เต้ มงคลกิตติ์ เสนอแรง! ห้ามเด็กอายุไม่เกิน 22 ปีมีเพศสัมพันธ์ จุดชนวนถกเดือด
ดราม่าระอุ! เต้ มงคลกิตติ์ เสนอห้ามวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ก่อนอายุ 22 ปี ปมป้องกัน HIV – ถูกวิจารณ์ยับ ละเมิดสิทธิหรือหวังดี?
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นที่ร้อนแรงในโลกออนไลน์และสื่อกระแสหลัก เมื่อ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "เต้ มงคลกิตติ์" นักการเมืองและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชื่อดัง ออกมา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เสนอแนวคิดเชิงนโยบายด้านการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มเยาวชน โดยเฉพาะโรค HIV ซึ่งกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคมไทย
สาระสำคัญจากโพสต์ : เสนอห้ามนักเรียน-นักศึกษาอายุต่ำกว่า 22 ปีมีเพศสัมพันธ์
นายมงคลกิตติ์ระบุผ่านโพสต์ว่า ตนขอเสนอให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) ออกประกาศอย่างเป็นทางการ ห้ามนักเรียนและนักศึกษาที่มีอายุต่ำกว่า 22 ปี หรือยังเรียนไม่จบปริญญาตรี มีเพศสัมพันธ์ โดยให้เหตุผลว่า
กลุ่มเยาวชนเหล่านี้ยังไม่สามารถเลี้ยงดูตนเองได้
มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศอื่นๆ
อาจเกิดผลกระทบทางการศึกษา เช่น การเรียนตกต่ำ ถูกไล่ออก
หากตั้งครรภ์ระหว่างเรียน ก็อาจไม่มีความสามารถรับผิดชอบชีวิตของตนเองและบุตรได้
นอกจากนี้ ยังเสนอว่าหาก นักเรียนหรือนักศึกษาฝ่าฝืนคำสั่ง ควรมีบทลงโทษ เช่น “ไล่ออก” หรือ “ทัณฑ์บน” พร้อมวิจารณ์แนวคิดการแจกถุงยางอนามัยว่า เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ
โพสต์ต้นฉบับของเต้ มงคลกิตติ์ (บางส่วน)
“ผมขอเสนอ รมว.ศธ. รมว.อว. ลด HIV
ออกประกาศห้าม นักเรียน-นักศึกษา ถ้ายังเรียนไม่จบ ป.ตรี หรืออายุไม่เกิน 22 ปี ยังหาเลี้ยงตนเองไม่ได้ ห้ามมีเพศสัมพันธ์เด็ดขาด
…หากฝ่าฝืน ไล่ออก ทัณฑ์บน
แจกถุงยาง = แก้ที่ปลายเหตุ
ปล. ความเห็นจากลูกสาวผม”
เสียงสะท้อนจากสังคม : ขัดสิทธิมนุษยชนหรือเป็นห่วงอนาคตเยาวชน?
หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป เสียงสะท้อนจากสังคมในหลายมุมมองก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง บางส่วนเห็นด้วย โดยมองว่าเป็นการแสดงออกถึงความหวังดีต่ออนาคตของเยาวชน แต่ขณะเดียวกันเสียงวิพากษ์จำนวนมากกลับวิจารณ์ว่าเป็น แนวคิดล้าหลัง ละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล โดยเฉพาะในประเด็นของ
สิทธิในร่างกายตนเอง และ เสรีภาพในการเลือกวิถีชีวิตทางเพศ ของเยาวชน
การใช้อำนาจสั่งห้ามโดยขาดมิติของการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจ
การลงโทษเช่น “ไล่ออก” หรือ “ทัณฑ์บน” เป็นมาตรการที่รุนแรงเกินไปและอาจซ้ำเติมปัญหา
มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญและนักสิทธิมนุษยชน
นักวิชาการด้านสิทธิมนุษยชนและเพศศึกษา ออกมาให้ความเห็นว่า แนวคิดของเต้ มงคลกิตติ์ สะท้อนถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศในวัยรุ่น และการใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อควบคุมสิ่งที่ควรได้รับการ “ให้ความรู้” มากกว่าการ “ลงโทษ”
“การห้ามเยาวชนมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องที่จะควบคุมได้ด้วยคำสั่ง หรือระเบียบราชการ… การให้ความรู้ทางเพศศึกษาอย่างครอบคลุมต่างหากที่เป็นทางออก” – นักวิชาการด้านเพศศึกษา กล่าว
ข้อมูลสถิติน่าสนใจ:
ตามรายงานของ UNAIDS ประเทศไทยในปี 2024 พบว่า ผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่ในกลุ่มอายุ 15-24 ปี มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการให้ความรู้ด้านเพศศึกษาและการเข้าถึงถุงยางอนามัย
การลงโทษผู้มีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน ไม่เคยได้รับการพิสูจน์ว่าได้ผลในทางปฏิบัติ กลับสร้างปัญหาเชิงสังคมและจิตใจ เช่น การซ่อนการตั้งครรภ์ และการทำแท้งเถื่อน
ทำไมแนวคิด “แจกถุงยาง” ถึงไม่ใช่แค่การแก้ที่ปลายเหตุ?
แม้เต้ มงคลกิตติ์จะมองว่า “การแจกถุงยาง” เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ในทางตรงกันข้าม องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) ต่างยืนยันว่า
“การให้เยาวชนเข้าถึงถุงยางอนามัย ควบคู่กับการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษา ช่วยลดอัตราการติดโรคทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
มองจากมุมพ่อคนหนึ่ง : เต้ มงคลกิตติ์กล่าว “ลูกสาวผมเสนอเอง”
ในท้ายโพสต์ เต้ มงคลกิตติ์ระบุว่า แนวคิดนี้ เกิดจากการพูดคุยกับลูกสาวของตนเอง ซึ่งหลายฝ่ายเห็นว่าเป็นมุมที่น่าสนใจ เพราะสะท้อนถึงความกังวลของครอบครัวต่อสถานการณ์ทางเพศของวัยรุ่นในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการนำความคิดเห็นส่วนตัวมาเสนอเป็นมาตรการนโยบายระดับประเทศ อาจ ขาดมิติของความหลากหลายทางความคิดเห็น
สรุปข้อเสนอของ เต้ มงคลกิตติ์
1. ออกประกาศห้ามนักเรียน-นักศึกษาที่อายุต่ำกว่า 22 ปี มีเพศสัมพันธ์
2. หากฝ่าฝืน ให้มีบทลงโทษ เช่น ไล่ออก หรือทัณฑ์บน
3. เห็นว่าการแจกถุงยางเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
4. ข้อเสนอเกิดจากบทสนทนาระหว่างเจ้าตัวกับลูกสาว
บทวิเคราะห์ : ควรเดินหน้าด้วยแนวคิด “ให้ความรู้” มากกว่า “ออกกฎควบคุม”
แนวทางที่นานาประเทศใช้ในการลดการติดเชื้อ HIV ในวัยรุ่นคือ การศึกษาและการเปิดโอกาสให้เข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันโรคอย่างปลอดภัย ไม่ใช่การห้ามหรือควบคุมทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพราะจะสร้างผลเสียมากกว่าผลดีในระยะยาว
ข้อเสนอที่น่าพิจารณา:
เพิ่มการสอนเพศศึกษาที่เข้าใจง่าย และมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งเรื่องโรค ความสัมพันธ์ การยินยอม และความรับผิดชอบ
เปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ปกครองและครูอย่างเปิดใจ
ส่งเสริมให้เยาวชนเห็นความสำคัญของการรักและเคารพตนเอง มากกว่าการห้ามโดยเด็ดขาด
ข้อเสนอ “ห้ามมีเพศสัมพันธ์ก่อน 22 ปี” ของเต้ มงคลกิตติ์ สะท้อนปัญหาที่ลึกกว่าที่คิด
ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่กับข้อเสนอของ “เต้ มงคลกิตติ์” แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องการให้ความรู้ด้านเพศศึกษาอย่างแท้จริง ซึ่งหากรัฐต้องการลด HIV หรือตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ในกลุ่มเยาวชน การใช้บทลงโทษแบบเข้มงวดอาจไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง
หากคุณมีความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอนี้ คิดว่าควรหรือไม่ควรออกกฎหมายห้ามเยาวชนมีเพศสัมพันธ์ก่อนอายุ 22 ปี? ร่วมแสดงความเห็นกันได้ในช่องคอมเมนต์ด้านล่าง

















