คลินิกวันศุกร์
คลินิกวันศุกร์
โดย อักษราลัย
คลินิกจิตวิทยาเด็กเงียบสงบผิดปกติในบ่ายวันศุกร์ ดร.อนิรุธ นั่งตรงข้ามกับเด็กหญิงวัยสิบขวบ ใบหน้าน่ารักแต่ไร้อารมณ์ ดวงตากลมโตใสแต่เย็นชา เหมือนดวงตาของตุ๊กตาพอร์ซเลน ในมือเธอถือสมุดเล็ก ๆ ปกสีชมพูซีดจาง ที่มีรอยเปื้อนสีน้ำตาลเก่า ๆ บนปก
"ลิลลี่ วันนี้อยากคุยเรื่องอะไรไหม" ดร.อนิรุธพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เด็กหญิงมองตรงมาที่เขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "คุณหมออยากยิ้มไหม?"
"อยากยิ้มสิ เพราะลุงดีใจที่ได้คุยกับหนู"
"อย่ายิ้ม" เด็กหญิงพูดเสียงเย็น "คนที่ยิ้มกับหนูจะตาย"
ดร.อนิรุธสังเกตเห็นว่าแม่ของเด็กหญิงนั่งตัวแข็งทื่อ ใบหน้าซีดขาว มือที่กุมกันไว้บนตักสั่นเล็กน้อย ใต้ตาคล้ำเป็นวงดำ เหมือนคนที่ไม่ได้นอนมานานหลายคืน
"มีใครเขาบอกหนูแบบนั้นเหรอ"
"ไม่ใช่เขาบอก" เด็กหญิงส่ายหน้า "หนูทำเอง" เธอลูบหน้าปกสมุด "หนูจดไว้หมดแล้ว"
ความเงียบปกคลุมทั้งห้อง ทำให้ดร.อนิรุธกระสับกระส่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่เขาผ่านเคสยาก ๆ หนัก ๆ มามากมาย อาการแบบนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้น
"หนูทำเองหมายความว่าไง"
เด็กหญิงเปิดสมุด หน้าแรกเขียนด้วยดินสอสีแดงที่ดูเหมือนไม่ใช่ดินสอ "คนที่หนูไม่ชอบ" ข้างล่างมีรายชื่อ วันที่ และเหตุผลที่ไม่ชอบ
"คุณครูกิต ยิ้มให้วันแรกที่หนูไปโรงเรียน คืนนั้นเขาตาย" เด็กหญิงเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "หนูเห็นในข่าว เขาขับรถตกข้างทาง หนูดีใจมาก"
"หนูคิดว่าเพราะเขายิ้มให้หนูเหรอ"
"ใช่สิ" เด็กหญิงพยักหน้า "เพราะหนูอยากให้เขาตาย ตอนที่เขายิ้มให้หนู หนูคิดว่าเขาน่าเกลียดมาก ฟันเหลือง กลิ่นปากเหม็นอย่างกับซากศพโชยออกมาจากปากเน่า ๆ นั่น หนูอยากให้เขาหายไป แล้วเขาก็ตาย"
เธอชี้ไปที่รายการต่อไป "คุณยายข้างบ้าน ยิ้มให้ตอนหนูเดินผ่าน แต่เธอมีผมสีขาวทั้งหัว ทรงผมกระเซอะกระเซิง มีกลิ่นแบบคนแก่ หนูเกลียด คืนนั้นเธอหัวใจวาย"
แม่ของเด็กหญิงพูดเสียงสั่น "คุณหมอคะ หลังจากนั้น ลูกเริ่มสังเกตคนที่ยิ้มให้เธอ แล้วก็..." เธอหยุดพูด กลืนน้ำลาย "แล้วก็รอดูว่าเขาจะตายเมื่อไหร่"
"มีใครอีกไหม" ดร.อนิรุธถามเบา ๆ
เด็กหญิงพลิกหน้าสมุด "ลุงขายของใกล้โรงเรียน ยิ้มตอนหนูซื้อขนม แต่เขายิ้มแปลก ๆ มองหนูแบบแปลก ๆ หนูไม่ชอบ สามวันต่อมาเขาถูกรถชน"
ดร.อนิรุธเห็นว่าในสมุดมีรายละเอียด วันที่ เวลา และข้อความสั้น ๆ เช่น "ตาย 3 วัน" "ตายแล้ว ดีใจ" เขียนด้วยลายมือเด็ก เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พยายามทำสีหน้าปกติ
"แล้วหนูรู้สึกยังไงเวลาคนพวกนั้นตาย"
เด็กหญิงมองตรงมาที่เขา "หนูดีใจ หนูชอบ หนูอยากให้มันเกิดขึ้นอีก" ชั่วขณะนั้นสีหน้าของลิลลี่ดูแปลกไป แววตานั้นกร้าวและแข็งกระด้างเกินกว่าจะเป็นนัยน์ตาของเด็ก
เธอลดเสียงลง "หนูชอบไปงานศพ หนูจะใส่ชุดดำ แล้วทำตัวเศร้า ๆ แต่ข้างในหนูมีความสุขมาก"
"ทำไมหนูถึงชอบ"
"เพราะหนูเป็นคนทำให้เขาตาย เหมือนหนูมีพลังพิเศษ" เด็กหญิงยิ้มเป็นครั้งแรก รอยยิ้มนั้นดูแสยะและเย็นชา "แล้วในงานศพ หนูจะยิ้มให้คนอื่น ๆ ที่มาร่วมงาน"
"แล้วเกิดอะไรขึ้น"
"บางคนก็ยิ้มกลับ แล้วก็ตายในอีกไม่กี่วัน" เธอพูดเหมือนกำลังเล่าเรื่องสนุก "ตอนงานศพคุณยายมณี หนูยิ้มให้หลานสาวเขา เธอยิ้มกลับ อาทิตย์ต่อมาก็ตายจากแก๊สรั่ว หนูไปงานศพเธอด้วย"
ดร.อนิรุธรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ เมื่อเขามองใกล้ ๆ สมุดของเด็ก เขาเห็นว่าที่เธอเขียนไว้คือรายชื่อผู้เสียชีวิตที่ออกข่าว และวันที่ตรงกับที่เธอบอก
"แล้วพ่อแม่หนูล่ะ เขายิ้มให้หนูไหม"
"ไม่... พ่อแม่ไม่กล้าหรอก จริงไหม?" เด็กหญิงมองไปที่แม่ "เพราะแม่กลัวตาย ใช่ไหม?"
แม่ของเด็กหญิงพูดเสียงแผ่วเบาสะท้านตะกุกตะกัก "ลูกบอกว่าถ้าเรายิ้มให้เธอ เราจะตาย เราเลยไม่กล้า" เธอหยุดพูด "แล้วเราก็เริ่มสังเกตเห็นว่า คนที่ยิ้มให้ลูกก็ตายจริง ๆ"
"แล้วหนูโกรธไหมที่พ่อแม่ไม่ยิ้มให้"
"โกรธ หนูอยากให้พ่อแม่ตายและหายไป แต่อีกใจก็ยังอยากให้พ่อแม่อยู่" เด็กหญิงพูดขัดแย้งกัน "เลยให้พ่อแม่เป็นตุ๊กตา ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ไม่แสดงความรู้สึก"
ดร.อนิรุธมองไปที่แม่ของเด็กหญิง เห็นว่าเธอนั่งแข็งทื่อ หายใจเบา ๆ เหมือนกลัวจะแสดงอารมณ์ ผมเธอร่วงบาง ผิวหนังซีด เหมือนคนที่อยู่ภายใต้ความเครียดมานาน
"ลิลลี่ ลุงอยากถามว่า หนูคิดว่าพลังของหนูมาจากไหน"
"มาจากตัวหนูเอง หนูพิเศษ" เด็กหญิงพูดด้วยความภาคภูมิใจ "หนูควบคุมได้ ใครยิ้มให้ หนูจะให้เขาตายหรือไม่ก็ได้"
"แล้วหนูเคยให้ใครรอดไหม"
เด็กหญิงคิดสักครู่ "มี คุณปู่คนขายไอศกรีม เขายิ้มให้หนู แต่หนูปล่อยให้เขายังอยู่ เพราะหนูอยากกินไอศกรีมฟรี"
"ทำไมเขาถึงให้ฟรีล่ะ"
"เพราะหนูบอกเขาเรื่องคนอื่น ๆ ที่ตาย หนูบอกว่าถ้าไม่ให้กินฟรี หนูจะให้เขาตาย เหมือนคนอื่น ๆ" เด็กหญิงยิ้มอีกครั้ง "เขากลัวมาก จนร้องไห้สะอื้นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ช่างน่าขำ"
ดร.อนิรุธเริ่มเข้าใจแล้วว่า เด็กคนนี้อาจเป็นโรคจิตที่ฉลาดมาก เธอสังเกตเหตุการณ์บังเอิญ แล้วเชื่อมโยงกับการกระทำของตัวเอง และใช้ความเชื่อนี้ในการข่มขู่คนอื่น
แต่ที่น่ากลัวคือ สถิติการตายตรงกับที่เธอบอกจริง ๆ
"ลิลลี่ ลุงคิดว่าการที่คนพวกนั้นตาย อาจเป็นเรื่องบังเอิญ"
เด็กหญิงส่ายหน้า "ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หนูทำเอง" เธอหยุดพูด แล้วมองตรงมาที่เขา "คุณหมอไม่เชื่อใช่ไหม"
"ลุงอยากให้หนูอธิบายว่าทำยังไง"
"ง่าย ๆ หนูแค่คิด แล้วหนูจะทำให้เขาเจอเรื่องไม่ดี" เด็กหญิงก้มมองสมุดของตัวเอง "หนูจำได้หมด ใครยิ้มให้หนูเมื่อไหร่ ที่ไหน แล้วเขาจะตายยังไง"
เธอเปิดหน้าถัดไป ชี้ไปที่รายการหนึ่ง "คุณครูกิต ยิ้มให้หนูเวลา 9.30 น. วันจันทร์ ตายเวลา 11.47 น. วันพุธ ขับรถตกร่องน้ำขณะฝนตก"
"นี่หนูไปหาข้อมูลมาจากไหน"
"หนูถาม หนูฟังข่าว หนูไปงานศพ" เด็กหญิงพูดเหมือนเรื่องธรรมดา "หนูชอบรู้รายละเอียด"
"แต่คุณหมอไม่เชื่อ คุณหมอคิดว่าหนูบ้านี่...ใช่ไหม" เด็กหญิงจ้องมาที่เขา ดวงตาเย็นชา
"ลุงไม่ได้คิดว่าหนูบ้า แต่ลุงคิดว่า..."
"พอแล้ว" เด็กหญิงพูดขัดจังหวะ "คุณหมอไม่เชื่อ งั้นหนูจะพิสูจน์"
ทันใดนั้น ดร.อนิรุธรู้สึกเหมือนมีแรงกดดันจากสายตาของเด็ก เขาพยายามไม่ยิ้ม แต่ความตึงเครียดทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มเก้อ ๆ ด้วยความกังวล
"ดี คุณหมอยิ้มแล้ว" เด็กหญิงหยิบดินสอขึ้นมา "ตอนนี้หนูจะเขียนชื่อคุณหมอลงในสมุด"
ดร.อนิรุธดูเธอเขียน "ดร.อนิรุธ ยิ้มเวลา 13.15 น. วันศุกร์" แล้วเธอก็มองขึ้นมา
"คุณหมอจะตายใน 3 วัน นับจากวันนี้ หนูดีใจมาก" เด็กหญิงดูมีความสุข "หนูจะไปงานศพคุณหมอด้วย"
ดร.อนิรุธรู้สึกขนหัวลุก แม้เขาจะไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ความมั่นใจของเด็กและสถิติที่ตรงกันทำให้เขากลัว
"หนู...หนูคิดว่าลุงจะตายจริงเหรอ"
"คิด? เปล่า หนูรู้" เด็กหญิงยิ้มกว้าง "เหมือนกับคนอื่น ๆ"
แม่ของเด็กหญิงนั่งดูอยู่เฉย ๆ ไม่ช่วยอะไร ใบหน้าไร้อารมณ์ เหมือนหุ่นยนต์
"ทำไม...ทำไมคุณไม่ช่วยผม ไม่พูดอะไรบ้าง" ดร.อนิรุธหันไปถามแม่เด็ก
"แม่รู้ว่าถ้าช่วย หนูจะให้แม่ตาย" แม่ลิลลี่ตอบเสียงเรียบ "แม่ไม่อยากตาย แม่อยากดูแลลูก"
"แต่ลุงหมอจะตาย"
"ใช่ คุณหมอจะตาย" แม่พูดพลางพยักหน้า "เหมือนคนอื่น ๆ"
ดร.อนิรุธรู้สึกใจเต้นแรง เหงื่อผุดออกมาจากหน้าผาก ไม่ใช่เพราะเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เพราะความบิดเบี้ยวของจิตใจเด็กคนนี้
"หนูจะเล่าให้คุณหมอคนต่อไปฟังด้วย ว่าคุณหมอคนนี้ตายยังไง" เด็กหญิงปิดสมุด "แล้วหนูจะให้เขายิ้มให้หนูบ้าง"
เธอลุกขึ้น "วันนี้พอดีกว่า หนูจะกลับบ้านแล้ว รอดูคุณหมอตาย"
วันนั้น ดร.อนิรุธกลับบ้านด้วยความคิดวุ่นวายไปหมด เขาไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เขาตัดสินใจตรวจสอบข้อมูลการเสียชีวิตตามที่เด็กหญิงบอก และเขาพบว่า ทุกรายชื่อในสมุดของลิลลี่ ตายจริง ในวันที่ตรงกับที่เธอเขียนไว้
วันศุกร์ ผ่านไป
วันเสาร์ ผ่านไป
วันอาทิตย์ เขาเริ่มกังวลจริง ๆ
วันจันทร์ เขาตื่นแต่เช้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกกังวล เขาขับรถไปทำงานอย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงสถานการณ์อันตราย
ตอนเย็น ขณะขับรถกลับบ้าน เขาเห็นรถตู้คันหนึ่งวิ่งผ่านไฟแดงตรงมา
เขาหักพวงมาลัยหลบ
รถคว่ำลงข้างทาง
ก่อนที่จะหมดสติไปจากร่างกายที่โชกไปด้วยเลือด เขาเห็นเด็กหญิงยืนอยู่ข้างถนน
เธอยิ้ม และโบกมือให้เขา
..... จบ .....

















