ตำนาน “กระสือ” และประวัติความเชื่อที่ยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
หากพูดถึง “กระสือ” เชื่อว่าหลายท่านคงคุ้นเคยกับภาพของผีหญิงสาวที่มีเพียงศีรษะและอวัยวะภายในลอยออกจากร่างเพื่อออกหากินในยามค่ำคืน เรื่องเล่าเกี่ยวกับผีชนิดนี้ปรากฏในตำนานพื้นบ้านไทยมาอย่างยาวนาน และได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยมีการกล่าวถึงมาแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
จากบันทึกของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา คำว่า “กระสือ” มีหลายความหมาย ไม่เพียงแต่หมายถึงผีเท่านั้น แต่ยังใช้เรียกเห็ดชนิดหนึ่งที่เรืองแสงในเวลากลางคืน, ว่านสมุนไพรชนิดหนึ่ง และแมลงพวกหิ่งห้อยในช่วงตัวอ่อนที่สามารถเรืองแสงได้ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อหลักที่ฝังแน่นในวัฒนธรรมไทยคือ “กระสือ” ในฐานะของผีผู้หญิงที่ออกหากินของโสโครกในเวลากลางคืน
หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับกระสือปรากฏใน “กฎหมายตราสามดวง” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบันทึกโบราณที่เก่าแก่ โดยพระยาอนุมานราชธน (เสฐียรโกเศศ) นักวิชาการด้านวัฒนธรรม ได้อธิบายไว้ว่า กระสือเป็นผีที่มีลักษณะเฉพาะ คือมักเป็นหญิงชรา ชอบกินของสดคาว โดยเฉพาะอุจจาระ และจะออกหากินเฉพาะตอนกลางคืน โดยร่างจะยังคงอยู่ที่บ้าน ขณะหัวและไส้ลอยออกไปเพียงลำพัง มีลักษณะเป็นแสงเรืองสีเขียว
แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันทางวิทยาศาสตร์ถึงการมีอยู่ของผีชนิดนี้ แต่ก็มีความพยายามอธิบายทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับปรากฏการณ์แสงที่มีผู้พบเห็น เช่น การลุกไหม้ของก๊าซมีเทนจากการย่อยสลายของซากอินทรียวัตถุในนาข้าว อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.สิรินทรเทพ เต้าประยูร นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้ให้ความเห็นว่า ปริมาณก๊าซมีเทนในธรรมชาติยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดแสงหรือเปลวไฟลอยได้ตามที่เล่ากัน
ภาพลักษณ์ของกระสือเริ่มชัดเจนขึ้นในยุคหลัง โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2515 ที่คุณทวี วิษณุกร ได้นำเสนอเรื่อง “กระสือสาว” ในรูปแบบการ์ตูน ต่อมาได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์หลายครั้ง รวมถึงในปี พ.ศ. 2538 ที่บริษัทดาราวีดีโอได้นำกลับมาสร้างใหม่อีกครั้ง
แม้ปัจจุบัน วิทยาศาสตร์จะยังไม่สามารถยืนยันการมีอยู่ของกระสือได้อย่างชัดเจน แต่กระสือก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพื้นบ้านที่แสดงถึงความเชื่อ ความกลัว และภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีต่อธรรมชาติและสิ่งลี้ลับ ตำนานผีไทยเช่นนี้จึงยังคงถูกเล่าขาน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทยที่ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา

















