มนุษย์กินคน ร่องรอยดำมืดในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
การกินเนื้อมนุษย์ หรือ "cannibalism" ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเรื่องเล่าสยองขวัญหรือพฤติกรรมของผู้ป่วยทางจิตเท่านั้น แต่ยังปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมนุษย์ในหลายภูมิภาคทั่วโลก
เรื่องราวเริ่มต้นจากการบันทึกของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เกี่ยวกับชนเผ่าแคริบในศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "cannibalism" เอง อย่างไรก็ตาม บันทึกในยุคแรกๆ เหล่านี้อาจมีอคติและถูกใช้เป็นข้ออ้างในการล่าอาณานิคม
หลักฐานการกินคนยังปรากฏในตำนานกรีกโบราณ และในบันทึกของมาร์โค โปโล ที่กล่าวถึงการกินคนในเอเชีย ซึ่งนักประวัติศาสตร์มองว่าอาจเป็นการใส่ร้ายหรือสะท้อนมุมมองของชาวยุโรปที่มีต่อวัฒนธรรมที่แตกต่าง
ในยุโรปเองก็มีบันทึกเกี่ยวกับการกินคนในช่วงเวลาแห่งความอดอยาก เช่น ในศตวรรษที่ 14 หลังสงครามครูเสด ซึ่งอาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับนิทานเรื่อง "ฮันเซลกับเกรเทล" ที่น่าสะพรึงกลัว นอกจากนี้ ในศตวรรษที่ 16-20 ชาวยุโรปยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับสรรพคุณทางยาของ "มัมมี่" ทำให้เกิดการกินมัมมี่อย่างแพร่หลาย
ในโลกของชนเผ่าต่างๆ การกินคนมีเหตุผลที่ซับซ้อนและแตกต่างกันไป เช่น ชนเผ่า Fore ในปาปัวนิวกินีกินศพคนในครอบครัวเพื่อแสดงความเคารพและป้องกันศพจากสิ่งชั่วร้าย ในขณะที่บางเผ่าในอเมริกาใต้กินศัตรูเพื่อข่มขวัญและปลดปล่อยวิญญาณ
ในประวัติศาสตร์จีนก็มีบันทึกถึงการกินคนในช่วงความอดอยากครั้งใหญ่ในยุคคอมมิวนิสต์ใหม่ๆ และในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งเป็นการกินด้วยความโกรธแค้นต่อผู้ที่ถูกมองว่าเป็นศัตรูของพรรค
ปัจจุบัน การกินคนในลักษณะที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมมีน้อยลงมาก เนื่องจากการติดต่อสื่อสารที่ทั่วถึงและการเข้าไปของมิชชันนารี อย่างไรก็ตาม ยังมีบางกลุ่มชนเผ่าที่ยังคงกินคนอยู่บ้าง
แม้ว่าการกินคนจะเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัว แต่การศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้อง ช่วยให้เราเข้าใจถึงบริบทและเหตุผลที่ซับซ้อนเบื้องหลังพฤติกรรมนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความสุดขั้วของสัญชาตญาณการอยู่รอด ความเชื่อทางวัฒนธรรม และความขัดแย้งทางสังคมของมนุษยชาติ

















