไปถึง ชายสูงวัยได้ทำการหอมแก้มเด็กทั้งสอง ก่อนจะชักชวนเด็กหญิงเอให้เดินไปที่ห้องครัว และกระทำการอนาจาร โดยใช้เวลาประมาณ 2 นาที หลังจากนั้น ได้พาเด็กทั้งสองออกไปนอกบ้าน พร้อมกับให้เงินคนละ 30 บาท พฤติการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นเวลา 4 วัน
จุดเปลี่ยนของคดีเกิดขึ้นในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 เมื่อเด็กหญิงบีได้ชวนเด็กหญิงเอไปที่บ้านของผู้ต้องหาอีกครั้ง ในครั้งนี้ ผู้ต้องหาได้ชวนเด็กหญิงเอไปเล่นกับแมว และพาไปยังห้องครัว ก่อนจะกระทำการอนาจารและล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงเอ โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที เด็กหญิงเอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทำให้ผู้ต้องหาหยุดการกระทำ
ในวันรุ่งขึ้น (4 ธันวาคม 2567) ผู้ปกครองของเด็กหญิงเอได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรบางบัวทอง โดยมีคลิปวิดีโอที่เด็กหญิงเอถ่ายไว้ขณะเข้าไปดูแมวในบ้านของผู้ต้องหา เป็นหลักฐานสำคัญ
หลังจากได้รับแจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งรัดดำเนินการสืบสวนสอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐาน จนกระทั่งศาลจังหวัดนนทบุรีได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหา ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ในข้อหา
ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยการใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้
กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
พรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา เพื่อการอนาจาร
อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหาได้หลบหนีไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าจับกุม ทำให้การติดตามตัวต้องใช้เวลานานกว่าหนึ่งเดือน จนกระทั่งในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี
ในการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าตนเองไม่ได้กระทำอนาจารเด็ก เพียงแค่จับไหล่เด็ก และบอกให้เข้าไปดูแมวในบ้านเท่านั้น หลังจากนั้น เด็กได้ไปฟ้องผู้ปกครอง ทำให้ตนเองถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ผู้ต้องหายังให้การเพิ่มเติมว่า หลังจากเกิดเหตุ ได้หลบหนีไปเช่าห้องพักอยู่ที่อื่น
อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.พฤฒ จำรูญศาสน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบางบัวทอง เปิดเผยว่า คำให้การของผู้ต้องหาไม่มีผลต่อรูปคดี เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอที่เด็กหญิงเอถ่ายไว้ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันการกระทำความผิดของผู้ต้องหา
พ.ต.อ.พฤฒ จำรูญศาสน์ ยังกล่าวอีกว่า คดีนี้ถือเป็นภัยต่อสังคมอย่างร้ายแรง และเชื่อว่าศาลจะลงโทษผู้ต้องหาอย่างหนัก พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการอบรมสั่งสอนบุตรหลานให้ระมัดระวังตัว ไม่เข้าไปในบ้านของคนแปลกหน้าโดยเด็ดขาด และไม่ควรไว้ใจใครง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่มีการใช้สิ่งของหรือสัตว์เลี้ยงมาเป็นเครื่องมือในการหลอกล่อ
ประเด็นที่น่าสนใจ
1. การใช้ "แมว" เป็นเครื่องมือ: คดีนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่ผู้กระทำผิดใช้ในการหลอกล่อเด็ก โดยอาศัยความไร้เดียงสาและความรักสัตว์ของเด็ก เป็นช่องทางในการเข้าถึงตัวและกระทำการล่วงละเมิด
2. ความสำคัญของหลักฐาน: คลิปวิดีโอที่เด็กหญิงเอถ่ายไว้ เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้ แม้ว่าผู้ต้องหาจะให้การปฏิเสธก็ตาม
3. การหลบหนี: การที่ผู้ต้องหาหลบหนีไปหลังจากเกิดเหตุ เป็นพฤติการณ์ที่ส่อให้เห็นถึงความพยายามในการหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดี
4. การให้เงิน: การที่ผู้ต้องหาให้เงินเด็กหลังจากกระทำการอนาจาร อาจเป็นการพยายามปิดปาก หรือทำให้เด็กไม่กล้าบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผู้อื่น
5. ความเปราะบางของเด็ก: คดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของเด็ก ที่อาจตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดีได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่ขาดความระมัดระวัง และไว้ใจคนง่าย
ข้อเสนอแนะและการป้องกัน
ผู้ปกครอง ครู และผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรให้ความรู้แก่เด็กเกี่ยวกับภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากคนแปลกหน้า สอนให้เด็กรู้จักปฏิเสธเมื่อถูกชักชวน หรือถูกกระทำในลักษณะที่ไม่เหมาะสม และสอนให้เด็กกล้าที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้
ชุมชนควรมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง และดูแลเด็กในชุมชน หากพบเห็นพฤติกรรมที่น่าสงสัย หรือบุคคลที่มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที
ควรมีการทบทวนและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ให้มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษอย่างเหมาะสม และเป็นการป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นอีก
คดีล่วงละเมิดเด็กหญิงโดยใช้แมวเป็นเครื่องมือหลอกล่อ เป็นคดีที่สะเทือนขวัญและสร้างความหดหู่ใจให้กับสังคมไทยเป็นอย่างมาก คดีนี้ไม่เพียงแต่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ปกครองและเด็กเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้สังคมตระหนักถึงภัยร้ายที่แฝงตัวอยู่ และร่วมกันหาทางป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง เพื่อให้เด็กและเยาวชนของเราเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสม

















