Deepfake ภัยร้ายคุกคามคนดังจากเทคโนโลยีเปลี่ยนใบหน้า
เมื่อเร็วๆ นี้ โลกออนไลน์ต้องตกตะลึงกับข่าวลือที่ว่า โจว จื่อวี่ ศิลปินสาวชาวไต้หวันสุดฮอตที่ไปโด่งดังในเกาหลีใต้ ถูกนำใบหน้าไปตัดต่อในภาพยนตร์สำหรับผู้ใหญ่ (AV) ด้วยเทคโนโลยี Deepfake แม้ว่าคลิปดังกล่าวจะถูกสร้างขึ้นมาอย่างแนบเนียนจนหลายคนเชื่อว่าเป็นของจริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือผลพวงของการนำเทคโนโลยี Deepfake มาใช้ในทางที่ผิด ซึ่งไม่เพียงแต่โจว จื่อวี่ เท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อ แต่ยังมีคนดังอีกมากมายทั้งในเกาหลีใต้และระดับโลกที่ได้รับผลกระทบจากภัยคุกคามนี้
Deepfake คือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สามารถนำใบหน้าของบุคคลหนึ่งไปวางทับบนใบหน้าของอีกบุคคลหนึ่งในวิดีโอได้อย่างแนบเนียน จนยากที่จะแยกแยะได้ว่าเป็นการตัดต่อ จุดประสงค์หลักของ Deepfake ควรเป็นการสร้างสรรค์ผลงานบันเทิงหรือการศึกษา แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีนี้กลับถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะการสร้างสรรค์สื่อลามกอนาจาร เพื่อหาผลประโยชน์
กรณีของโจว จื่อวี่ เป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจน เว็บไซต์ AV ในเกาหลีใต้ได้นำเทคโนโลยี Deepfake มาใช้สร้างคลิปปลอมจำนวนมาก โดยการนำใบหน้าของดาราสาวชื่อดังหลายคน รวมถึง ไอยู (IU) ไปใส่ในวิดีโออนาจาร และน่าตกใจที่เว็บไซต์เหล่านี้ยังคงเปิดดำเนินการอยู่ และมีผู้สมัครสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ยังไม่ได้รับการปราบปรามจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเกาหลีใต้
ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการบันเทิงเกาหลีใต้เท่านั้น ย้อนกลับไป วิดีโอ Deepfake ของ กัล กาดอต (Gal Gadot) นักแสดงสาวผู้รับบท Wonder Woman ก็เคยถูกเผยแพร่บนโลกออนไลน์ และนอกจากนี้ยังมีนักแสดงหญิงระดับโลกอีกหลายคน เช่น เอ็มม่า วัตสัน (Emma Watson), สการ์เล็ตต์ โจฮันสัน (Scarlett Johansson), นาตาลี พอร์ตแมน (Natalie Portman) และนักร้องสาว เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ที่ตกเป็นเหยื่อของการถูกนำภาพไปตัดต่อในลักษณะเดียวกัน
ไม่เพียงแต่ในวงการบันเทิงเท่านั้น เทคโนโลยี Deepfake ยังถูกนำไปใช้ในวงการการเมืองด้วย ตัวอย่างเช่น คลิปวิดีโอที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่าง บารัค โอบามา ดูเหมือนจะดูถูกประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างรุนแรง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นวิดีโอปลอมที่สร้างขึ้นด้วย Deepfake
ด้วยความตระหนักถึงอันตรายที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ Deepfake ในทางที่ผิด บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Facebook จึงได้ประกาศทุ่มงบประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามนี้ โดยร่วมมือกับ Microsoft และ Partnership on AI ซึ่งเป็นพันธมิตรของอุตสาหกรรม AI ระดับโลก รวมถึงสถาบันการศึกษาชั้นนำในสหรัฐอเมริกา เพื่อเปิดตัว "Deepfake Detection Challenge"
ไมค์ ชรอปเฟอร์ (Mike Schroepfer) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Facebook ระบุว่า จุดมุ่งหมายของโครงการนี้คือการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทุกคนสามารถใช้ได้เพื่อตรวจจับว่าวิดีโอใดๆ ถูกสร้างหรือเปลี่ยนแปลงด้วย AI หรือไม่ อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าขณะนี้อุตสาหกรรมเทคโนโลยียังขาดข้อมูลและมาตรฐานในการตรวจจับ Deepfake ในวงกว้าง
ภัยคุกคามจาก Deepfake เป็นเรื่องที่เราทุกคนควรตระหนัก เพราะมันไม่ใช่แค่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของคนดังเท่านั้น แต่ยังสามารถบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของข้อมูลและข่าวสารในสังคมได้อีกด้วย การพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจจับและการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ Deepfake จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลนี้






















