LGBTQ+ ในโลกโบราณ เมื่อความรักไม่ใช่แค่เรื่องถูกใจ แต่เป็นเรื่องสถานะ
หลายคนอาจคิดว่ากรีกโรมันโบราณเป็นสังคมที่เปิดกว้างกับ LGBTQ+ มากกว่าปัจจุบัน ด้วยภาพลักษณ์ของเทพเจ้าชายหนุ่มที่รักกันเปิดเผย หรือจักรพรรดิโรมันที่แต่งงานกับผู้ชายได้อย่างเป็นทางการ แต่แท้จริงแล้ว ความรักในยุคโบราณไม่ได้ไร้ขอบเขตอย่างที่คิด การยอมรับความหลากหลายทางเพศนั้นมีเงื่อนไขแอบซ่อนอยู่เสมอ และบางครั้งเรื่องราวเหล่านี้ก็ถูกลบเลือนไปจากประวัติศาสตร์
สังคมกรีกโบราณ โดยเฉพาะในเอเธนส์ ไม่ได้มีแนวคิดเรื่องเพศวิถีตายตัวแบบรักร่วมเพศหรือรักต่างเพศ แต่เน้นที่ บทบาทและสถานะทางสังคม ของผู้มีส่วนร่วม
กรีกมีระบบที่เรียกว่า "Pederasty" ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายผู้ใหญ่ (Erastes) กับเด็กหนุ่มวัยรุ่น (Eromenos) โดยมีจุดประสงค์หลักคือการถ่ายทอดคุณธรรมและความเป็นพลเมืองที่ดี แม้จะมีการสัมผัสทางเพศ แต่ก็ถูกจำกัดขอบเขต และเด็กหนุ่มจะต้องไม่รับบทบาท "Passive" ทางเพศด้วยความยินยอมพร้อมใจ เพราะจะถูกมองว่าเสียเกียรติและกระทบต่อความเป็นชายในอนาคต ความสัมพันธ์นี้มักจำกัดอยู่ในชนชั้นสูง
สำหรับความรักในหมู่ชายวัยผู้ใหญ่ แม้จะมีตัวอย่างบ้าง แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับเท่า Pederasty เพราะในมุมมองกรีก "ความเป็นชาย" ต้องอยู่ในบทบาท "รุก" เท่านั้น การที่พลเมืองอิสระรับบทบาท "Passive" จะถูกมองในแง่ลบอย่างมาก แต่ก็มีข้อยกเว้น เช่นในหมู่กวี นักปรัชญา หรือกลุ่มชายรักชายอย่าง "The Sacred Band of Thebes" กองกำลังทหารที่เชื่อว่าประกอบด้วยคู่รักชาย-ชาย 150 คู่ ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องกันอย่างดุเดือด
เทพเจ้ากรีกเองก็มีความรักกับเพศเดียวกันหลายองค์ เช่น ซุส ที่หลงรัก แกนิมีด และ เทพอะพอลโล ที่มีความรักกับ ไฮยาซินทัส เรื่องราวเหล่านี้ถูกเล่าขานอย่างสวยงามและโรแมนติก
ด้านหญิงรักหญิง แม้จะมีบันทึกน้อยกว่า แต่ก็มีกวีหญิงผู้ทรงอิทธิพลอย่าง แซฟโฟ จากเกาะเลบอส บทกวีของเธอมุ่งเน้นความรักและความปรารถนาต่อผู้หญิงคนอื่นๆ ซึ่งนักวิชาการตีความว่าเป็นความสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิง บทกวีของเธอได้รับการยกย่องอย่างสูง และคำว่า "เลสเบี้ยน" ก็มีรากมาจากชื่อเกาะบ้านเกิดของเธอ "เลบอส"
โดยสรุปแล้ว สังคมกรีกเปิดกว้างในแง่การยอมรับพฤติกรรมความรักระหว่างเพศเดียวกัน แต่ก็มีกรอบของบทบาท อำนาจ ชนชั้น และอายุ ที่กำหนดไว้
โรมันโบราณมองเรื่องเพศว่าเกี่ยวข้องกับ ศักดิ์ศรีและอำนาจ พลเมืองชายชนชั้นสูงสามารถมีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นได้ตราบใดที่เขาเป็นฝ่าย "รุก" แต่ถ้าเป็นฝ่าย "รับ" จะถูกมองว่าไม่เป็นชาย ถูกดูถูกว่าอ่อนแอ ไร้เกียรติ และอาจถูกกีดกันจากตำแหน่งทางการเมืองหรือทหาร
อย่างไรก็ตาม ก็มีจักรพรรดิโรมันบางองค์ที่แสดงออกอย่างเปิดเผย เช่น จักรพรรดิเนโร ซึ่งเคยแต่งงานกับชายหนุ่มชื่อ สปอรุส ในพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ หรือ จักรพรรดิเฮเดรียน ที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหนุ่มกรีกชื่อ แอนตินูส หลังจากแอนตินูสเสียชีวิต เฮเดรียนถึงกับสร้างเมืองและวิหารเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
เรื่องราวของหญิงรักหญิงในโรมันปรากฏน้อยมากในบันทึก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้หญิงโรมันมีบทบาททางสังคมที่จำกัด ทำให้ชีวิตส่วนตัวและการแสดงออกทางเพศของพวกเธออยู่นอกสายตาของบันทึกสาธารณะ แต่ก็มีหลักฐานบางแห่งที่กล่าวถึง เช่น การค้นพบหลุมศพของผู้หญิงที่ถูกฝังเคียงข้างกัน หรือการกล่าวถึงผู้หญิงที่มีความต้องการแบบชาย ซึ่งสมัยนั้นถือว่าผิดธรรมชาติ
สำหรับโรมัน ความรักไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียม แต่ขึ้นอยู่กับชนชั้น เพศ อายุ และตำแหน่งทางสังคม พฤติกรรมจะถูกหรือผิดขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้กระทำและใครเป็นผู้ถูกกระทำ ไม่ใช่เพราะว่าเป็นเพศใด
ทั้งกรีกและโรมันไม่ได้มีปัญหากับความสัมพันธ์เพศเดียวกัน แต่ความสัมพันธ์นั้นต้องอยู่ในกรอบที่สังคมกำหนด ในโลกสมัยใหม่ LGBTQ+ คือเรื่องของอัตลักษณ์ แต่ในโลกโบราณ "เรื่องเพศ" คือ "พฤติกรรม" ไม่ใช่ "ตัวตน"
สิ่งที่น่าสนใจคือ พวกเขาไม่ได้ปิดกั้นที่จะพูดถึงความรักเพศเดียวกันในวรรณกรรม ตำนานเทพเจ้า หรือศิลปะ ซึ่งทำให้เราพูดได้ว่าสังคมโบราณบางแห่งเปิดใจกว่าสังคมยุโรปยุคกลางเสียอีก ที่ซึ่ง LGBTQ+ ถูกประณามอย่างรุนแรง
คำถามคือ "ทำไมเราไม่เคยเรียนเรื่องนี้ในห้องเรียน?" คำตอบคือเพราะ ประวัติศาสตร์ก็มีคนเลือกเขียนและคนเลือกเงียบ เมื่อโลกเข้าสู่ยุคคริสต์ศาสนา ความเชื่อทางศาสนาได้กลายเป็นกรอบหลักที่ตัดสินบาปบุญ ทำให้วรรณกรรมกรีกโรมันถูกตัดทอน ความสัมพันธ์เพศเดียวกันถูกละเว้น หรือแปลให้กลายเป็นแค่ "เพื่อนสนิท"
แม้กระทั่งในศตวรรษที่ 19-20 นักประวัติศาสตร์ที่มีอคติทางศีลธรรมก็มักอธิบายความสัมพันธ์เพศเดียวกันในอดีตว่าเป็นมิตรภาพทางใจ ไม่ใช่ความใคร่ ผลคือภาพความหลากหลายทางเพศในประวัติศาสตร์ถูกทำให้ "ปลอดภัย" และ "ตรงศีลธรรม" ของยุคปัจจุบัน
จริงอยู่ที่ในอดีตไม่ได้มีคำว่า LGBTQ+ แต่การไม่มีคำก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีตัวตน คนโรมันอาจจะไม่ได้บอกว่า "ฉันเป็นเกย์" แต่พวกเขาก็มีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน มาตรฐานของความปกติก็เปลี่ยนไปตามยุคสิ่งที่เคยเปิดในสมัยกรีกโรมันก็กลายเป็นผิดบาปในยุโรปยุคกลาง แล้วกลับมาถูกตั้งคำถามในยุคสมัยใหม่ ประวัติศาสตร์คือการแย่งชิงพื้นที่เล่าเรื่อง ใครได้พูดก็เท่ากับความจริง ใครถูกลืมก็กลายเป็นไม่มีอยู่ LGBTQ+ ไม่ใช่สิ่งใหม่ ไม่ใช่แฟชั่น แต่เป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่โบราณ เพียงแต่ถูกลบ เสริมแต่ง และตีความซ้ำ จนกระทั่งความจริงกลายเป็นนิทานที่ถูกกรองมาแล้ว ภารกิจของเราคือการฟังเสียงจากอดีตให้ชัดเจน ไม่ใช่แค่จากหนังสือเรียน แต่จากรูปปั้น จารึก กวี ภาพเขียน และรอยเงียบในหน้ากระดาษ

















