สัมผัสความจริงที่ทุ่งสังหาร บทเรียนจากประวัติศาสตร์เขมรที่ไม่อาจลืม
ทุ่งสังหาร (The Killing Field) หรือ เจิงเอก (Choeung Ek) คือสถานที่ประวัติศาสตร์อันน่าสะเทือนใจ ห่างจากกรุงพนมเปญ 17 กิโลเมตร ที่นี่เคยเป็นสุสานจีน สวนผลไม้ ก่อนจะกลายเป็นฉากหลังของโศกนาฏกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุคเขมรแดงเรืองอำนาจ (พ.ศ. 2518 - 2522) ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจำนวนมหาศาล
นักโทษจากคุกตวลสเลงถูกส่งมายังทุ่งสังหารแห่งนี้ ผู้คุมหลอกเหยื่อว่าจะพาไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่แท้จริงแล้วคือวันสุดท้ายของพวกเขา ผู้ที่ถูกส่งมาที่นี่มักถูกกล่าวหาว่าเป็นศัตรูของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่พูดภาษาต่างประเทศได้, พระภิกษุ, นักวิชาการ หรือแม้แต่คนใส่แว่นที่ถูกมองว่าฉลาดและเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ พวกเขาถูกบังคับให้เขียนคำสารภาพทั้งที่บริสุทธิ์ และถูกสังหารทรมานอย่างโหดร้าย
เมื่อก้าวเข้าสู่ทุ่งสังหาร ผู้เยี่ยมชมจะสัมผัสได้ถึงเรื่องราวสุดสะเทือนใจในทุกย่างก้าว เรือนไม้สองชั้น ที่ใช้กักขังนักโทษ อาคารเก็บสารเคมี ซึ่งเคยเป็นศาลาพิธีกรรมแบบจีน แต่ถูกใช้เก็บสาร DDT (สารในยาฆ่าแมลง) เพื่อโรยในหลุมศพ กลบกลิ่น และเร่งให้เหยื่อสิ้นใจ ต้นไม้คมมีด ที่ถูกใช้ปาดคอผู้เคราะห์ร้าย รวมถึง หลุมศพหมู่ จำนวนมากที่พบเห็นได้ทั่วไป เช่น หลุมศพกว่า 450 ศพ และอีกจุดที่มี 166 ศพ ซึ่งผู้เสียชีวิตถูกผลักลงไปอย่างโหดร้าย
สิ่งที่สะเทือนใจที่สุดคือ ต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ หรือ "ต้นไม้วิเศษ" ที่เคยเป็นที่แขวนลำโพงขยายเสียง ในเวลากลางวันใช้เปิดเพลงปลุกใจแรงงาน แต่กลางคืนกลับเปิดเพลงเสียงดังพร้อมเสียงเครื่องปั่นไฟ เพื่อกลบเสียงกรีดร้องของผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกสังหาร นอกจากนี้ ยังมีการสังหารหมู่สตรีและทารก ผู้หญิงบางคนถูกกระทำชำเราก่อนโยนลงหลุม ส่วนทารกถูกจับขาฟาดกับต้นไม้แล้วโยนลงหลุมเดียวกับแม่ การฆ่าล้างโคตรนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อถอนรากถอนโคน ไม่ให้มีผู้รอดชีวิตกลับมาแก้แค้นได้
สถูปอนุสรณ์ คือจุดสำคัญของการเยี่ยมชม สร้างขึ้นในปี 1988 เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิต สถูปสูงนี้มี 17 ชั้น สื่อถึงวันที่ 17 เมษายน 1975 ซึ่งเป็นวันที่เขมรแดงเข้ายึดครองกรุงพนมเปญ ภายในสถูปเก็บกะโหลกศีรษะและกระดูกของผู้เสียชีวิตกว่า 8,000 ชิ้น ซึ่งได้รับการตรวจสอบทางนิติเวช นอกจากนี้ยังมี รูปปั้นแม่ลูกผู้เศร้าหมอง ที่สะท้อนถึงโศกนาฏกรรมที่ครอบครัวจำนวนมากต้องเผชิญในยุคนั้น
การมาเยือนทุ่งสังหารแห่งนี้ แม้จะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่หดหู่และสะเทือนใจ แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์อันเจ็บปวด และรำลึกถึงผู้บริสุทธิ์ที่ต้องจบชีวิตลงอย่างไม่ยุติธรรม เพื่อให้เรื่องราวเหล่านี้ไม่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา









