ช็อก! สาวรัสเซียบินลัดฟ้ามาขายบริการในไทย ค่าตัวเฉียดหมื่นต่อครั้ง
แรงสะเทือนวงการท่องเที่ยว! รวบสาวรัสเซียลักลอบค้าประเวณีบนเกาะพะงัน รายได้เดือนละหลายแสนจากบริการข้ามคืน
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่า ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (ผบช.ทท.) ได้มีคำสั่งตรงถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ให้เข้มงวดในการดูแลความเรียบร้อยในแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะการกวดขันป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ หลังได้รับรายงานว่ามีขบวนการลักลอบค้าประเวณีในพื้นที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง “เกาะพะงัน” จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ภารกิจล่อซื้อกลางดึก จับกุมสาวรัสเซียกลางรีสอร์ท
ปฏิบัติการครั้งนี้นำโดย พ.ต.ท.วินิจ บุญชิต สว.ส.ทท.5 กก.2 บก.ทท.3 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เกาะพะงัน, เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง, หน่วยปฏิบัติการพิเศษจังหวัดสุราษฎร์ธานี และฝ่ายปกครองในพื้นที่ ได้วางแผนดำเนินการอย่างเงียบๆ หลังสืบทราบข้อมูลเชิงลึกว่ามีหญิงชาวรัสเซียรายหนึ่งลักลอบค้าบริการทางเพศ โดยมีการโพสต์ข้อความโฆษณาบนเว็บไซต์ที่เข้าถึงง่าย และเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ “ค่าบริการ” อย่างชัดเจน
เจ้าหน้าที่จึงใช้วิธีการล่อซื้อ โดยส่งสายลับเข้าไปติดต่อผ่านช่องทางออนไลน์ จนสามารถนัดหมายกับผู้ต้องหาได้ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในพื้นที่หมู่ 4 ตำบลบ้านใต้ อำเภอเกาะพะงัน
ในเวลาไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็สามารถจับกุมหญิงสาวคนดังกล่าวได้พร้อมของกลาง ได้แก่ เงินสดจำนวน 11,000 บาท และถุงยางอนามัยหลายชิ้น ซึ่งเป็นของกลางที่เกี่ยวข้องกับการล่อซื้อในครั้งนี้
เปิดตัวผู้ต้องหา – สาวรัสเซียวัย 34 ปี รับสารภาพทุกข้อกล่าวหา
ผู้ต้องหารายนี้ทราบชื่อภายหลังคือ นางสาวอลินา (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี สัญชาติรัสเซีย โดยให้การรับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ว่า ตนเข้าสู่ธุรกิจค้าบริการทางเพศเนื่องจากรายได้ดีมาก โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากที่สุดคือในช่วงดึก ตั้งแต่ 01.00 – 05.00 น. ซึ่งถือว่าเป็น “ช่วงเวลาทอง” ที่สามารถสร้างรายได้ให้เธอมากถึงหลักแสนบาทต่อเดือน
อลินายังเผยอีกว่า ค่าบริการต่อครั้งของเธออยู่ที่ 11,000 บาทต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงมากเมื่อเทียบกับอัตราในพื้นที่ แต่ด้วยรูปลักษณ์และการดูแลตัวเองที่ดี ทำให้เธอมีลูกค้าต่อเนื่อง และบางรายยังเป็นชาวต่างชาติระดับไฮโซที่บินมาท่องเที่ยวและแสวงหาประสบการณ์แปลกใหม่
ข้อหาหนักหลายกระทง – เตรียมดำเนินคดีตามกฎหมายไทย
ภายหลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหากับ น.ส.อลินา รวม 2 ข้อหาใหญ่ ได้แก่:
1. มั่วสุมในสถานที่ค้าประเวณีเพื่อประโยชน์ในการค้าประเวณีของตนเองหรือผู้อื่น
2. โฆษณาหรือรับโฆษณา ชักชวน หรือแนะนำด้วยเอกสาร สิ่งพิมพ์ หรือการกระทำให้แพร่หลายด้วยวิธีใดๆ ไปยังสาธารณะในลักษณะที่เห็นได้ว่าเป็นการเรียกร้องหรือการติดต่อเพื่อการค้าประเวณีของตนเองหรือผู้อื่น
โดยผู้ต้องหาจะถูกส่งตัวดำเนินคดีตามกระบวนการกฎหมาย พร้อมทั้งตรวจสอบประวัติการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย และวีซ่าที่ใช้อยู่ว่าเป็นการเข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว – หน่วยงานรัฐเร่งกวดขันเพื่อภาพลักษณ์ประเทศ
เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงอีกหนึ่งปัญหาซ่อนเร้นที่เกิดขึ้นในแหล่งท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะเกาะพะงัน ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติในฐานะสวรรค์แห่งงานฟูลมูนปาร์ตี้และหาดทรายสวย อย่างไรก็ตาม การลักลอบค้าบริการทางเพศของชาวต่างชาติในพื้นที่เช่นนี้ กลายเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวโลก
พล.ต.ท.ศักย์ศิรา ได้ย้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ต้องไม่ปล่อยปละละเลยหรือปล่อยให้ต่างชาติเข้ามากระทำผิดกฎหมายในประเทศ โดยเฉพาะพฤติกรรมที่ผิดศีลธรรมอันดีและส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในระยะยาว
ข้อถกเถียงในสังคม – บทเรียนจาก "อุตสาหกรรมเงา" ที่ยังอยู่ในความมืด
กรณีของอลินาอาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายกรณีที่ยังไม่ถูกเปิดเผย หลายฝ่ายในสังคมไทยยังคงตั้งคำถามว่า การค้าประเวณีในหมู่ชาวต่างชาติกลายเป็น "ธุรกิจเงา" ที่ไม่ได้มีแค่ในกรุงเทพฯ หรือพัทยาอีกต่อไป แต่แผ่ขยายมายังพื้นที่ท่องเที่ยวธรรมชาติอย่างเกาะพะงัน
ในขณะที่หน่วยงานรัฐพยายามควบคุมและปราบปราม แต่ก็มีอีกมุมหนึ่งที่เสนอว่า ควรมีการพิจารณาแนวทางการจัดระเบียบให้ชัดเจน เพื่อคุ้มครองทั้งผู้ให้บริการและลูกค้าในกรณีที่เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติที่อาจเข้ามาในคราบของนักท่องเที่ยว แต่แอบแฝงพฤติกรรมผิดกฎหมาย
บทสรุป – เสียงเตือนจากเกาะพะงัน
เหตุการณ์นี้นอกจากจะเป็นการเปิดโปงขบวนการลักลอบค้าบริการทางเพศของชาวต่างชาติแล้ว ยังถือเป็นบทเรียนสำคัญที่หน่วยงานในพื้นที่และภาครัฐควรนำไปพิจารณาในการกำหนดนโยบายและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติเข้ามาเป็นจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน สังคมไทยเองก็ควรตระหนักว่า ปัญหาดังกล่าวไม่ควรถูกมองข้ามหรือปัดตกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะมันอาจส่งผลต่อชื่อเสียงของประเทศในระยะยาว

















