ใครอยากมีเซ็กส์บ่อยกว่ากัน ผลวิจัยชี้ไม่ใช่ฝ่ายชายเสมอไป
ถ้าถามว่าในความสัมพันธ์ใครคือคนที่ต้องการมีเซ็กส์บ่อยกว่ากัน? คำตอบที่คนส่วนใหญ่คิดไว้คงเป็น "ผู้ชาย" ซึ่งก็ถูกต้อง...แต่แค่ 2 ใน 3 ของกรณีเท่านั้น! งานวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญด้านเพศสัมพันธ์เปิดเผยข้อมูลช็อกว่า ใน 1 ใน 3 ของคู่รัก กลับเป็นฝ่ายหญิงที่มีความต้องการทางเพศมากกว่า
เมื่อผู้ชายเป็นฝ่ายต้องการบ่อยกว่า สังคมมักมองว่าเป็นเรื่องปกติ เรียกได้ว่าเป็น "มาตรฐานวัฒนธรรม" ตามคำพูดของนักวิชาการ แต่เมื่อบทบาทกลับด้าน ฝ่ายหญิงกลับถูกตีตราว่า "กามร้าย" หรือ " нимфоманьяк" ส่งผลให้คู่รักกลุ่มนี้เผชิญความกดดันมากเป็นพิเศษ
ปัญหาสำคัญที่ตามมาคือความห่างเหินทางความรู้สึก คู่ที่ต้องการมากกว่ามักเริ่มต้นการสัมผัสอันอบอุ่น เช่น กอด จูบ ลูบไล้ ทั้งเพื่อเติมเต็มความรักและ...หวังว่าจะได้มีอะไรกันต่อ ส่วนคู่ที่ต้องการน้อยกว่ากลับหลีกเลี่ยงการแสดงความรักแบบนั้น เพราะกลัวว่าจะถูกตีความผิดว่าเป็นการส่งสัญญาณยินยอม
ปัจจุบัน ความแตกต่างในความต้องการทางเพศกลายเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่คู่รักต้องไปพบผู้เชี่ยวชาญ คำถามยอดฮิตที่นักบำบัดชอบถามคือ "ในความสัมพันธ์ ใครเป็นผู้ควบคุมเรื่องเซ็กส์?" ที่น่าสนใจคือทั้งคู่ต่างชี้ไปที่อีกฝ่าย! เพราะต่างก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีอำนาจตัดสินใจอะไรเลย
ฝ่ายที่มีความต้องการสูงรู้สึกเหมือนถูกแทงใจทุกครั้งที่ได้ยินคำปฏิเสธ ในขณะที่ฝ่ายต้องการน้อยกลับรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกรบกวนใจอยู่ตลอดเวลา สถานการณ์นี้สร้างบาดแผลทางจิตใจให้ทั้งสองฝ่ายโดยที่ไม่มีใครตั้งใจ
ทำไมความต้องการทางเพศถึงไม่สมดุล?
นักจิตวิทยาชี้ว่าปัจจัยที่ทำให้ความต้องการทางเพศแตกต่างกันมีหลายประการ ทั้งฮอร์โมน ความเครียด การเลี้ยงดู รวมถึงประสบการณ์ทางเพศในอดีต ที่น่าตกใจคือ 70% ของผู้หญิงที่มารับคำปรึกษามีประวัติถูกตำหนิเรื่องความต้องการทางเพศตั้งแต่เด็ก
ในทางตรงกันข้าม ผู้ชายหลายคนถูกปลูกฝังว่าต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นเสมอ เมื่อเจอสถานการณ์ที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายต้องการมากกว่า จึงรู้สึกว่าความเป็นชายถูกลดทอน
ทางออกสำหรับคู่รักที่ต้องการไม่เท่ากัน
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ 3 วิธีหลักในการจัดการกับปัญหานี้:
1. สื่อสารอย่างเปิดใจ - ไม่ควรเก็บความรู้สึกไว้ แต่ต้องพูดคุยกันด้วยความเข้าใจ โดยไม่ตำหนิหรือตัดสินอีกฝ่าย
2. หาจุดสมดุลใหม่ - อาจต้องปรับความถี่และรูปแบบการมีเพศสัมพันธ์ให้เหมาะสมกับทั้งสองฝ่าย
3. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ - หากปัญหาลุกลาม ควรหาความช่วยเหลือจากนักบำบัดด้านเพศสัมพันธ์ก่อนที่จะสายเกินไป
กรณีศึกษาจริงจากคู่รัก
นางสาวเอ (นามสมมติ) เล่าประสบการณ์ว่า "ฉันรู้สึกผิดตลอดเวลาที่ปฏิเสธแฟน แต่จริงๆ แล้วแค่เหนื่อยจากงาน" ในขณะที่สามีของเธอกลับคิดว่า "เธอไม่รักฉันอีกแล้วแน่ๆ"
อีกกรณีที่น่าสนใจคือคู่แต่งงานที่ฝ่ายหญิงต้องการมีเพศสัมพันธ์ทุกวัน ส่วนสามีซึ่งอายุมากกว่า 15 ปีกลับต้องการเพียงสัปดาห์ละครั้ง สุดท้ายต้องพึ่งพาการบำบัดเป็นเวลานาน 6 เดือนกว่าจะหาจุดกลางที่ทั้งคู่พอใจ
ข้อมูลสถิติที่น่าตกใจ
จากการสำรวจคู่รัก 1,000 คู่ในประเทศไทยพบว่า:
- 45% เคยมีปัญหาขัดแย้งเรื่องความต้องการทางเพศที่ไม่เท่ากัน
- 30% ยอมรับว่าปัญหานี้ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในระยะยาว
- เพียง 12% เท่านั้นที่กล้าไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
นักวิจัยเตือนว่าปัญหานี้ไม่ควรถูกมองข้าม เพราะอาจนำไปสู่การนอกใจหรือการหย่าร้างได้ ทางที่ดีที่สุดคือการยอมรับความแตกต่างและหาทางออกร่วมกัน
ท้ายที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์ที่แข็งแรงไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ในความถี่ที่เท่ากันเสมอไป แต่ต้องอาศัยความเข้าใจและความพยายามจากทั้งสองฝ่าย การเรียนรู้ที่จะอยู่กับความแตกต่างทางเพศอาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสัมพันธ์ที่ยืนยาว












