รอยด่างพร้อยในประวัติศาสตร์ศาสนจักร สันตปาปาผู้ฉาวโฉ่ที่สุด
ในอดีตที่อำนาจของศาสนจักรแผ่ไพศาลเหนืออาณาจักรทั้งปวง บทบาทของพระสันตปาปามิได้จำกัดอยู่เพียงเรื่องจิตวิญญาณ แต่ยังกุมบังเหียนทางการเมืองและการสงครามอย่างแยกไม่ออก การสวมมงกุฎให้กษัตริย์ การตัดสินข้อพิพาทระหว่างรัฐ หรือแม้กระทั่งการบัญชาการกองทัพ ล้วนแล้วแต่เป็นอำนาจที่พระสันตปาปาทรงไว้ในมือ เมื่อศาสนากับการปกครองหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว อิทธิพลของผู้นำศาสนาจึงสูงเสียดฟ้า ทว่าเมื่ออำนาจอันล้นพ้นตกอยู่ในมือของผู้ที่ไร้ซึ่งคุณธรรม ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมนำมาซึ่งความปั่นป่วนและความเสื่อมทรามอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ย้อนกลับไปในกรุงโรมราวคริสต์ศตวรรษที่ 11 ครอบครัวขุนนางทรงอิทธิพลนามว่า "ทัสคูลัม" ได้สร้างเครือข่ายอำนาจอย่างเหนียวแน่น บรรพบุรุษของตระกูลนี้เคยดำรงตำแหน่งพระสันตปาปา และในยุคที่เด็กชายโอฟิแลคตัสถือกำเนิด สองในนั้นคือ พระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่ 8 และพระสันตปาปายอห์นที่ 19 ก็เป็นถึงปู่และลุงของเขา ด้วยฐานะทางสังคมที่ร่ำรวยและการสืบทอดอำนาจภายในตระกูล ทำให้ "ทัสคูลัม" มุ่งมั่นที่จะส่งต่อบัลลังก์แห่งศาสนจักรสู่ลูกหลานของตน
อันเบอร์โตที่ 3 แห่งทัสคูลัม ผู้เป็นบิดาของโอฟิแลคตัส ได้ใช้อำนาจเงินตราว่าจ้างคณะพระคาร์ดินัล เพื่อให้บุตรชายของตนได้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระสันตปาปายอห์นที่ 19 และแล้วในปี ค.ศ. 1032 โอฟิแลคตัสในวัยเพียง 18-19 ปี ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสันตปาปา โดยมีพระนามว่า สมเด็จพระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่ 9 การขึ้นสู่ตำแหน่งอันสูงส่งด้วยวัยเยาว์เช่นนี้สร้างความตกตะลึงไปทั่ว แม้กระทั่งในปัจจุบัน พระองค์ก็ยังคงได้รับการบันทึกว่าเป็นพระสันตปาปาที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ (บางหลักฐานระบุว่าทรงขึ้นเป็นสันตปาปาตั้งแต่อายุ 11 ปีด้วยซ้ำ)
อย่างไรก็ตาม ความตกตะลึงมิได้หยุดอยู่เพียงแค่อายุที่น้อยเท่านั้น หากแต่เป็นพฤติกรรมอันฉาวโฉ่ของพระสันตปาปาหนุ่มที่สร้างความเสื่อมเสียอย่างร้ายแรง เฟร์ดินันด์ เกรโกโรวิอุส นักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมันผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ยุคกรุงโรม ได้บันทึกถึงพระองค์ไว้ว่า "ดูเหมือนว่าปีศาจจากนรกในคราบนักบวชจะครอบครองเก้าอี้ของนักบุญเปโตร และทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาต้องมัวหมองด้วยการกระทำอันน่าอับอายของเขา"
สมเด็จพระสันตปาปาวิกเตอร์ที่ 3 ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระองค์ ยังได้กล่าวถึงเบเนดิกต์ที่ 9 ด้วยความสยดสยองว่า "ชีวิตในฐานะสันตปาปาของเขานั้นเต็มไปด้วยการข่มขืน ฆาตกรรม และการกระทำที่รุนแรงอื่นๆ การเสพสังวาสอย่างไม่เลือกหน้า แม้กระทั่งกับเพศเดียวกัน ญาติสนิท หรือเด็กเล็ก เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและชั่วร้ายจนข้าพเจ้ารู้สึกขนลุกเพียงแค่คิดถึงมัน"
เรื่องราวของสมเด็จพระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่ 9 เป็นดั่งภาพสะท้อนอันน่าหดหู่ของยุคสมัยที่อำนาจทางโลกและทางธรรมรวมศูนย์อยู่ที่บุคคลเพียงคนเดียว เมื่อผู้ถือครองอำนาจนั้นไร้ซึ่งศีลธรรมและจริยธรรม ผลที่ตามมาคือความเสื่อมทรามและความมืดมิดที่ปกคลุมสังคม การกระทำอันเลวร้ายของผู้นำศาสนาในยุคนั้นจึงเป็นบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงอันตรายของการใช้อำนาจโดยมิชอบ และความสำคัญของการมีผู้นำที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและความรับผิดชอบ





















