เกินเบอร์! 5 สาวชุดชั้นในเต้นยั่วหน้าพระราชวัง โดนรวบทันควัน เจอคดีอาญา

ดราม่าร้อนกลางกรีซ! 5 สาวเต้นรูดเสาสุดวาบหวิวหน้าพระราชวังเก่า ล่าสุดถูกตำรวจรวบ โดนข้อหาละเมิดโบราณสถาน – เจ้าตัวอ้างเสียใจ คิดไม่ถึงเรื่องจะบานปลาย

เหตุการณ์สุดร้อนแรงที่กำลังกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในประเทศกรีซและทั่วโลกออนไลน์ เมื่อกลุ่มนักเต้นรูดเสา (Pole Dancers) หญิงจำนวน 5 คน ถูกจับกุมตัวหลังจากถ่ายภาพและวิดีโอขณะเต้นในลักษณะกึ่งเปลือยหน้า พระราชวังเก่าเซนต์ไมเคิลและเซนต์จอร์จ (Palace of St. Michael and St. George) ซึ่งเป็นโบราณสถานทางประวัติศาสตร์บนเกาะคอร์ฟู (Corfu) ประเทศกรีซ

คลิปวิดีโอและภาพนิ่งของเหตุการณ์ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นหญิงสาวบางคนในชุดชั้นในสีแดงสด และอีกบางคนสวมชุดบอดี้สูทแนบเนื้อ โชว์ลีลาการเต้นรูดเสาอย่างเต็มที่บริเวณลานด้านหน้าของพระราชวัง ท่ามกลางเสียงเชียร์ของกลุ่มเพื่อนร่วมทีม โดยเฉพาะคำว่า “Yes Shelly, nice!” ที่ได้ยินเด่นชัดในคลิป กลายเป็นประเด็นที่สร้างความไม่พอใจอย่างมากในสังคมกรีซ รวมถึงกลุ่มนักอนุรักษ์วัฒนธรรมและชาวท้องถิ่น

พระราชวังเก่า: มรดกโลกที่ถูกมองข้าม

พระราชวังเซนต์ไมเคิลและเซนต์จอร์จเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยิ่ง ถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ภายใต้คำสั่งของ เซอร์ โธมัส เมตแลนด์ ข้าหลวงใหญ่ชาวอังกฤษ เพื่อเป็นที่ประทับของเจ้าหน้าที่ระดับสูงและราชวงศ์ในอดีต สถาปัตยกรรมของพระราชวังเป็นแบบเรเจนซี่ (Regency Architecture) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดนอกสหราชอาณาจักร

ด้วยความสำคัญทางประวัติศาสตร์ พระราชวังแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) และในปัจจุบันยังเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย (Museum of Asian Art) ที่มีนักท่องเที่ยวเข้าชมอย่างต่อเนื่องตลอดปี

เสียงสะท้อนจากสังคม: ความไม่พอใจที่ลุกลาม

สื่อท้องถิ่นของกรีซ โดยเฉพาะ Proto Thema รายงานว่า ภาพและคลิปดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบ หนึ่งในความคิดเห็นที่ได้รับการแชร์มากที่สุดระบุว่า “พระราชวังที่เคยต้อนรับราชวงศ์ บัดนี้กลายเป็นเวทีเต้นรูดเสา!” ขณะที่อีกคนตั้งคำถามด้วยอารมณ์ว่า “ถ้าเป็นพระราชวังบักกิงแฮม พวกเธอจะกล้าทำแบบนี้ไหม?”

ยังมีชาวกรีซบางรายตั้งข้อสังเกตด้วยความห่วงใยว่า การติดตั้งเสาเต้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างของพระราชวัง เพราะบริเวณดังกล่าวปูด้วยกระเบื้องเก่าแก่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง และไม่มีใครยืนยันได้ว่าเสาเหล่านั้นถูกติดตั้งอย่างปลอดภัยโดยไม่ทำลายพื้นหรือไม่

“เสียใจ แต่ไม่คิดว่าจะรุนแรง” – คำแก้ตัวจากผู้ก่อเหตุ

หลังจากเหตุการณ์บานปลายจนถึงขั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมตัว กลุ่มหญิงสาวผู้ก่อเหตุได้ให้การว่า พวกเธอรู้สึก “เสียใจ” กับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่ได้คาดคิดว่าเรื่องจะกลายเป็นปัญหาระดับประเทศขนาดนี้

หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหากล่าวว่า “เรามาที่นี่เพื่อถ่ายทำวิดีโอเพื่อโปรโมตศิลปะการเต้นรูดเสา เราไม่ได้ตั้งใจจะดูหมิ่นสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมหรือประวัติศาสตร์เลย เราเพียงต้องการนำเสนอการเต้นอย่างสร้างสรรค์เท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถรับคำอ้างนี้ได้ โดยได้ตั้งข้อหา “ละเมิดสถานที่โบราณ” และ “กระทำการอันไม่เหมาะสมในพื้นที่สาธารณะ” ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรงตามกฎหมายของกรีซ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

หน่วยงานรัฐ – พิพิธภัณฑ์ไม่รู้เรื่อง?

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชียซึ่งตั้งอยู่ในพระราชวังดังกล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ทางพิพิธภัณฑ์ “ไม่ทราบเลยแม้แต่น้อย” ว่ามีการถ่ายทำหรือแสดงโชว์ในลักษณะนี้บริเวณด้านนอกอาคาร ซึ่งทำให้สังคมตั้งคำถามต่อไปว่า ใครเป็นผู้อนุญาตให้การถ่ายทำครั้งนี้เกิดขึ้น? หรือเป็นการลักลอบกระทำโดยไม่มีใบอนุญาต?

คำถามเหล่านี้ยิ่งทำให้ความไม่พอใจลุกลามไปสู่หน่วยงานท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ดูแลโบราณสถานที่อาจมีความหละหลวมในการรักษาความปลอดภัยและกฎระเบียบในพื้นที่สาธารณะ

กรณีศึกษาที่ควรจำ: ศิลปะไม่ควรละเมิดความศักดิ์สิทธิ์

กรณีนี้กลายเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการนำ “ศิลปะ” ไปผูกโยงกับ “อิสรภาพในการแสดงออก” จนล้ำเส้นความเหมาะสม หลายฝ่ายมองว่า แม้การเต้นรูดเสาจะถือเป็นทักษะทางศิลปะและกีฬาในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ควรนำมาผูกกับสถานที่ที่มีความหมายทางประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณของชาติอย่างพระราชวังโบราณเช่นนี้

สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ของประเทศกรีซในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ยังรวมถึงมาตรฐานการดูแลโบราณสถานที่อาจต้องเข้มงวดขึ้นอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดซ้ำในอนาคต

เหตุการณ์ 5 สาวเต้นรูดเสาหน้าพระราชวังเก่าบนเกาะคอร์ฟูของกรีซ กลายเป็นกรณีศึกษาทางสังคมที่สะท้อนให้เห็นถึงการปะทะกันระหว่าง “เสรีภาพในการแสดงออก” กับ “ความเคารพต่อประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม” ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายประเทศทั่วโลกต้องเผชิญ

ในขณะที่กลุ่มผู้แสดงอ้างว่าไม่ได้มีเจตนาร้าย การกระทำที่ขาดความตระหนักรู้ถึงบริบทของสถานที่ ย่อมนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เกินคาดคิด และอาจสร้างความเสียหายทั้งทางจิตใจ สังคม และมรดกทางวัฒนธรรมของโลกได้อย่างถาวร