แชร์เสี่ยงติดคุก! คลิปหลุดสาวคล้าย “สีกาเก็น” อาบน้ำในมือถือ “ทิดแย้ม” ว่อนออนไลน์
ดราม่าร้อนแรง! คลิปหลุดอาบน้ำอ้างเป็น "สีกาเก็น" ว่อนเน็ต ตำรวจเตือนชัด การแชร์เท่ากับเสี่ยงคุก
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงสะเทือนวงการสงฆ์และโซเชียลมีเดียในประเทศไทย เมื่อโลกออนไลน์พากันวิพากษ์วิจารณ์กรณีคลิปหลุดอาบน้ำของหญิงสาวรายหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ "สีกาเก็น" บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องกับคดีฉาวสะเทือนวงการสงฆ์ ซึ่งเชื่อมโยงกับอดีตพระชื่อดัง “ทิดแย้ม” หรืออดีตพระธรรมวชิรานุวัตร อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม ผู้ที่เคยเป็นศูนย์กลางของคดีทุจริตยักยอกเงินวัดกว่า 300 ล้านบาท
กรณีนี้ไม่เพียงแค่สร้างความสั่นสะเทือนในแวดวงศาสนา แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล เมื่อสื่อโซเชียลกลายเป็นพื้นที่ที่เนื้อหาละเมิดสิทธิและผิดกฎหมายสามารถแพร่กระจายได้ในเวลาไม่กี่นาที
ย้อนเส้นทางความสัมพันธ์อื้อฉาว "ทิดแย้ม – สีกาเก็น" จากอดีตเจ้าอาวาส สู่ข้อหาเล่นพนัน-ยักยอกเงิน
จากรายงานของเจ้าหน้าที่ ระบุว่า ทิดแย้มและสีกาเก็นรู้จักกันตั้งแต่สมัยที่ฝ่ายหญิงยังศึกษาอยู่ในโรงเรียนวัดไร่ขิง ซึ่งเป็นโรงเรียนในสังกัดวัดที่ทิดแย้มเคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นความสนิทสนมลึกซึ้ง และนำไปสู่การพัวพันในธุรกรรมทางการเงินจำนวนมาก
สิ่งที่น่าตกใจคือ มีการระบุว่าอดีตเจ้าอาวาสรายนี้ได้โอนเงินให้สีกาเก็นรวมกว่า 100 ล้านบาทภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี โดยเงินดังกล่าวมีต้นทางจากเงินวัด ซึ่งควรจะใช้ในกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อเดิมพันหรือกิจกรรมส่วนตัวที่ผิดกฎหมาย
คลิปหลุดอาบน้ำถูกอ้างว่าเป็นของ "สีกาเก็น" จุดชนวนไฟในโลกออนไลน์
สถานการณ์รุนแรงขึ้น เมื่อมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอที่ถูกอ้างว่าเป็นของหญิงสาวผู้เกี่ยวข้องกับทิดแย้ม ซึ่งเป็นคลิปที่เธอกำลังอาบน้ำและมีพฤติกรรมสื่อทางเพศในลักษณะชัดเจน โดยระบุว่าเป็นคลิปที่ถูกกู้คืนจากโทรศัพท์มือถือของทิดแย้มในช่วงที่ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบหลักฐาน
แม้จะไม่มีการยืนยันตัวบุคคลในคลิปอย่างเป็นทางการ แต่การกระจายของคลิปนี้ในโลกออนไลน์ได้สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อภาพลักษณ์ของผู้หญิงในคลิป และจุดกระแสวิพากษ์อย่างหนักบนโซเชียล โดยเฉพาะเรื่องการนำความเป็นส่วนตัวของบุคคลออกมาเผยแพร่โดยขาดความยินยอม
ตำรวจเตือนชัด! แชร์คลิปลามกเท่ากับทำผิดกฎหมาย เสี่ยงโทษหนัก
สำนักงานตำรวจแห่งชาติออกมาเตือนประชาชนโดยตรงว่า การเผยแพร่ ส่งต่อ หรือแม้แต่แชร์คลิปที่มีลักษณะลามกอนาจาร ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง ซึ่งระบุว่า: “ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลลามกอนาจาร ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ ถือเป็นความผิด มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ย้ำว่า แม้ผู้ส่งต่อจะอ้างว่า “ไม่ได้ตั้งใจ” หรือ “แค่เล่าเรื่องให้คนอื่นรู้” หากคลิปนั้นมีเนื้อหาลามกและผู้รับสารสามารถเข้าถึงได้ ก็ยังถือว่ามีความผิดอย่างสมบูรณ์ตามกฎหมาย
ถ้ารับเงินจากคลิปโป๊ – โทษเพิ่มอีก! เข้าข่ายผิดประมวลกฎหมายอาญา
กรณีที่มีผู้เรียกเก็บเงินสมาชิกเพื่อให้เข้าชมคลิปดังกล่าว หรือมีการจำหน่ายคลิปเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นเงิน โทเคน หรือสิ่งของ ยิ่งถือว่าเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 (1) ว่าด้วยการค้าสื่อลามกอนาจาร มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
การนำเรื่องราวที่ละเมิดสิทธิของบุคคลไปเป็นเครื่องมือหาเงินบนโลกออนไลน์ ไม่ใช่เพียงผิดจริยธรรมเท่านั้น แต่ยังอาจนำผู้กระทำเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่าแชร์ต่อ! อย่าดูซ้ำ! ความอยากรู้ไม่ควรแลกกับคุก
สิ่งที่ประชาชนต้องระลึกอยู่เสมอคือ การใช้โซเชียลมีเดียควรมาพร้อมกับ “ความรับผิดชอบ” ไม่ใช่แค่โพสต์อะไรตามกระแส หรือแชร์เพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็น เพราะการคลิกเพียงครั้งเดียวอาจเปลี่ยนสถานะของคุณจากผู้รับข่าวสารเป็น “ผู้ต้องหา” ได้ในพริบตา
หากคุณได้รับคลิปดังกล่าวจากเพื่อนหรือกลุ่มแชต ควร หยุดส่งต่อทันที และลบทิ้งในทันที เพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นผู้กระทำความผิดโดยไม่ตั้งใจ พร้อมแจ้งเตือนคนรอบข้างให้มีสติ ไม่สนับสนุนการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของใครก็ตาม
บทเรียนจากกรณีนี้: เคารพสิทธิผู้อื่น ใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีสติ
กรณี “ทิดแย้ม – สีกาเก็น” ไม่ใช่แค่เรื่องอื้อฉาวของบุคคลสองคนเท่านั้น แต่มันคือภาพสะท้อนของสังคมในยุคดิจิทัล ที่ความเป็นส่วนตัวสามารถถูกเจาะทะลุและเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างง่ายดายผ่านปลายนิ้วของคนไม่กี่คน
การที่ใครบางคนสูญเสียความเป็นส่วนตัวหรือถูกละเมิดในลักษณะนี้ ไม่ควรกลายเป็นเครื่องมือเพื่อความบันเทิง ความสะใจ หรือการวิพากษ์ของสังคม ควรเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามว่า เราจะรับมือกับโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลได้อย่างไรโดยไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น และไม่ทำผิดกฎหมายไปพร้อมกัน
รู้เท่าทันและไม่แชร์ คือการปกป้องทั้งตนเองและผู้อื่น
โลกออนไลน์อาจไร้ขอบเขต แต่กฎหมายยังคงมีผลบังคับใช้ในทุกการกระทำของเรา ไม่ว่าคุณจะแชร์เพื่อเล่าเรื่อง เตือนภัย หรือขำขัน หากเนื้อหานั้นเข้าข่ายผิดกฎหมาย คุณก็มีโอกาสถูกดำเนินคดีได้เช่นกัน
หยุดแชร์ – หยุดส่งต่อ – หยุดทำร้ายผู้อื่นด้วยความอยากรู้
เพราะทุกคลิกอาจมีราคาที่คุณไม่อยากจ่าย...







