ลดโอกาสตั้งครรภ์ด้วยการใช้เจลหล่อลื่น ได้ผลจริงหรือ?
ตามหลักฐานทางการแพทย์พบว่า ผลิตภัณฑ์เจลหล่อลื่นที่ใช้กันตามท้องตลาดส่วนมากจะมีสารที่เป็นพิษต่อตัวอสุจิ และ ยังขัดขวางการทำงานของเมือกในช่องคลอด ให้ทำงานได้ไม่เต็มที่ในการที่จะช่วยนำอสุจิไปผสมกับเซลส์ไข่ของผู้หญิง นอกจากนี้เจลหล่อลื่นยังทำให้อสุจิเคลื่อนตัวได้ช้า และ ทำให้อสุจิส่วนมากตายอยู่ที่ปากช่องคลอดอีกด้วย
มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารชื่อดังของต่างประเทศมีข้อมูลสนับสนุนว่า การใช้เจลหล่อลื่นลดการเคลื่อนที่ของอสุจิอย่างชัดเจน โดยเฉพาะส่วนหัวของตัวอสุจิ ที่ปกติแล้วจะเป็นส่วนแรกที่ต้องใช้เจาะเพื่อไปผสมกับเซลส์ไข่ และ บางงานวิจัยพบว่าเจลหล่อลื่นมีผลต่อการสร้างดีเอ็นเอของตัวอสุจิผิดปกติไป
แต่ก็พบว่ามีผลิตภัณฑ์เจลหล่อลื่นบางยี่ห้อที่ไม่เป็นอันตรายต่ออสุจิ แถมทำให้การเคลื่อนไหวของอสุจิดีขึ้น เพราะ ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะทำให้ช่องคลอดมีค่า pH และ ความหนืดใกล้เคียงกับ น้ำอสุจิ และ สารคัดหลั่งในปากมดลูก เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญพันธุ์ เสริมสร้างการหล่อลื่นตามธรรมชาติ
ฉะนั้นสรุปแล้วข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันพบว่าเจลหล่อลื่นที่ใช้กันอยู่ในท้องตลาดมี “ทั้งที่มีผล” และ “ไม่มีผล”ต่อการเคลื่อนที่ของอสุจิ ดังนั้น ควรศึกษาข้อมูลของเจลหล่อลื่นก่อนการใช้งานจะดีที่สุด
วิธีการใช้เจลหล่อลื่น
ตามปกติสามารถใช้เจลหล่อลื่นได้กับทุกส่วนของร่างกาย เช่น ช่องคลอด อวัยวะเพศชาย หรือ รูทวาร โดยใช้ได้ในปริมาณมากน้อยตามต้องการ หากต้องการใช้เจลหล่อลื่นเพื่อเพิ่มความรู้สึกทางเพศในบริเวณช่องคลอด ให้เลือกใช้เจลหล่อลื่นกับปุ่มกระสัน และ บริเวณหัวนมของผู้หญิง อาจหยดเจลหล่อลื่นเพิ่มลงไปในถุงยางอนามัย 2-3 หยด เพื่อช่วยเพิ่มความสุขทางเพศให้แก่ฝ่ายชายด้วยเช่นกัน
ข้อควรระวังในการใช้เจลหล่อลื่น
1.หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบและระคายเคือง เช่น สารกลีเซอรีน (Glycerine) สาร Nonoxynol-9 ปิโตรเลียม โพรพิลีนไกลคอล (Propylene Glycol) และ คลอร์เฮกซิดีน (Chlorhexidine)
2.ควรใช้เจลหล่อลื่นที่มีค่าความเป็นกรดด่างใกล้เคียงกับค่าที่วัดได้บริเวณช่องคลอด ซึ่งสามารถหาซื้อเครื่องมือวัดค่ากรดด่างได้ตามร้ายขายยาทั่วไป
3.ควรทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้ โดยนำตัวอย่างเจลจากผลิตภัณฑ์ทาบริเวณข้อศอกแล้วทิ้งไว้สักครู่ เพื่อสังเกตอาการแพ้ต่าง ๆ อย่างอาการแดง หากพบความผิดปกติควรหยุดใช้ทันที แต่หากอาการที่ปรากฏนั้นไม่ยอมทุเลาลง หรือ ทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ควรไปปรึกษาแพทย์






















