หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ไดโอนิซูส (Dionysus) เทพบุตรแห่งไวน์: เสน่ห์แห่งความสุขในหยาดหยด

เนื้อหาโดย nuengpaisarn

ไดโอนีซูส : เทพแห่งไวน์และเสียงหัวเราะ

ในยุคที่ท้องฟ้ายังเต็มไปด้วยเสียงกึกก้องแห่งเทพ และภูเขายังจำบทเพลงแห่งโอลิมปัสได้ เรื่องราวของเทพไดโอนีซูสเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งและปาฏิหาริย์ เมื่อซูส เทพบิดรผู้ยิ่งใหญ่แห่งโอลิมปัสหลงใหลในความงามและความบริสุทธิ์ของหญิงสาวมนุษย์นามว่า "ซีมีลี" ธิดาแห่งราชวงศ์ธีบส์ ความรักของเทพและมนุษย์มิใช่สิ่งต้องห้ามในบรรดาเทพ แต่ก็ไม่เคยรอดพ้นจากสายตาแห่งเฮร่า ราชินีผู้หึงหวงและเปี่ยมด้วยความริษยา เมื่อซีมีลีตั้งครรภ์ และประกาศว่าบิดาของบุตรในครรภ์คือตัวซูสเอง ความอิจฉาของเฮร่าก็ปะทุขึ้น เธอแปลงกายเป็นหญิงชราผู้เปี่ยมด้วยเมตตา เข้าใกล้ซีมีลี และหว่านคำพูดอันเป็นพิษ

"หากเจ้ามั่นใจว่าซูสคือเทพเจ้า แล้วเหตุใดจึงไม่ขอให้เขาแสดงตัวในร่างอันแท้จริงของเทพ?"

ด้วยความไร้เดียงสาและความศรัทธาในความรัก ซีมีลีจึงร้องขอต่อซูสให้ปรากฏในรูปลักษณ์แห่งเทพ แต่ไม่มีมนุษย์ใดสามารถทนทานต่อแสงแห่งเทพองค์สูงสุดได้ เมื่อซูสยอมทำตามคำขอ สายฟ้าเปล่งแสงเจิดจ้าเพียงเสี้ยววินาที เผาร่างซีมีลีจนแหลกสลาย แต่ในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตเธอ ซูสได้ฉวยเอาทารกในครรภ์ของเธอไว้ และเย็บไว้ในต้นขาของตนเองเพื่อปกป้องเขาจากเงื้อมมือแห่งความตาย

เมื่อเวลาเวียนครบ ไดโอนีซูสถือกำเนิดจากต้นขาแห่งซูส จึงได้ชื่อว่าเป็นเทพเจ้าที่เกิดจากเทพและมนุษย์ พร้อมกับสถานะที่ไม่เหมือนใคร คือเป็นเทพแห่งโอลิมปัสพระองค์เดียวที่มีมารดาเป็นมนุษย์ เขาเติบโตท่ามกลางภัยคุกคามของเฮร่า ซูสจึงซ่อนเขาไว้ในหลายสถานที่ ส่งเขาไปอยู่กับนางไม้และเทพแพะในถ้ำกลางป่า ให้เลี้ยงดูด้วยความรักและดนตรี ไดโอนีซูสเติบโตมาอย่างอิสระ ท่ามกลางธรรมชาติ ศิลปะ และเสียงเพลง

เมื่อเขาเติบใหญ่ เขาเริ่มต้นการเดินทางอันยิ่งใหญ่ทั่วดินแดนกว้างใหญ่ นำพาเถาองุ่น วัฒนธรรมการหมักไวน์ และการเฉลิมฉลองไปสู่ผู้คน ไวน์กลายเป็นทั้งยา ความบันเทิง และสื่อกลางแห่งปีติ ไดโอนีซูสไม่เพียงแต่สอนวิธีหมักไวน์ แต่ยังเผยแพร่ความเข้าใจในสภาวะแห่งการหลุดพ้นจากกรอบของเหตุผล เปิดประตูให้มนุษย์เข้าถึงจิตใต้สำนึกผ่านพิธีกรรม ความมึนเมา และการแสดงออกแห่งอารมณ์ที่บริสุทธิ์ เขาจึงกลายเป็นเทพผู้คุ้มครองศิลปะการละคร—ศาสตร์แห่งการสวมบทบาทและเปิดเผยความจริงผ่านหน้ากาก

เขามิได้เดินทางเพียงลำพัง ขบวนแห่งเทพแพะ ซาเทียร์ ไมนาดส์ และหญิงสาวผู้เต้นระบำภายใต้แสงจันทร์ติดตามเขาไปทุกที่ ในขบวนของเขามีสัตว์หลากหลาย ทั้งเสือ เสือดำ เสือดาว โลมา และแพะ—สิ่งมีชีวิตที่เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังงานดิบ ความเป็นธรรมชาติ และการแปรผัน

ในระหว่างการเดินทาง เขาได้พบกับหญิงสาวนามว่า "แอริแอดนี" เจ้าหญิงแห่งเกาะนาซอส ผู้ถูกทอดทิ้งโดยธีเซอุสหลังจากช่วยให้เขาเอาชนะมิโนทอร์ ไดโอนีซูสมอบความรักและเกียรติยศแก่เธอ และสมรสกับเธอด้วยความสัตย์จริง เป็นหนึ่งในเทพไม่กี่องค์ที่รักอย่างมั่นคงกับมนุษย์ผู้หญิง แอริแอดนีจึงกลายเป็นเทพีแห่งเขา และร่วมอยู่บนยอดเขาโอลิมปัสในฐานะชายาแห่งเทพแห่งความรื่นรมย์

แม้จะเปี่ยมด้วยความสุข แต่ไดโอนีซูสก็มีด้านมืด เขาเป็นเทพที่มิอาจควบคุมได้ง่าย ความบ้าคลั่งในงานพิธีกรรมบางคราวนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมและการทำลาย เมื่อผู้คนไม่ยอมรับเขา หรือดูแคลนศิลปะและไวน์ ไดโอนีซูสสามารถมอบความบ้าคลั่งให้บุคคลจนเสียสติ หรือแม้แต่เปลี่ยนมนุษย์เป็นสัตว์ เพื่อเตือนสติและปลุกเร้าความจริงในใจพวกเขา เขาคือเทพแห่งขอบเขตระหว่างความมีสติและความไร้สติ ระหว่างโลกแห่งกฎเกณฑ์และความปั่นป่วนแห่งอารมณ์

เขาไม่เพียงแต่เป็นเทพแห่งความสุข แต่ยังเป็นเทพแห่งการหลุดพ้น การคืนชีพ และการเปลี่ยนแปลง จึงมีพิธีกรรมลึกลับนามว่า Dionysian Mysteries ที่จัดขึ้นอย่างลับๆ ในหมู่ผู้ศรัทธา พวกเขาเต้นรำ ดื่มไวน์ ร้องเพลง และเข้าสู่ภาวะเอกภาพกับธรรมชาติและเทพ ในพิธีนั้น ไม่มีชายหรือหญิง ไม่มีนายหรือทาส—มีเพียงจิตวิญญาณที่หลอมรวมกับความเป็นนิรันดร์

เทพแห่งไวน์ผู้นี้อาจมีพระชนมายุน้อยที่สุดในบรรดาเทพแห่งโอลิมปัส แต่บทบาทของเขากลับมีความสำคัญเกินคำบรรยาย ในโลกแห่งศิลปะ การแสดง และการเฉลิมฉลอง ไดโอนีซูสคือแรงบันดาลใจ คือเทพผู้ปลดปล่อย คือเสียงหัวเราะในยามโศก คือหยดไวน์ที่หลอมรวมความทุกข์และความสุขเป็นหนึ่งเดียว

 

บทที่สอง: เถาองุ่นที่เบ่งบาน และความบ้าคลั่งที่ซ่อนเร้น

เสียงพิณและกลองยังคงดังก้องในป่าแห่งไนซัส ขบวนของไดโอนีซูสเดินทางต่อไปจากหมู่บ้านหนึ่งสู่อีกเมืองหนึ่ง เถาองุ่นงอกงามตามรอยเท้าของเขา เมื่อปลายนิ้วของเทพแตะต้องพื้นดิน ผลองุ่นก็เบ่งบานราวกับพสุธายินดีต้อนรับ พระหัตถ์ของเขาถือถ้วยไวน์ ผิวสัมผัสของเครื่องดื่มสีทับทิมนั้นแฝงด้วยมนตร์วิเศษ ไวน์ที่มิใช่เพียงแค่เครื่องดื่ม แต่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกแห่งสติและไร้สติ ระหว่างความจริงและมายา

เขาเสด็จไปถึงฟริเจีย ลีเดีย อินเดีย ดินแดนอันไกลโพ้น นำวัฒนธรรมและพิธีกรรมแห่งไวน์ไปเผยแพร่ ไดโอนีซูสไม่เหมือนเทพองค์อื่น เขาไม่ยึดมั่นในบัลลังก์สูงหรือปราสาททองคำ เขาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนธรรมดา เต้นรำในยามค่ำคืนใต้แสงจันทร์ พร้อมกับสาวกของเขาที่รู้จักกันในนาม "ไมนาดส์"—หญิงสาวผู้คลุ้มคลั่งในเสียงเพลงและฤทธิ์ไวน์ พวกนางโผนกระโจนรอบกองไฟ ถือคทาที่ปลายประดับด้วยลูกสน ราวกับมวลพลังแห่งธรรมชาติมีชีวิตขึ้นมาในรูปของพวกเธอ

แต่ไม่ใช่ทุกดินแดนจะต้อนรับเขาด้วยอ้อมแขนแห่งมิตรไมตรี เมืองธีบส์ บ้านเกิดของพระมารดา กลับเป็นหนึ่งในสถานที่แรกที่ปฏิเสธเขา เพนเธียส กษัตริย์แห่งธีบส์ ผู้เป็นญาติของเขาเอง กลับมองไดโอนีซูสว่าเป็นเพียงพ่อมดหลอกลวง และห้ามมิให้ผู้ใดในเมืองเข้าร่วมพิธีกรรมอัน “วิกลจริต” ของเทพไวน์

ไดโอนีซูสมิได้ตอบโต้ด้วยความโกรธในทันที เขาปรากฏตัวต่อหน้าเพนเธียสในร่างของชายแปลกหน้าผู้อ่อนน้อม และค่อย ๆ ชักนำกษัตริย์ผู้แข็งกร้าวให้หลงเข้าไปในวงพิธีแห่งไมนาดส์จนสิ้นท่า เขาหลอกล่อเพนเธียสให้แต่งกายเป็นหญิงสาวเพื่อแอบเข้าไปดูพิธีลับที่ภูเขาคีธีรอน ทว่าความหยิ่งยโสของเพนเธียสกลับเป็นการพาตนเองไปสู่ความตาย

ในความคลุ้มคลั่งของพิธีกรรม เหล่าไมนาดส์ที่กำลังเสพความปีติ ไม่อาจแยกความจริงจากภาพลวงตา พวกนางเห็นเพนเธียสเป็นสัตว์ร้าย และด้วยมือเปล่า พวกนาง—includingพระมารดาของเขาเอง—ฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ เป็นการลงทัณฑ์แห่งความหยิ่งทระนง และคำเตือนว่า ผู้ใดที่ดูหมิ่นเทพแห่งการเฉลิมฉลอง ผู้นั้นจะได้พบกับการเฉลิมฉลองครั้งสุดท้ายในรูปแบบของความพินาศ

หลังเหตุการณ์นี้ ไดโอนีซูสได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในโอลิมปัส เหล่าเทพเจ้าผู้ทรงอำนาจยินดีต้อนรับเขาสู่สภาแห่งเทพในฐานะเทพองค์ที่สิบสอง เขาเป็นเทพองค์เดียวในบรรดาเทพโอลิมเปียนที่มีมารดาเป็นมนุษย์ และก็เป็นเทพองค์เดียวที่นำพาความเปลี่ยนแปลงเข้าสู่โอลิมปัสโดยไม่ใช้สงคราม หากแต่ใช้เสียงเพลงและศิลปะ การเฉลิมฉลองไม่ใช่เพียงเรื่องไร้สาระอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการฟื้นคืนจิตวิญญาณ

แอริแอดนี ภรรยาของเขา ได้รับเกียรติให้ขึ้นสู่ดวงดาวหลังจากสิ้นชีวิต ร่างของเธอกลายเป็นกลุ่มดาว "Corona Borealis" มงกุฎแห่งเหนือ ซึ่งไดโอนีซูสมอบให้เป็นของขวัญแห่งความรักนิรันดร์ เรื่องราวของพวกเขากลายเป็นหนึ่งในบทกวีแห่งความรักที่งดงามที่สุดในหมู่เทพ

 

บทที่สาม: การเสด็จสู่เงามืด แห่งใต้พิภพ

แม้เสียงเพลงจะบรรเลงในแสงจันทร์ และเถาองุ่นจะเติบโตในทุกดินแดนที่ไดโอนีซูสย่างกราย แต่ในส่วนลึกของจิตใจเขายังมีคำถามหนึ่งที่มิอาจละเลย—คำถามเกี่ยวกับความตาย และความรักที่ไม่มีวันหวนคืน

ซีมีลี มารดาของเขา ผู้สิ้นไปในเปลวเพลิงของสายฟ้าเทพ ยังคงอยู่ในเงามืดแห่งฮาเดส ดินแดนใต้พิภพ เทพเจ้าองค์อื่นอาจพึงพอใจกับตำแหน่งบนยอดเขาโอลิมปัส แต่ไดโอนีซูสมิใช่เทพผู้หันหลังให้กับผู้ให้กำเนิด เขาจึงตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่มีเทพองค์ใดเคยทำ นั่นคือ การเดินทางลงสู่โลกของความตาย เพื่อพามารดาของเขากลับคืน

เขาแต่งกายด้วยผ้าคลุมดำ ประดับด้วยมงกุฎเถาองุ่นและลูกสน ศีรษะของเขาประดับด้วยพวงไอวี สัญลักษณ์แห่งชีวิตที่ไร้วันเหี่ยวเฉา เขาผ่านประตูแห่งสเติกซ์ ลงสู่ดินแดนที่ไม่มีแสงอาทิตย์ ข้ามแม่น้ำแห่งการหลงลืมด้วยความทรงจำอันแรงกล้า เมื่อเขาเผชิญหน้ากับฮาเดส เจ้าแห่งแดนวิญญาณ เทพแห่งความตายมองดูเขาด้วยแววตาสงบนิ่ง ดั่งจะถามโดยไม่ออกเสียง

“เจ้ามาทำไม?”

“ข้ามาเพื่อพาผู้หญิงคนหนึ่งกลับขึ้นไปบนผืนโลก—หญิงที่ให้กำเนิดข้า”

ฮาเดสไม่หัวเราะ ไม่สบประมาท แต่กลับพินิจดูไดโอนีซูสอย่างสงบ เพราะแม้แต่เทพแห่งความตายก็รู้ว่า เทพแห่งไวน์นั้นมิใช่เพียงเทพแห่งความรื่นรมย์ หากแต่เป็นเทพแห่งการกลับคืน—การฟื้นจากความว่างเปล่า ไดโอนีซูสจึงได้รับอนุญาตให้พาซีมีลีออกจากแดนวิญญาณ และพานางขึ้นสู่โอลิมปัส ในที่สุด ซีมีลีได้กลายเป็นเทพีภายใต้ชื่อใหม่ “ธีโอนี” หมายถึง “เทพีผู้ศักดิ์สิทธิ์” เป็นมนุษย์เพียงไม่กี่คนในตำนานที่ได้กลายเป็นอมตะโดยสมบูรณ์

การเดินทางครั้งนี้เปลี่ยนแปลงไดโอนีซูสอย่างลึกซึ้ง เขาได้สัมผัสถึงเงามืดของความเป็นมนุษย์มากขึ้นกว่าที่เคย เขาไม่เพียงแต่เป็นเทพของความมีชีวิตชีวา หากแต่เป็นเทพที่เข้าใจ “ความสูญเสีย” ด้วย เขาคือเทพผู้ร้องไห้และหัวเราะในเวลาเดียวกัน เทพผู้เต้นรำบนหลุมศพและโปรยกลีบองุ่นลงบนหินเย็นเยียบแห่งความตาย

หลังจากการเดินทางนั้น เขาเริ่มเป็นผู้อุปถัมภ์พิธีกรรมลี้ลับมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองเอลูซิส ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งพิธีกรรมลึกลับของไดโอนีซูสและเดมีเทอร์ ที่รู้จักกันว่า “Eleusinian Mysteries” พิธีกรรมเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการเฉลิมฉลอง แต่เป็นการฝึกจิตวิญญาณ เพื่อเตรียมใจมนุษย์ให้ยอมรับความตาย และการฟื้นคืนอีกครั้ง

เขายังเป็นผู้สถาปนา “มหาเทศกาลแห่งละคร” ในกรุงเอเธนส์ ที่ซึ่งมนุษย์จะสวมหน้ากากบนเวที แสดงบทบาททั้งโศกและสุข ราวกับสะท้อนความเป็นมนุษย์ออกมาทั้งหมด เทศกาลนี้กลายเป็นต้นกำเนิดแห่งศิลปะการละครทั่วกรีซ โศกนาฏกรรมและบทตลกต่างได้รับแรงบันดาลใจจากความเชื่อและพิธีกรรมของเทพไดโอนีซูส

เขาไม่ได้เพียงแต่เปลี่ยนดินแดนต่าง ๆ ให้มีไวน์ หากแต่เปลี่ยนจิตวิญญาณของผู้คน ให้เข้าใจความหมายของการใช้ชีวิต การยอมรับความไม่แน่นอน และการเฉลิมฉลองแม้ในห้วงทุกข์ที่สุด

 

บทที่สี่: เสียงหัวเราะแห่งโอลิมปัส และสงครามแห่งศิลปะ

โอลิมปัสในยามสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน ยอดเขาเปล่งประกายด้วยแสงสีทองแห่งอีเธอร์ ท่ามกลางหมู่เทพผู้ทรงอำนาจ ไดโอนีซูสทรงยืนอยู่ในชุดคลุมที่เต็มไปด้วยลายเถาองุ่น เสียงหัวเราะของพระองค์ก้องสะท้อนในโถงแห่งอัมพร เปรียบได้กับสายลมที่ปลุกชีวิตจากความเงียบงัน ทว่าความรื่นเริงของเขากลับขัดแย้งโดยตรงกับอีกเทพองค์หนึ่ง—อพอลโล เทพแห่งเหตุผล ดนตรีแบบสัดส่วน ความสงบ และกฎระเบียบ

อพอลโลเปรียบดั่งแสงอาทิตย์ที่มั่นคง ไดโอนีซูสดั่งเงาจันทร์ที่แปรเปลี่ยน
อพอลโลสร้างบทเพลงด้วยพิณ
ไดโอนีซูสสร้างความเคลิบเคลิ้มด้วยกลอง
อพอลโลพูดด้วยเหตุผล
ไดโอนีซูสร้องด้วยหัวใจ

เหล่าเทพทั้งสองเปรียบเสมือนขั้วตรงข้ามของมนุษยชาติ และในบางยุคสมัย ชาวกรีกเชื่อว่ามนุษย์ต้องเลือกว่าจะดำเนินชีวิตตามทางแห่งอพอลโล—สงบ มีเหตุผล ประพฤติดีงาม หรือจะเดินตามไดโอนีซูส—อารมณ์ ทะยาน อยู่นอกกรอบ และหลอมรวมกับธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่สงครามแห่งอาวุธ แต่เป็นสงครามแห่งอิทธิพล ภายในหัวใจของมนุษย์ทุกคนมีทั้งอพอลโลและไดโอนีซูส—และเมื่อทั้งสองเทพสามารถอยู่ร่วมกันได้ จิตวิญญาณของมนุษย์จึงจะสมบูรณ์

ไดโอนีซูสเข้าใจความขัดแย้งนี้ดียิ่ง เขาจึงไม่เคยหาทางบดขยี้อพอลโล แต่กลับทำในสิ่งที่เทพผู้มีปัญญาไม่อาจทำได้—นำความบ้าคลั่งมาใช้เป็นเครื่องมือแห่งการตื่นรู้ เขาแสดงให้เห็นว่าอิสรภาพแท้จริงไม่ได้มาจากการควบคุม หากแต่มาจากการยอมรับความไร้ระเบียบในตัวเอง

และนั่นคือเหตุผลที่เขาเป็นเทพแห่งการแสดง—ศาสตร์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างเหตุผลและความฝัน นักแสดงจะต้องควบคุมร่างกายและเสียงดั่งอพอลโล แต่ปล่อยใจให้หลุดจากกรอบดั่งไดโอนีซูส

เมื่อเขาเสด็จไปยังกรุงเอเธนส์ ไดโอนีซูสได้ส่งเสริมศิลปะการละครอย่างเต็มที่ เขาเป็นเทพองค์แรกที่ให้ “หน้ากาก” แก่มนุษย์—หน้ากากที่เปิดเผยมากกว่าที่ปิดบัง เพราะเมื่อมนุษย์สวมหน้ากาก พวกเขากลับกล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงบนเวที ชาวกรีกจึงจัดเทศกาลเฉลิมฉลองประจำปีนามว่า “เทศกาลไดโอนีเซีย” ซึ่งรวมบทละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคไว้ในนั้น—งานที่เป็นทั้งพิธีกรรมและศิลปะ, ทั้งการบูชาและการเยียวยา

แต่แม้ในช่วงเวลาแห่งเสียงหัวเราะก็ยังมีเงาแห่งความเศร้าซ่อนอยู่ เหล่ากวีและนักแสดงบางคนเมื่อหลุดเข้าสู่โลกของไดโอนีซูส ก็ไม่สามารถหาทางกลับมาได้อีก ตัวอย่างเช่น “ออร์ฟิอัส” นักดนตรีผู้มีเสียงพิณสามารถสะกดสัตว์ป่าและแม้แต่ก้อนหินด้วยบทเพลง เขาคือศิษย์ในทางดนตรีของอพอลโล แต่หัวใจของเขากลับเป็นของไดโอนีซูส

เมื่อภรรยาของเขา "ยูริดีซี" เสียชีวิต ออร์ฟิอัสเดินทางสู่ใต้พิภพเพื่อพานางกลับ ด้วยเสียงพิณที่ไพเราะเกินโลก แต่เมื่อเขาทำผิดคำสั่งห้ามมองกลับ เขาสูญเสียเธออีกครั้งไปตลอดกาล ความโศกเศร้าทำให้เขาปฏิเสธสตรีและความรักแบบเดิมๆ และเมื่อเขาไม่ยอมบูชาไดโอนีซูสตามพิธี ไมนาดส์ในสภาพบ้าคลั่งก็ฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ เสียงพิณของเขาลอยไปตามแม่น้ำ พร้อมบทเพลงสุดท้ายของผู้ที่เข้าใจทั้งความรักและความบ้าคลั่ง

ไดโอนีซูสมิได้โกรธที่ออร์ฟิอัสหลงทาง เขาเพียงเสียใจ—เสียใจที่อีกหนึ่งวิญญาณได้กลายเป็นเศษเสี้ยวของศิลปะที่ไม่สมบูรณ์

บทที่ห้า: ขบวนแห่งใบไม้ และการพิชิตด้วยจิตวิญญาณ

รุ่งเช้าวันหนึ่ง แสงอรุณทอดตัวผ่านไอหมอกเหนือทะเลเอเจียน ไดโอนีซูสทอดพระเนตรไปยังขอบฟ้าที่ห่างไกล—ทิศตะวันออก ดินแดนที่ยังไม่รู้จัก เถาองุ่นยังไม่แตะพื้นดินนั้น เสียงขลุ่ยยังไม่ดังในหุบเขานั้น และไวน์ยังไม่เคยหยดลงสู่ปากใครที่นั่น

พระองค์ทรงตัดสินพระทัยว่า เส้นทางต่อไปคือดินแดนไกลโพ้น ซึ่งผู้คนยังไม่รู้จักความสุขแห่งศิลปะและการเฉลิมฉลอง ขบวนแห่งไดโอนีซูสจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเดินทางเพื่อแสดงพลังแห่งเทพ แต่คือการ “พิชิตจิตวิญญาณมนุษย์”

ขบวนของพระองค์เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ—แพะซาเทียร์ ไมนาดส์ โลมา เสือ เสือดำ เสือดาว และช้างซึ่งมาจากแดนไกล กลองและขลุ่ยบรรเลงดั่งพายุหมุนแห่งเสียง ก่อให้เกิดทั้งปีติและความกลัว ขบวนของเทพองค์นี้ไม่ใช่กองทัพ แต่มันคือ “พายุของความเปลี่ยนแปลง” ที่แทรกซึมเข้าไปในวิญญาณมนุษย์

การเดินทางข้ามผ่านดินแดนมากมาย—ฟริเจีย ลีเดีย เปอร์เซีย และสุดท้ายจรดพรมแดนของอินเดีย ไดโอนีซูสไม่ได้เข้าไปโดยอ้างสิทธิ์ของเทพ แต่มักปรากฏกายเป็นชายหนุ่มผู้อ่อนโยน ใจดี เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและสายตาที่มองทะลุหัวใจ

ผู้ปกครองบางเมืองยอมรับพระองค์ทันที เปิดประตูเมืองแลกเปลี่ยนศิลปะและเครื่องดื่มไวน์ บางเมืองกลับต่อต้าน ด้วยมองว่าเสียงดนตรีและการเต้นรำเป็นภัยคุกคามต่อระเบียบแบบแผน

พระองค์ไม่เคยต่อสู้ด้วยโล่หรือดาบ แต่เพียงปล่อยให้เสียงเพลงทำงาน และไวน์ทำหน้าที่ ไม่นานนัก เมืองที่ต่อต้านก็ล่มสลายด้วยความขัดแย้งภายใน ผู้คนแห่กันออกไปกลางทุ่ง บูชาเทพผู้ปลดปล่อยด้วยการเต้นรำไร้ทิศทาง ร้องเพลงจนเสียงแหบ เสพศิลป์จนลืมวันเวลา

ในตำนานเล่าว่า พระองค์เคยพบเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรในแดนอินเดีย—ฤๅษีผู้นั่งสมาธิจนจิตแนบแน่นกับธรรมชาติ ไดโอนีซูสนั่งลงข้างพวกเขา ไม่กล่าวถ้อยคำใด เพียงยื่นถ้วยไวน์ให้ พวกฤๅษีเหล่านั้นบางคนดื่มและหัวเราะเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี บ้างก็ร้องไห้ เพราะพบว่าความปีตินั้นเรียบง่ายเพียงปล่อยใจ

เทพองค์นี้ไม่ได้เปลี่ยนความเชื่อของพวกเขา แต่เปลี่ยน "ความรู้สึก" ที่พวกเขามีต่อชีวิต

เมื่อพระองค์พิชิตอินเดียสำเร็จ—ไม่ใช่ด้วยไฟและเหล็ก แต่ด้วยความรื่นรมย์ที่ฝังแน่นในดิน พระองค์ทรงเสด็จกลับกรีซพร้อมชัยชนะที่หาใครเทียบได้ แม้แต่เทพเจ้าแห่งสงครามอย่างแอรีสยังต้องยอมรับว่า “ไดโอนีซูสได้ครอบครองอาณาจักรแห่งหัวใจ” ซึ่งไม่มีสงครามใดเข้าไปถึง

 

บทที่หก: เสียงสะท้อนในยุคสมัย และความเป็นอมตะแห่งศิลปะ

เมื่อกาลเวลาหมุนผ่านเช่นลมหายใจของเทพ เทพเจ้าทั้งหลายเริ่มจางหายจากใจของมนุษย์
ชื่อของซูส กลายเป็นเพียงตำนานในหนังสือเรียน
อาเธนา กลายเป็นรูปปั้นหินอ่อนในพิพิธภัณฑ์
และแม้แต่อพอลโล ผู้งามสง่าแห่งทิศตะวัน ก็มิได้เปล่งเสียงในลานศิลป์อีกต่อไป

แต่ไดโอนีซูส...
เขาไม่เคยหายไป
เขาเพียงเปลี่ยนหน้ากาก

ในยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ผู้คนยังคงจัดพิธี Bacchanalia (พิธีเฉลิมฉลองแบ็กคัส—ชื่อโรมันของไดโอนีซูส) ในถ้ำลับและป่าเขา ภายใต้แสงเทียนและเสียงขลุ่ย ผู้คนเปล่งเสียงร้อง เต้นรำ ดื่มไวน์ และร้องเพลงของความจริง—ไม่ใช่ความจริงของกฎหมายหรือวิชา แต่ความจริงของ “หัวใจ” ที่เปลือยเปล่า

แต่เมื่อจักรพรรดิและนักบวชเริ่มหวาดกลัวพลังของ “ความปีติไร้กรอบ” พวกเขาจึงห้ามพิธีเหล่านั้น แบ็กคัสถูกตราหน้าว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความมึนเมาและวิกลจริต
แต่ในความเป็นจริง เขาคือเทพแห่ง “การมองข้ามม่านของความปกติ”

เขายังคงอยู่ในโรงละครโรมัน—เสียงหัวเราะในละครตลก เสียงร่ำไห้ในโศกนาฏกรรม ทุกบทพูดคือบทสวด
เขายังคงอยู่ในภาพเขียนยุคเรอเนซองส์—เด็กหนุ่มผู้ถือองุ่นรายล้อมด้วยสัตว์ป่า
เขายังคงอยู่ในจิตวิญญาณของนักกวี ผู้ที่หลงใหลในความมืดพอ ๆ กับแสงสว่าง

ในยุคสมัยที่ปรัชญาเริ่มตั้งคำถามกับชีวิต นักปรัชญาเยอรมันนามว่า ฟรีดริช นิทเชอ ได้ประกาศอย่างกล้าหาญว่า

“มนุษย์ต้องเต้นรำเหนือขอบเหว และเสียงกลองของไดโอนีซูสคือจังหวะแห่งชีวิต”
เขาเห็นในไดโอนีซูส ไม่ใช่เทพ แต่เป็น “พลัง” ที่ต่อต้านระเบียบแบบตายตัวของโลก
นิทเชอเชื่อว่า โลกนี้ต้องมีทั้งอพอลโลและไดโอนีซูส เพื่อสร้างศิลปะที่แท้จริง
อพอลโลให้โครงสร้าง ไดโอนีซูสให้พลังดิบ
อพอลโลสร้างรูป ไดโอนีซูสเติมชีวิต

และในยุคศตวรรษที่ 20 ถึง 21 เทพแห่งไวน์ผู้นี้ยังปรากฏในดนตรี การเต้นรำ การประท้วง การปลดปล่อย
ทุกครั้งที่มีคนลุกขึ้นเต้นรำอย่างไร้เหตุผล
ทุกครั้งที่ใครสักคนร้องไห้เพราะบทกวี หรือหัวเราะกลางโรงละคร
ทุกครั้งที่คนหลงทางในไวน์ หรือในเสียงของบทเพลง
นั่นคือการปรากฏของไดโอนีซูส
ไม่ใช่เทพผู้สถิตอยู่ในวิหาร แต่คือเทพผู้สถิตอยู่ใน หัวใจ

เขาไม่มีบัลลังก์ทอง ไม่มีคทาเพชร
แต่เขามีถ้วยไวน์ ไม้เถา และรอยยิ้มที่ซ่อนไปด้วยน้ำตา
และในความเงียบหลังม่านปิดในโรงละคร
ในลมหายใจของผู้ชมที่ยังไม่อยากลุกจากเก้าอี้
ในแสงจันทร์ที่สะท้อนเถาองุ่น
เขายังคงยืนอยู่
เฝ้ามองมนุษย์
และรำพึง...

“จงเต้นรำ แม้หัวใจจะแตก
จงร้องเพลง แม้เสียงจะสั่น
จงดื่มจากถ้วยของข้า และเจ้าจะจำได้ว่าชีวิตคือเทศกาลหนึ่ง…ที่ไม่มีใครเชิญ แต่ทุกคนมา”

 

บทที่เจ็ด: ความทรงจำที่ไม่มีวันตาย และตำนานที่ยังเดินต่อ

เมื่อเวลาผ่านไป เทพองค์อื่น ๆ ค่อย ๆ หายไปจากบทสวด มนุษย์ไม่จุดไฟบูชาซูสอีกต่อไป ไม่เรียกชื่อแอรีสก่อนออกรบ และไม่ร้องเพลงแด่อาร์เทมีสในคืนเดือนเพ็ญ แต่ในหมู่เสียงเพลง เสียงหัวเราะ และคราบน้ำตาบนใบหน้าคนดูละคร ในเสียงร้องเพลงขณะเมามายใต้แสงไฟ ในบทกลอนที่แต่งขึ้นขณะใจแตกสลาย—ยังคงมีบางสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยจางหาย

ไดโอนีซูสไม่ได้หายไป เพราะเขา “ไม่เคยอยู่เพียงในเทวาลัย” เขาอยู่ในจิตใจของมนุษย์ ที่ยังอยากรู้สึก อยากรัก อยากหลุดพ้น อยากเต้นรำแม้ไม่มีเหตุผล

มีคำเล่าขานว่า ทุกครั้งที่มีโรงละครแห่งใหม่ถูกเปิด
เทพแห่งไวน์จะเสด็จมาในเงาของม่าน
ยิ้มพลางกล่าวว่า

“จงสวมหน้ากากเถิด มนุษย์เอ๋ย…เพราะบางครั้ง หน้ากากคือสิ่งเดียวที่เผยตัวตนแท้จริง”

หรือเมื่อใครสักคนเทไวน์ลงถ้วย แล้วยกขึ้นจิบเงียบ ๆ คนเดียวในคืนเศร้า
เขาจะกระซิบ

“จงดื่มเพื่อความจริง…ไม่ใช่เพื่อหลบหนี”

และบางครั้ง ขบวนของเขายังเดินอยู่
แต่ไม่ใช่ในป่าอีกต่อไป
มันเดินอยู่ในใจเรา—ในวันที่เรากล้าทำสิ่งไร้สาระแต่เต็มไปด้วยความสุข
ในคืนที่เราเต้นคนเดียวกลางห้อง
ในบทละครที่ทำให้เราร้องไห้จนหมดแรง
ในบทเพลงที่ทำให้เราลืมว่าเราเคยเสียใจ

เขาคือเทพเจ้าองค์สุดท้ายที่มนุษย์ยัง “รู้สึกได้”
ไม่ใช่เพราะเขาสถิตบนยอดเขา
แต่เพราะเขาสถิต “ในความอ่อนแอที่งดงามของมนุษย์”

และนั่นคือชัยชนะของเขา
ชัยชนะที่ไม่มีอาวุธ ไม่มีอาณาจักร ไม่มีเหรียญตรา
มีเพียง “เสียงเพลงในใจคน” ที่ไม่เคยหยุดบรรเลง

ปัจฉิมบท: เทพเจ้าในถ้วยของเรา

ในท้ายที่สุด ตำนานไดโอนีซูสไม่ใช่เรื่องเล่าจากอดีตกาลอีกต่อไป
มันคือกระจกสะท้อนความเป็นมนุษย์ทุกยุค
เทพแห่งไวน์ผู้นี้ สอนให้เรายอมรับทั้งความสุขและความบ้าคลั่ง
ทั้งเสียงหัวเราะและน้ำตา
ทั้งชีวิตและความตาย

บางคนบอกว่าเขาคือเทพเจ้าแห่งการเฉลิมฉลอง
บางคนบอกว่าเขาคือเทพแห่งความบ้าคลั่ง
แต่สำหรับผู้ที่ “เคยรักจนร้องไห้ เคยหัวเราะทั้งที่ใจแตก เคยยืนอยู่กลางโรงละคร และรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเปลือยเปล่า”
พวกเขารู้ว่า...

ไดโอนีซูส คือ “เทพเจ้าแห่งความจริงในรูปแบบที่เรากล้ายอมรับที่สุด”

และหากคืนนี้ คุณนั่งเงียบอยู่คนเดียว มีถ้วยในมือ มีเสียงดนตรีคลออยู่เบา ๆ
บางที—เขาอาจอยู่ตรงนั้น
ข้าง ๆ คุณ
ยิ้ม
แล้วกล่าวเบา ๆ ว่า

“จงเฉลิมฉลองเถิด...เพราะแม้ความเศร้าก็มีค่า เมื่อมันถูกดื่มในถ้วยแห่งศิลปะ”

เนื้อหาโดย: nuengpaisarn
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
nuengpaisarn's profile


โพสท์โดย: nuengpaisarn
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ทำไมเราถึงไม่เลี้ยงปลาไหลไฟฟ้าไว้ผลิตกระแสไฟฟ้า?แคชเมียร์ จุดชนวนความขัดแย้งอมตะระหว่างอินเดียและปากีสถานย้อนวันวาน “เกาะลอย” จากเกาะเล็กกลางทะเลสู่สถานที่ท่องเที่ยวคู่เมืองศรีราชา“ลิลลี่ ภัณฑิลา” ขึ้นเครื่องเจอสภาพอากาศแปรปรวน จนแพนิคกำเริบ"ตึกใบหยก" จากตำนานสิ่งทอ สู่ตึกระฟ้าสัญลักษณ์ประตูน้ำที่ยังคงยืนหยัดอิงอิง อิงณภัสร์ แม่ที่เสียชีวิตจาก คดีดัง ศยามล โตแล้วสวยมากเมื่อคนไข้กลัวเลือดขั้นสุด คุณพยาบาลจึงต้องหาวิธีปกปิดถุงเลือดอย่างสุดความสามารถ"แกงระแวง" แกงโบราณที่ทุกวันนี้หากินได้ยากวิธีเช็กตัวเองเบื้องต้นว่าเข้าข่ายภาวะซึมเศร้าหรือเปล่า?
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
“หากพระภิกษุบวชใหม่ ยังมีความกำหนัดและเผลอช่วยตัวเอง ถือว่าผิดพระวินัยหรือไม่?”ภารกิจลวงโลก โอนเงินปลดล๊อค สุดท้ายเงินเกลี้ยงบัญชีเด็กหญิงวัย 13 หนีตามแฟนแต่ได้เจอนรก!โดนส่งต่อ-ทำร้าย สุดท้ายแม่ต้องพึ่ง ‘กัน จอมพลัง’อิงอิง อิงณภัสร์ แม่ที่เสียชีวิตจาก คดีดัง ศยามล โตแล้วสวยมาก“ลิลลี่ ภัณฑิลา” ขึ้นเครื่องเจอสภาพอากาศแปรปรวน จนแพนิคกำเริบ
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
เพลงนี้มีเรื่องเล่า!“งมงาย” – Bodyslamเรื่องเล่าวันนี้กับสภาพอากาศฝนตกหนักแจกชื่อจริงตัวละครไทย100เหตุผลที่รักเขา กับ1เหตุผลที่เรารักกันไม่ได้
ตั้งกระทู้ใหม่