หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ความรัก 4 ระดับ

เนื้อหาโดย machete007

 

พระพุทธศาสนา แบ่งความรักไว้ 4 ระดับ หรือ 4

ประเภท คือ

  1. รักตัวกลัวตาย
  2. รักใคร่ปรารถนา
  3. รักแบบเมตตาอารี
  4. รักแท้คือกรุณา

 

  1. รักตัวกลัวตาย

เป็นความรักขั้นพื้นฐานที่สุดที่มนุษยชาติ รวมถึงสรรพชีพและสรรพสัตว์ทุกชนิดล้วนมีเหมือนกันหมดสรรพชีพ หมายถึง สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตา ทั้งอยู่ในโลกเดียวกันกับเราหรืออยู่ในโลกอื่นออกไปด้วยตา

 

สรรพสัตว์ หมายถึง สัตว์ทั้งปวงที่เรามองเห็นได้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งที่เรียกว่าคน หรือไม่เรียกว่าคนก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีความรักขั้นพื้นฐานคือรักตัวกลัวตาย ความรักอย่างนี้เป็นความรักอิงสัญชาตญาณการดำรงชีวิตรอด

 

เคยเห็นไหม ต้นไม้ใบหญ้าบางชนิดเวลาที่เราเดินผ่านมันปุ๊บ มันผลุบใบทันที ผู้เขียนคิดว่า นี่เป็นสัญชาตญาณในการรักตัวกลัวตายของเขา เพราะฉะนั้น สรรพชีพ สรรพสัตว์ และมนุษย์ รักตัวกลัวตายเหมือนกันทั้งหมด พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า “หัตถ์อัตตสมัง เปมัง” แปลว่า ไม่มีรักใดเสมอรักตัวเองความรักชนิดนี้ขยายความให้ชัดอีกอย่างหนึ่งว่าฉันรักเธอเพราะฉันรักชีวิต เพราะมีใครบ้างที่ไม่รักตัวกลัวตาย มีใครบ้างที่ไม่รักสุขเกลียดทุกข์ ทุกคนล้วนแล้วแต่มีสิ่งนี้เหมือนกันทั้งหมด ฉะนั้น ความรักชนิดนี้เราสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายมาก สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเกิดมาก็มีความรักชนิดนี้อยู่กับตัวแล้ว แต่ยังไม่ใช่รักแท้ เพราะในแง่ลบมันมีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นความเห็นแก่ตัว นั่นคือด้วยเหตุที่พยายามที่จะเอาตัวรอด ก็เป็นเหตุให้ต้องทำร้ายทำลายชีวิตอื่น

 

ดังนั้น ความรักตัวกลัวตายจึงไม่เพียงพอ และยังไม่ใช่รักที่แท้ จึงต้องพัฒนาต่อไป

 

  1. รักใคร่ปรารถนา

เป็นความรักในเชิงชู้สาว เกิดขึ้นทั้งกับคนและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งคือสรรพชีพ สรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีความผูกพันในเชิงชู้สาวแท้ที่จริงรากฐานของความรักชนิดนี้ก็มาจากความรักชนิดที่ 1 คือ รักตัวกลัวตายนั่นเอง แต่ว่าประณีตขึ้นแสดงออกละเมียดละไมมากขึ้น ดูเหมือนว่าแทนที่จะรักตัวกลัวตายอย่างเดียว ก็เผื่อแผ่ใจออกไปรักคนอื่นด้วย แต่แท้ที่จริงที่รักคนอื่นก็เพื่อให้คนอื่นมารักตัวเอง

 

ความรักชนิดนี้ถ้าวิเคราะห์ลึกๆ มีความโลภเจืออยู่นั่นก็คือ อยากจะได้ ใคร่จะครอบครอง และถ้าตัวเองได้ตามที่ต้องการก็ถือว่าประสบความสำเร็จในความรักชนิดนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามไม่ได้ตามที่ต้องการ ความโลภอาจจะกลายเป็นความแค้น

 

หากมองอย่างลึกซึ้ง รักใคร่ปรารถนาก็ยังเป็นความรักที่มีความเห็นแก่ตัวปนอยู่นั่นเองและนั่นเป็นเหตุให้หลายครั้ง คนที่รักกันแต่พอผิดหวังจากความรัก จึงลงเอยด้วยการทำร้ายซึ่งกันและกัน และในบางกรณีถึงขั้นฆาตกรรม ชำแหละศพของคนรักไหนบอกว่ารัก ทำไมต้องจบด้วยการฆาตกรรม

 

เพราะลึกๆ แล้วไม่ใช่รัก เป็นแค่ราคะ คือความปรารถนาในกามารมณ์ และเป็นเพียงความโลภ คือต้องการที่จะครอบครองมาเป็นเจ้าของเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้น ความรักชนิดนี้จึงไม่ปลอดภัย ต้องก้าวไปหาความรักที่สูงขึ้น

 

นอกจากนี้ รักใคร่ปรารถนานั้นอิงสัญชาตญาณการมนุษย์สืบพันธุ์หรือการดำรงเผ่าพันธุ์ของเหล่ามนุษยชาติทุกรูปทุกนามล้วนแล้วแต่มีสัญชาตญาณขั้นลึก คือ การอยากฝากอัตตาหรือตัวตนของเราเอาไว้ให้ต่อเนื่อง ให้มากที่สุด ให้นานที่สุด วิธีหนึ่งที่จะฝากตัวกู ของกู หรือกิเลสขั้นลึกที่เรียกว่าตัณหาเอาไว้ ก็คือการมีครอบครัว ถ้าไม่เชื่อลองสังเกตสิ เราเกิดมาแล้วพ่อแม่ตั้งชื่อให้เราจะเพราะหรือไม่เพราะอย่างไรก็ตาม ถ้าจะเปลี่ยนชื่อ

ลองโทร.ไปบอกพ่อบอกแม่ บางทีอาจมีเรื่อง “ชื่อพ่อตั้ง ชื่อแม่ตั้งทำไมถึงเปลี่ยน ลึกๆ พ่อแม่หวั่นไหวไหมกับการที่ลูกจะเปลี่ยนชื่อ ท่านไม่หวั่นไหวหรอกที่ลูกจะเปลี่ยนชื่อ แต่ท่านหวั่นไหวว่าวงศ์สกุลของท่านซึ่งก็คืออัตตาของท่านที่ถ่ายสำเนาลงไปยังลูก มันจะสูญหายไป จึงมีความพยายามที่จะถ่ายทอดและก็สืบต่ออัตตาของตัวเอง เดี๋ยวนี้เราจะเห็นว่า ผู้หญิงไทยเลยใช้นามสกุลของตัวเองด้วยของสามีด้วย มีใครเคยวิเคราะห์ไหมว่า วิธีคิดลึกๆที่จะอยากคงนามสกุลไว้ของเราด้วยของเขาด้วย

 

เราถวิลหาที่จะรักษาตัวตนของเราเอาไว้ แต่เราอธิบายกันอย่างตื้นๆ ว่าเพื่อความเสมอภาค เสมอภาคนี้เป็นแค่หน้าฉากเท่านั้นแหละ แต่ความจริงเราท่านทั้งหลายอยากจะเป็นอมตะ

 

ฉะนั้น สัญชาตญาณการสืบพันธุ์จึงเป็นกิเลสที่มารองรับตัวกู ของกู แล้วเครื่องมือในการที่จะส่งต่อตัวตนขั้นลึกของเราข้ามพบข้ามชาติคืออะไร คือดำฤษณา ก็คือกามารมณ์ นั่นเอง

 

รักใคร่ปรารถนา ศัพท์บาลีเรียกว่า ราคะ ซึ่งคำว่ารัก มาจากคำว่า ราคะ เมื่อพูดเร็วๆ กร่อน ๆ ขึ้นก็กลายเป็นคําว่า รัก แล้วความรักอย่างที่สอง รักเชิงราคะหรือรักแบบกามฉันทะนี้เอง คือความรักในวันวาเลนไทน์ หมายความว่าเป็นความรักที่เกิดจากการกระตุ้นของสัญชาตญาณทางเพศ พูดให้ตรงกว่านั้น คือ สัญชาตญาณการสืบพันธุ์ของชาย หนุ่มหญิงสาว คือความปรารถนาทางกามารมณ์ พอเราไม่รู้จัก ไม่เข้าถึงแก่นที่แท้ของความรัก เราก็ไปติดอยู่ที่รักใคร่

 

เด็กหรือเยาวชนเมื่อหมกมุ่นครุ่นคิดแต่ในเรื่องทางกามารมณ์ เมื่อเขาเหล่านี้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ก็จะมีวิสัยทัศน์สั้น บริหารประเทศก็ไปไม่ได้ไกล เพราะวิธีคิดไปได้แค่หัวสมองไม่ถึงหัวใจ และวิธีคิดมันไปไม่ไกล เพราะฐานความคิดมันไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง

 

คนสมัยก่อนอย่างคนรุ่น อาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ คนรุ่นอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ วิธีคิดระดับโลก แต่คนรุ่นใหม่ของเราเดี๋ยวนี้ วิธีคิดมันไปไม่ไกล ไปได้อย่างดีที่สุดแค่เป็นผู้ประกอบการ ขอให้ประสบความสำเร็จในฐานะนักธุรกิจ แต่คนที่จะคิดถึงบ้านถึงเมืองไม่ค่อยมี คิดเน้นแต่ว่าบริโภคนิยม วัตถุนิยม อันนี้คือคิดไม่ไกล พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ท่านใช้คำว่า มองแคบ คิดใกล้ และใฝ่ต่ำรักใคร่ปรารถนานั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าเราบอกว่ามีแต่ข้อเสียอย่างเดียวก็ไม่เป็นที่ยุติธรรมสำหรับความรักชนิดนี้ เพราะหากไม่มีรักใคร่ปรารถนา มหาบุรุษทั้งหลาย วีรสตรีของโลกทั้งหลาย จะมาสู่โลกนี้ โดยช่องทางใด รักใคร่ปรารถนานั้นจึงเปรียบเสมือนเป็นวีซ่าของคนที่มาสู่โลก เพราะฉะนั้น ไปว่าเขาก็ไม่ได้ แต่เขาก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่ คือ ถ้ารักขึ้นสมอง ไม่ใช่รักด้วยสมอง ตรงนี้แหละจะทุกข์หนักหนาสาหัสแทบล้มประดาตาย

 

เพราะฉะนั้น ไปว่าเขาก็ไม่ได้ แต่เขาก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่ คือ ถ้ารักขึ้นสมอง ไม่ใช่รักด้วยสมอง ตรงนี้แหละจะทุกข์หนักหนาสาหัสแทบล้มประดาตาย

 

เช่น ทัชมาฮาล (Taj Mahal) ณ เมืองอัครา ประเทศอินเดีย หลายคนบอกว่าที่นี่คืออนุสรณ์สถานแห่งความรักที่สามีสร้างให้กับภรรยา แต่มีนักคิดคนหนึ่งที่มีปัญญาเอกอุ ไปถึงแล้วเดินกลับจากทัชมาฮาล แล้วก็บอกว่า ไม่ใช่อนุสรณ์สถานแห่งความรัก

หากแต่มันคืออนุสรณ์สถานแห่งความอัปยศต่างหาก เพราะกว่าทัชมาฮาลจะสร้างสำเร็จ ใช้ชีวิตคนไปอย่างน้อยกว่าแสนคน ว่ากันว่าบรรดาสถาปนิก วิศวกรและช่างที่ไปก่อสร้างทั้งหมดหลายพันคนต้องเอาชีวิตไปสังเวย ช่างที่ไปแกะสลักหินอ่อนกลางแดดนั้นเป็นหมื่นคนตาบอด นักแกะสลักมือหนึ่งของโลกที่มาจากเปอร์เซียหรือเอเชียกลาง ทำงานเสร็จแล้วถูกตัดมือไม่ให้ไปทำที่ไหนอีก กินเวลายาวนานมากในการก่อสร้าง ทรัพย์สินเงินทองหมดไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร

 

ทัชมาฮาลที่ พระเจ้าชาห์ ชะฮาน (Shah Jahan) จักรพรรดิโมกุล สร้างเป็นอนุสรณ์ที่ฝังศพมเหสี มุมตัชมาฮาล (Mumtaz Mahal) ซึ่งสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2174 โดยเริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2175 ได้เสร็จสิ้นลงโดยใช้เวลาสร้าง 22 ปี เพื่อผู้หญิงที่พระองค์รักที่สุดคนเดียว ประชาชนชาวอินเดียในยุคนั้นกว่าแสนคนต้องมาพลีชีวิตลงตรงนั้น เศรษฐกิจของประเทศแทบล่มสลาย สุดท้ายลูกชายทนไม่ได้ จับพ่อไปขังที่วังที่ป้อมแดง จนกระทั่งพ่อสวรรคตไปอย่างน่าเศร้าที่สุด คำถามก็คือพระเจ้าชาห์ ชะฮาน มีความรักต่อพระนางมุมตัชแล้ว แขกไปใครมาก็ไปชื่นชมว่า ทัชมาฮาลคืออนุสาวรีย์แห่งความรักของสองคนนี้ แต่ทำไมต้องสังเวยด้วยชีวิตของคนนับแสนคน

 

เห็นไหมว่า ความรักที่อิงกับกามารมณ์ชนิดนี้อันตรายของมันอยู่ตรงที่ มันจะมาพร้อมกับความเห็นแก่ตัว พระเจ้าชาห์ ชะฮาน เห็นแก่ตัว คือ เพื่อภรรยาสุดที่รัก ก็สร้างอนุสรณ์สถานให้ภรรยา คนจะตายเท่าไรไม่ว่า แต่พระมเหสีต้องอยู่ในที่สมเกียรติ กลายเป็นว่าภรรยานั้นเป็นที่รักใคร่ของพระองค์แต่พระองค์นั้นเป็นที่เกลียดชังของประชาชนอย่างยิ่ง นี่คือมายาของรักใคร่ปรารถนา ถ้าเรารู้ไม่ทันเราจะถูกเขาจิกหัวใช้

 

  1. รักแบบเมตตาอารี

คือ ความรักถึงความผูกพันทางสายเลือด นามสกุล ศาสนา ชาติพันธุ์ ชนชั้น วรรณะ ภาษา และวัฒนธรรม พูดง่ายๆว่า เป็นความรักซึ่งเกิดขึ้นจากการที่มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ตระหนักรู้ว่า ผู้ที่ร่วมสายพันธุ์เดียวกันกับตนนั้นเป็นพวกเดียวกันกับตน ความรักชนิดนี้บางครั้งเราก็เรียกว่า ความรักอิงสายเลือดบ้าง ความรักถึงความเมตตาบ้าง เช่น พ่อแม่รักลูก เพื่อนรักเพื่อน นายรักลูกน้อง มนุษย์ด้วยกันรักมนุษย์ สัตว์ด้วยกันรักสัตว์ คนชาติเดียวกันรักกัน เช่น คนไทยรักคนไทยมากกว่าฝรั่ง ฝรั่งก็จะรักฝรั่งมากกว่าคนไทย จีน ก็จะรักจีนมากกว่าแขก

 

นี่เรียกว่า รักแบบเมตตาอารี แม้จะเป็นความรักที่มีรากฐานอยู่บนพื้นฐานของเมตตา แต่ก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่นั่นเอง เพราะยังมีข้อจำกัดว่า เลือกรัก เลือกเมตตาเฉพาะเผ่าพันธุ์พงศาคณาญาติของตน แม้จะดูกว้างขวางแต่ก็ยังไปไม่พ้นพรมแดนของการถือเขาถือเราอยู่นั่นเอง ความรักเช่นนี้ เป็นความรักที่อาศัยโยงใยทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เราจะรักใครก็ตามที่เราเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมได้ในแง่ใดแง่หนึ่ง

 

เช่น ถ้าเราเดินอยู่ในอเมริกาแล้วเจอคนไทย เราจะรู้สึกปีติเบิกบานขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่ฝรั่งที่เราเจอก็คนทั้งนั้น แต่เราจะเฉยๆ ถ้าคนไทยคนนั้นเป็นชาวพุทธเหมือนกับเราก็ยิ่งดีใจใหญ่ ทำไมเป็นอย่างนั้น เพราะลึกๆ เรามีโยงใยทางวัฒนธรรมบางสิ่งบางอย่างร่วมกัน ความรักชนิดนี้ทำให้มนุษย์รวมกัน เป็นหมู่เป็นคณะเป็นกลุ่มเป็นก้อน แต่อันตรายของความรักชนิดเช่นนี้ก็คือ บางครั้งมันกลายเป็นความหลงผิด ยึดติดถือมั่นในกลุ่ม ในหมู่ในพรรค ในเผ่า ในพันธุ์ของตัวเอง แล้วกลายเป็นสงครามระหว่างชาติพันธุ์ ระหว่างผิวสี ศาสนา ลัทธิ การเมือง ซึ่งเคยมีตัวอย่างมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เช่น ฮิตเลอร์สังหารชาวยิวเพราะอะไร หรือสงครามครูเสดเกิดขึ้นยาวนานหลายร้อยปี ก็เพราะทุกคนอยากจะปกป้องพระเจ้าของตนเอง รวมทั้งสงครามแบ่งแยกดินแดนทั้งหลาย ความรักชนิดนี้ลึกๆ เข้าไปอาศัยคำว่า ลัทธิอุดมการณ์เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เป็นเครื่องเชื่อมโยงที่สำคัญ รักแบบนี้มีอยู่แล้วในใจของเราทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะปฏิบัติธรรม หรือไม่ปฏิบัติธรรมก็ตาม ทุกคนมีความ

เมตตาเป็นเรือนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นพ่อคน เป็นแม่คน ทันทีที่มีลูก ความเมตตาจะหลั่งไหลมาสู่ลูก นั่นคือรักแบบเมตตาอารี รักแบบนี้เป็นความรักที่บริสุทธิ์ แต่ว่ายังไม่ดีจริง เพราะอะไร พ่อแม่รักลูกถ้าเมตตามากเกินไป อาบน้ำพ่อแม่ก็ทำให้ ประแป้งก็ทำให้ กินข้าวก็ป้อนให้ ไปโรงเรียนก็ขับรถไปส่งให้ ครูสั่งการบ้านให้คัดลายมือ กลับมาพ่อแม่นั่งคัดลายมือให้ลูกจนดึกจนดื่น พ่อแม่เก่งแต่ลูกแย่ ทำอะไรไม่เป็น รักแบบเมตตาถึงแม้ว่าจะดี แต่ถ้าเกินขอบเขตก็ไม่ดี

 

ฉะนั้น รักแบบเมตตาอารี ก็ยังมีข้อจำกัด ยังไม่ได้พรมแดนแท้จริง ยังมีกรอบ มีเกณฑ์ มีเงื่อนไขอยู่ผู้เขียนขอเล่าเรื่องให้ฟังว่าเมตตามีอานุภาพสูงขนาดไหน ถ้าใครมีเมตตาอยู่ในเรือนใจ คนนั้นจะมีเสน่ห์โดยไม่ต้องแต่งเนื้อแต่งตัว แต่ผู้อยู่ใกล้จะสามารถสัมผัสว่าคนนี้เป็นบุคคลที่เป็นมงคลยิ่ง

 

ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อลี ธมฺมธโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ท่านไปปักกลดอยู่นครสวรรค์ ขณะที่ท่านกำลังภาวนาอยู่ในกลด ช้างตกมันวิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านวิ่งหนีเข้าป่า จนไปถึงกลดของหลวงพ่อลี คนที่วิ่งมานั้นกลัวทุกคน หลวงพ่อลีคิดว่า เราก็ต้องหนีเหมือนกัน ได้ยินเสียงช้างร้องใกล้เข้ามาๆ จู่ๆ หลวงพ่อจิตสอนจิตขึ้นมา กุศลจิตวาบเข้ามาดวงหนึ่ง กุศลจิตบอกท่านว่า“ถ้าหนี เราเป็นคนไม่จริง ถ้าเป็นคนจริงต้องไม่หนี ถ้าเราหนีก็ต้องหนีไปทุกภพทุกชาติ”

 

หลวงพ่อลีจึงตัดสินใจว่า เราจะไม่หนี เราจะพลีชีวิตนี้เพื่อธรรม แล้วก็นั่งสงบอยู่ในกลด แผ่เมตตาให้ช้าง บอกว่า“ถ้าเป็นเจ้ากรรมนายเวร มาเอาชีวิตไปเถอะ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต่างคนต่างไปก็แล้วกัน”ช้างตกมันวิ่งพุ่งมาเหมือนลูกศรหลุดจากคันธนู แต่พอมาถึงกลดแล้ว ช้างรับสัมผัสเมตตาของหลวงพ่อลีได้มันหยุดสงบลงทันที หันหลังแล้วเดินกลับเลย หลวงพ่อลีแหวกกลดดู นี่คืออานุภาพของเมตตาที่แท้จริง ฉะนั้น ความเมตตามีอยู่แล้วในใจเราทุกคน แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่เอาออกมาใช้ได้ นั่นเพราะเรายังมีความโกรธความอิจฉามันขวางทางอยู่ เราจึงเมตตาเขาไม่ลงเหมือนนิทานพุทธปรัชญาเรื่องหนึ่งที่เล่าไว้ว่า มหาเศรษฐีคนหนึ่งถวายสังฆทานให้พระเซนที่ประเทศญี่ปุ่น หลวงพ่อก็ให้พร “ขอให้กุศลที่โยมมาทำบุญในวัดนี้ จงตกแก่สรรพชีพ สรรพสัตว์ทั้งหลายในสากลโลกด้วยเทอญ”

เศรษฐีก็ดึงชายจีวรหลวงพ่อ แล้วบอก “หลวงพ่อจะแผ่เมตตาให้ใครก็ได้ในโลกนี้ แต่ผมขอให้ยกเว้นคนคนหนึ่ง หลวงพ่อก็ถาม “ใครล่ะ”

“เพื่อนบ้านผม”

“เขาทำอะไรให้โยม

"เขาเป็นกิ๊กกับภรรยาผม”

เห็นไหม อุปสรรคของเมตตาก็คือ ความคับแคบของใจเรา ที่ทำให้เราไม่สามารถรักคนทั้งโลกได้ ฉะนั้นเมตตาจึงยังไม่พอ เพราะเมตตามีข้อจำกัดว่า เราจะเมตตาเฉพาะกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับเราในมิติใดมิติหนึ่งเสมอ แต่แม้จะมีข้อจำกัดถึงเพียงนี้ แต่เมตตาก็หล่อเลี้ยงโลกได้ ผู้เขียนเคยอ่านสารคดีเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับโจรที่อเมริกา และเขาถูกจับได้โดยละม่อม คือ ชายคนนี้หนีหมายจับมาเป็น 10 ปี วันหนึ่งเขานั่งอยู่ใต้สะพาน เห็นผู้หญิงกำลังจะฆ่าตัวตาย เธอพุ่งหลาวลงไปในน้ำ เขารีบลงไปช่วย อุ้มหญิงขึ้นมา รถก็กรูเข้ามาคนก็กรูเข้ามา นำผู้หญิงส่งโรงพยาบาล ส่วนชายที่ช่วยถูกนำตัวส่งโรงพัก เพราะตำรวจจำได้ว่าเป็นนักโทษ

 

มีคนถามว่า “คุณรู้อยู่แล้วว่าเป็นนักโทษ ทำไมถึงไปอยู่ในที่สาธารณชนผู้ชายตอบว่า “นาทีนั้นผมไม่รู้ว่าผมเป็นผู้ร้าย ผมรู้แค่ว่าผมต้องช่วยเธอ"

เราทุกคนมีคุณสมบัติตรงนี้ แต่ใครกี่คนจะนำมาใช้ได้ เพราะเราติดข้อจำกัดเรื่องอิจฉา ริษยา ความคับแคบของเรา ทำให้เราเมตตาคนทั้งโลกไม่ได้ เมตตาได้เป็นหย่อมๆ เมตตาได้เป็นพักๆ เป็นคนๆ เป็นกลุ่มๆ

 

ท่านอาจารย์ชยสาโร หรือ ท่าน ฌอน ชิเวอร์ตัน (Shaun Chiverton) ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชา ท่านเล่าเอาไว้ ตอนที่ท่านแสวงหาครูบาอาจารย์ทางจิตวิญญาณนั้นได้เดินกระเซอะกระเซิงอยู่กลางกรุงเตหะราน ผมเผ้ายุ่งเหยิงเสื้อผ้าหลุดรุ่ย สภาพจิตใจสะบักสะบอม หิวแสนหิว เงินไม่มีแม้แต่บาทเดียว ยืนหน้าร้านอาหารริมทาง กลิ่นแตะจมูกตาลาย หูอื้อไปหมด แต่ก็ไม่ขอ และไม่เคยคิดจะขโมยขณะที่ท่านกำลังหันไปหันมา ไม่รู้จะเอาชีวิตรอดได้

 

อย่างไรนั้นเอง จู่ๆ มีหญิงสูงอายุ หน้าตาบึ้งตึง เดินออกมาจากซอกตึก จูงแขนท่าน พาไปบ้าน ให้ท่านอาบน้ำในห้องน้ำ ตัดผมให้ ยื่นมีดโกนหนวดให้ จัดเสื้อผ้าใหม่มาให้จัดอาหารให้ เสร็จแล้วจูงแขนมาส่งที่ถนน ฌอน ชิเวอร์ตัน ไม่รู้จะทำอย่างไรก็เดินจากไป จนกระทั่งท่านได้มาพบครูบาอาจารย์ที่แท้จริงในเมืองไทย คือ หลวงปู่ชา สุภัทโท ท่านเดินจากมาครั้งนั้น แต่ผู้หญิงคนนั้น ซึ่งท่านเรียกว่า พระโพธิสัตว์หน้าบึงไม่เคยเดินออกจากความทรงจำของท่านเลย ท่านอาจารย์ชยสาโร สรุปว่า นี่คือ เมตตา เห็นไหมว่า หัวใจของเรานั้น มีศักยภาพที่จะรักใครก็ได้ทั้งนั้น แต่ทำไมจึงรักไม่ได้ เพราะความคับแคบใจที่ทำให้เราออกจากอคติไม่ได้ เราไม่สามารถรู้สึกว่าทุกคนคือมนุษยชาติ เราก้าวข้ามไม่พ้นเปลือกของความเป็นมนุษย์ที่ครอบเราอยู่

 

อย่างผู้เขียนเป็นพระ เปลือกของผู้เขียนเป็นพระลึกๆ ผู้เขียนก็เป็นมนุษย์ เราทุกคนมีเปลือกคือ เป็นหญิง เป็นชาย แค่ความเป็นหญิงเป็นชาย บางทีก็ทำให้เรามีอคติต่อกัน ชายจะเอาเปรียบหญิง หญิงรู้สึกว่าผู้ชายกำลังเอาเปรียบ ก็แค้นกัน อยู่ต่างพรรค ต่างพวก ต่างที่ทำงาน ต่างสถาบันผิวสีต่างกัน มีฮีโร่ต่างกัน แค่นี้ก็ทำให้มนุษย์โกรธ เกลียดชิงชังกันได้ แล้วก็ทำร้ายกันได้ ทั้งที่ถ้าเราขจัดเปลือกนี้ออกได้หมด มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะเมตตาซึ่งกันและกันได้อย่างไร้ขีดจํากัด

 

  1. รักมีแต่ให้

พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่า เมตตาอย่างเดียวช่วยโลกไม่ได้แน่ๆ ทรงนำเสนอความรักอีกชนิดหนึ่ง นั่นคือ รักมีแต่ให้ หรือรักแท้คือกรุณานี่เอง

ความกรุณา ก็คือ ความสงสารนั่นเอง ซึ่งมีความ

สำคัญมากถึงขนาดยกให้เป็นหนึ่งในพระพุทธคุณของพระองค์ซึ่งมีอยู่ 3 พุทธคุณคือ

  1. พระปัญญาคุณ
  2. พระวิสุทธิคุณ
  3. พระกรุณาคุณ

กรุณาไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ กรุณาที่แท้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเจริญวิปัสสนากรรมฐานไปจนกระทั่งบรรลุถึงตาน้ำแห่งโพธิ คือเป็นพระอริยบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจนได้เป็นพระอรหันต์ ทันทีที่จิตของเราลงสู่กระแสแห่งความเป็นพระโสดาบัน ซึ่งเป็นกระแสแรกแห่งความเป็นอารยชน กรุณาจะเกิดในใจเรารักแท้คือกรุณานี้ เป็นความรักของมนุษย์ผู้ที่ได้ค้นพบภาวะความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจอย่างลึกซึ้งแล้วหลุดพ้นจากกิเลสขึ้นมาเป็นอริยชน

 

ความรักชนิดนี้ เกิดขึ้นจากการมองเห็นความไร้แก่นสารหรือความไม่มีตัวตนของตนเอง จึงไม่มีตัวตนไว้สำหรับเห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัว จึงเห็นแก่โลกทั้งผองหัวใจไร้พรมแดน เกิดเป็นความรักขั้นสูงสุด มองคน มองสรรพชีพ มองสรรพสัตว์ทั้งหลายในลักษณะโลกทั้งผองพี่น้องกัน

 

ความรักชนิดนี้เป็นความรักแท้ เปิดเผย บริสุทธิ์ จริงใจ โดยไม่เรียกร้องการตอบแทน เปรียบเสมือนแสงเดือนแสงตะวันที่สาดโลมผืนโลก เปรียบเสมือนสายฝนและดงดอกไม้ที่ชโลมผืนโลก ให้ความชุ่มเย็น งดงาม และไม่ต้องการให้ใครมองเห็นคุโณปการของตัวเอง เป็นดอกไม้ก็ส่งกลิ่นหอม แล้วร่วงโรยไปตามวันเวลาอย่างสงบเงียบ ไม่ปรารถนาจะเป็นที่ปรากฏอะไร

 

เช่นเดียวกัน พระอรหันต์ทั้งหลาย อริยชนทั้งหลาย ตั้งแต่พระโสดาบันบุคคลขึ้นไป ก็ทำงานเพราะมีความรักที่แท้เป็นแรงผลักดัน ทำงานก็เพราะว่างานนั้นเป็นสิ่งที่ดี ชีวิตของท่านควรทำ ไม่มีแรงจูงใจในลักษณะเกิดจากกาลกิเลสกามกิเลส หรือผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนเราทุกคนเกิดมาแล้วก็หายใจ ที่เราหายใจเพราะการหายใจคือส่วนหนึ่งของชีวิต เราหายใจโดยไม่จำเป็นต้องเรียกร้อง ไม่จำเป็นต้องบังคับ การหายใจก็คือการหายใจ

 

รักมีแต่ให้ เป็นความรักที่มาพร้อมกับปัญญา ความรักที่ 1-3 เป็นความรักที่มีอารมณ์ คือ ใช้อารมณ์รักเป็นรากฐานที่สำคัญแต่ความรักชนิดที่ 4 อิงปัญญา คือ ความรู้ส่วนกระจ่างแจ้งในโลกและชีวิต ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง จนมนุษย์สามารถถอดถอนตัวเองออกมาจากมายาคติ คือสิ่งที่เป็นความลวงทุกชนิด เหมือนก้อนเมฆที่เคลื่อนออกไป ฟ้าก็เปิด ทอดตามองไปทางไหนก็เห็นแต่แสงสว่างในทิศทั้ง 4

 

ไม่มีอะไรอีกที่เป็นความลับดำมืดหรือเคลือบแคลงสงสัยมัวเมา ความรักชนิดนี้เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเรามีปัญญาที่จะหยั่งรู้ถึงความจริงของโลกและชีวิตอย่างตรงไปตรงมา เช่น ถ้าเราเห็นเงิน เราก็รู้ว่าเงินเป็นเพียงสิ่งสมมติที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เราใช้เงินเสร็จแล้ว เราก็สามารถปล่อยวางมันได้ เราใช้เสื้อผ้าเสร็จแล้วเราก็สามารถถอดวางไว้ได้ เรามีรถ เราใช้รถเสร็จแล้วเราก็ไม่ยึดติดยศ เรามีทรัพย์สมบัติ เราก็บอกว่าสรรพสิ่งคือของใช้ไม่ใช่ของฉัน พอเรามีความเข้าใจโลกและชีวิตตามความเป็นจริงอย่างนี้ ปัญญาของเราจะเป็นอิสระ พอปัญญาของเราเป็นอิสระแล้ว ทอดตาไปทางไหนเราก็เห็นกว้างขวาง หมดความยึดติดถือมั่น ทอดตาไปทางไหนเราก็จะเห็นแต่มนุษย์ชาติ กระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เขากับเราแตกต่างกันเพียงเปลือกผิวภายนอก แต่โดยเนื้อหาสาระก็คือ สิ่งมีชีวิตที่เรียกกันว่ามนุษยชาติ ไม่มีใครสูงกว่าใคร ไม่มีใครต่ำกว่าใคร มีแต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกกันว่าคน นั่นคือความจริงสุดท้าย พอจิตของเราเป็นอิสระอย่างนี้แล้ว ความรู้สึกในเชิงแบ่งแยกหายไป ความรู้สึกในเชิงเอื้อเถียงหายไป ความรู้สึกในเชิงเปรียบเทียบหายไป ทอดตามองไปทางไหนก็เห็นแต่คนที่เสมอกันกับเราและนั่นคือเหตุที่ทำให้เราเรียนรู้ที่จะรักคนอื่นพอๆกับที่เรารักตัวเอง ความรักเช่นนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะนำความรักที่แท้มา นั่นคือความกรุณา รักแท้คือกรุณา(กรุณา ก็คือ ความสงสารอันใหญ่หลวง ซึ่งทำให้เราไม่สามารถทำร้ายใครได้อีกเลย เพราะทอดตาไปทางไหนก็ล้วนแล้วแต่เป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับเราทั้งหมดทั้งสิ้น เมื่อปัญญาทำหน้าที่เปิดประตูหัวใจของเราแล้ว ธารน้ำแห่งความรักก็จะไหลหลั่งดั่งต้นออกมา ชโลมชาวโลกให้อยู่กันฉันพี่ฉันน้อง

 

อุปมาให้เห็นง่ายๆ รักแท้คือกรุณา เปรียบเสมือนแสงเดือนแสงตะวันที่สาดลงผืนโลกโดยที่ไม่เคยเรียกร้องค่าตอบแทน เป็นน้ำก็ไหล เป็นจันทร์ก็ส่อง เป็นนกก็ร้องเพลงโดยไม่เคยถามใครว่าเคยเห็นความสำคัญของฉัน หรือโดยไม่เคยถามว่าใครจะได้อะไรตอบแทนไหม

 

ฉะนั้น วิวัฒนาการสูงสุดของความรักก็คือ รักแท้คือกรุณา เราต้องไปให้ถึงความรักชนิดเช่นนี้ จึงจะเป็นความรักที่ดีที่สุด ที่ไม่เพียงแต่คนหนุ่มสาวเท่านั้น มนุษยชาติจะต้องไปให้ถึงความรัก คือ การตระหนักรู้ในสัจธรรม แล้วเราสามารถถอดถอนตัวเองออกมาจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้อย่างสิ้นเชิง มีหัวใจที่บริสุทธิ์ หมดจด แล้วก็แผ่ความรักนั้นออกไปรักคนได้ทั้งโลก

 

ความรักในทัศนะของผู้เขียนกล่าวอย่างสั้นที่สุดคือกรุณา คือ จิตใจอันใหญ่หลวงที่สามารถรักคนได้ทั้งโลกโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ รักแท้คือกรุณาจะมาหลังจากการผลิบานทางปัญญาเสมอไป ถ้าไม่ได้มาพร้อมปัญญาเป็นได้แค่มายาการชนิดหนึ่ง พูดง่ายๆ เป็นได้แค่ความรู้สึก

 

ฉะนั้น ถ้าไปดูพระพักตร์ของพระพุทธรูป จะเห็นว่ายิ้มทุกองค์ ทำไมยิ้ม เพราะจิตท่านเบิกบานผ่องใส ท่านจึงกลายเป็นผู้ที่ยิ้มให้กับคนทั้งโลก รักที่แท้จะเป็นอย่างนั้น เราเกลียดใครไม่ลงเลย

 

พุทธศาสนานี้จึงเป็นศาสนาแห่งความรักเริ่มต้นพระพุทธเจ้าก็รักในโพธิญาณ ใช้วันเวลาทั้งหมด 84,000 อสงไขย กับอีก 100,000 กัลป์ ทุ่มเทปัจจัยลงไปในโพธิญาณ รักในการที่จะเป็นพระพุทธเจ้า และเมื่อบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ก็ไปถึงตาน้ำที่แท้ตลอดเวลา 45 ปีหลังจากที่ตรัสรู้ เสด็จพุทธดำเนินไปทุกหนทุกแห่งเพื่อหว่านโปรยพุทธธรรมอันเป็นเครื่องมือที่จะนำชาวโลกไปสู่ความรักที่แท้ และด้วยเหตุนั้น พระพุทธองค์จึงมีพระนามอีกอย่างหนึ่งว่า “พระมหาการุณิโก”แปลว่า “พระผู้มีความรักที่แท้”

 

เพราะฉะนั้น พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความรักและเราชาวพุทธทุกคน เมื่อเข้าใจพุทธธรรมอย่างถึงที่สุดแล้ว เราจะกลายเป็นผู้ที่มีความรักอย่างลึกซึ้งที่สุด นอกจากนี้ รักแท้คือกรุณา ยังเปรียบเสมือนดอกบัวที่ตูมอยู่ตลอดเวลาในสระน้ำแห่งหัวใจของเรานี้ เขารออยู่เพียงเมื่อไหร่แสงแรกของพระอาทิตย์จะสาดมาคนทุกคนมีความรักที่ชื่อ กรุณา จำพรรษาอยู่ในหัวใจแล้ว ดี ชั่ว โง่ ฉลาด ไทย เทศ ก็มี พระหรือโยมก็มีแต่ทำไมรักแท้คือกรุณาจึงแสดงตัวไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าเรามีรักแท้คือกรุณาอยู่ และเราหากุญแจเปิดประตูไม่ถูก

 

ฉะนั้น ถ้าเราอยากพัฒนาความรักของเรา จากรักตัวกลัวตาย รักใคร่ปรารถนา รักเมตตาอารี จนมาถึงรักมีแต่ให้ กุญแจอยู่ตรงวิปัสสนากรรมฐาน

 

เมื่อเราเจริญวิปัสสนากรรมฐานไป ดวงจิตวิวัฒนาการไปกระทั่งหยั่งลงสู่กระแสแรกแห่งธรรม กระแสแรกแห่งพระนิพพาน ก็คือการบรรลุโสดาบัน จิตของเราจะเปรียบเสมือนฝายน้ำล้น พอน้ำล้นแล้ว ไม่มีทางเลยที่เขาจะกักน้ำไว้ เขาจะปล่อยให้กระแสน้ำไหลออกไปจนหมดจนสิ้น ใครที่เคยเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนถึงจุด ๆ นั้น พอน้ำหยด

 

สุดท้ายของความตื่นรู้ หยดไปในแก้วน้ำของหัวใจที่มันเต็มปรี่ ล้นออกมา น้ำตาจะไหล แล้วความรักอย่างสุดซึ้งจะเกิดขึ้น เราไม่มีทางจะเกลียดใครได้อีกต่อไป

 

ผู้เขียนจำได้ดีว่า ตอนที่ยังเป็นเณรน้อยไปเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ผู้เขียนเรียนพุทโธมาตั้ง 6 ปี ไม่ค่อยรู้เรื่อง เปลี่ยนไปเรียนสายเจริญสติ แบบวิปัสสนากรรมฐานแบบยุบหนอ พองหนอ ก็ฝึกของเราไป ด้วยความที่เป็นเณรน้อย จิตก็บริสุทธิ์มาก จู่ๆ วันหนึ่ง จิตก็รวมเข้าให้น้ำตาไหล นึกถึงโยมพ่อโยมแม่ ผู้เขียนบอกตัวเองว่า อยากกลับคืนนี้ อยากไปจูงแขนพ่อกับแม่มาที่นี่ มาที่ศาลาตรงนี้ มาปฏิบัติธรรม อยากกลับไปกราบเจ้าอาวาสที่วัด กราบที่ไหนก็ไม่สมกับสิ่งดีๆ ที่เราได้พบในชีวิต อยากกราบที่เท้าท่านให้มันสมกับสิ่งที่เราได้ค้นพบในจิตใจของเรากลับจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเที่ยวนั้น ผู้เขียนทิ้งอุปกรณ์อำนวยกิเลสหมดเลย ชีวิตที่เหลือ ฉันจะอยู่กับความร่มเย็นเป็นสุข เหมือนเราค้นพบว่า ในตัวเรานี้มีธารน้ำพุอยู่ เขารอวันที่เราค้นพบ พอเราค้นพบแล้ว เขาก็ไหลหลั่งเอาความชุ่มเย็น ทุกวัน ทุกคืนก็มีแต่ความร่มเย็นอยู่อย่างนั้น

 

ฉะนั้น ไม่ต้องถึงอรหันต์หรอก แค่เราเจริญวิปัสสนากรรมฐานไปเรื่อยๆ ถ้าเราทำถูกทาง มันจะถูกธรรมยังไม่ต้องเป็นโสดาบัน เป็นมนุษย์นี่แหละ จิตจะพลิกความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ความรักต่อเพื่อนมนุษย์นี่มาประเภทที่เราตัวชา ขนลุก ขนพอง เราไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นคนเดิมได้อีกต่อไป ถ้าจิตเราไปสัมผัสกับปรมัตธรรมขั้นลึกและหลังจากนั้น รักแท้คือกรุณา ที่เกิดจากจิตที่บริสุทธิ์หลุดพ้นของเราจะกลายเป็นแรงจูงใจให้เราเดินสายออกไปทำงานเพื่อมนุษยชาติ โดยไม่เรียกร้องการตอบแทน

 

เราทำงานเพราะมันคือวิถีชีวิตของเรา เป็นพระแสดงธรรม เพราะเราเป็นพระ ไม่ใช่แสดงธรรมเพราะเห็นกัณฑ์เทศน์ที่อยู่เบื้องหน้า แต่เราแสดงธรรมเพราะเรามีธรรมที่จะแสดง เปรียบเสมือนฝน เป็นฝนก็ตก เปรียบเสมือนนก เป็นนกก็ร้อง เปรียบเสมือนพระจันทร์ เป็นพระจันทร์ก็ส่องแสง เปรียบเสมือนดอกไม้ เป็นดอกไม้ก็บาน ไม่เรียกร้องการตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ใช่เป็นฝน พอตกเรียบร้อยแล้วก็โอ้โฮ ประชาชนทั่วโลกชื่นอกชื่นใจ วันรุ่งขึ้น ส่งบิลมาเก็บค่าน้ำฝน ไม่มีนะ

 

คนที่พบกับรักแท้คือกรุณา ที่เกิดจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างถูกต้อง หัวใจจะเต็มปรี่ไปด้วยความรัก ฉะนั้น รักแท้คือกรุณานั้น คือรักที่ไหลหลั่งออกมาจากใจของผู้ที่ตื่นรู้ ชีวิตของเขาก็เปลี่ยน คนที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะเปลี่ยน โลกทั้งโลกที่เขาเข้าไปสัมพันธ์ก็จะเปลี่ยน คนคนหนึ่งถ้าเปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจได้อย่างแท้จริงก็เปลี่ยนโลกได้

 

หนุ่มสาวรุ่นใหม่ควรจะเรียนรู้ว่า ความรักมีหลายมิติ

 

แต่ที่เราหยิบมาเน้นทุกวันนี้มีมิติเดียวคือความรักในเชิงชู้สาวซึ่งมักจะไปจบที่การมีความสัมพันธ์ เพราะว่าไม่อยากจะผูกพันและนั่นเป็นเหตุก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมามากมายเพราะฉะนั้น เราควรจะเปิดใจให้กว้างเพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่าแท้ที่จริงนั้น ความรักเป็นอะไรที่มากกว่าความสัมพันธ์ในเชิงชายหนุ่มหญิงสาว

 

อ้างอิง : ก้าวไปให้ถึงรักแท้ (LOVE) ว.วชิรเมธี

เนื้อหาโดย: machete007
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
machete007's profile


โพสท์โดย: machete007
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
10 อันดับ เลขขายดี สลากตัวเลขสามหลัก N3 งวด 16/5/68อิงอิง อิงณภัสร์ แม่ที่เสียชีวิตจาก คดีดัง ศยามล โตแล้วสวยมากรวบตัวได้คาสนามบิน! สาวยูเครนก่อเหตุพังห้องพักคอนโดหรูใจกลางภูเก็ต เสียหายกว่า 3.5 แสนบาทย้อนวันวาน “เกาะลอย” จากเกาะเล็กกลางทะเลสู่สถานที่ท่องเที่ยวคู่เมืองศรีราชาไทยพังทั้งระบบ การท่องเที่ยวดิ่งเหว"ตึกใบหยก" จากตำนานสิ่งทอ สู่ตึกระฟ้าสัญลักษณ์ประตูน้ำที่ยังคงยืนหยัดเลขเด็ด สำนักดัง สุย+กลมเกตุนุติ+กริช+ทอมบ้านไร่ งวดวันที่ 16 พฤษภาคม 2568แผ่นปูนยักษ์ตกใส่รถพังยับ! มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เหตุที่ลาดกระบัง 54ปูตินเตรึยมเปิดโต๊ะเจรจาสันติภาพกับยูเครนพฤหัสนี้!!อินเดียสั่งปิดสนามบิน 32 แห่ง หลังปะทะกับปากีอย่างหนักโหสวยไรขนาดนั้นอะ วันเกิดครบ 30 ปีของชีหลิงหลิง คอง ภาพเซตนี้สวยเว่อรรรร์ The Princess Diaries แบบทำถึงงง“ข้าวต้มกุ๊ย” เมนูโต้รุ่งถึงเคยเป็น “อาหารคนจน”?
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ปูตินเตรึยมเปิดโต๊ะเจรจาสันติภาพกับยูเครนพฤหัสนี้!!วิธีเตรียมตัวสำหรับเด็กที่อยากยื่นรอบ Portfolioโหสวยไรขนาดนั้นอะ วันเกิดครบ 30 ปีของชีหลิงหลิง คอง ภาพเซตนี้สวยเว่อรรรร์ The Princess Diaries แบบทำถึงงง“นางสาวสุวรรณ“ ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรก โดยนายทุนต่างชาติเห็นผลจริง!! ความเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลดลง ตั้งแต่รัฐปราบปรามแก้ปัญหากลิ่นตัว
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ทั่วไป
ขนาดน้องชาย: ใหญ่ vs ยาว... อะไรที่ผู้หญิงชอบมากกว่ากัน?สวยจนต้องหยุดมอง หิมะสีชมพูเกิดจากอะไร?ชาวสงขลาฟังทางนี้! โอกาสในการหางานมาถึงแล้ว ตำแหน่งงานว่าง CP ALL หาดใหญ่ 100 กว่าอัตรากฎเหล็ก 6 ข้อของความสัมพันธ์แบบ FWB
ตั้งกระทู้ใหม่