กาตาร์ จากไข่มุกสู่ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และการก้าวสู่มหาอำนาจพลังงานโลก
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่ากาตาร์เป็นประเทศที่ร่ำรวยจากน้ำมัน แต่แท้จริงแล้วความมั่งคั่งของกาตาร์มาจาก "ก๊าซธรรมชาติเหลว" (LNG) และการลงทุนต่อยอดจากความมั่งคั่งดังกล่าวอย่างชาญฉลาด
ในศตวรรษที่ 19 กาตาร์เป็นเพียงประเทศยากจนที่มีรายได้หลักจากการประมงและการเก็บไข่มุก แต่เมื่อญี่ปุ่นเริ่มทำฟาร์มไข่มุกในปี 1930 ราคาไข่มุกธรรมชาติก็ตกต่ำลงอย่างมาก ทำให้กาตาร์ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนัก จนกระทั่งในปี 1939 กาตาร์ได้ค้นพบแหล่งน้ำมันของตัวเอง ซึ่งช่วยให้พ้นจากความยากจนได้ อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำมันสำรองของกาตาร์มีน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้กาตาร์ก้าวสู่ความมั่งคั่งอย่างแท้จริงคือการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ชื่อ "North Field" ในปี 1971 ซึ่งทำให้กาตาร์กลายเป็นประเทศที่มีก๊าซธรรมชาติสำรองมากเป็นอันดับ 3 ของโลก
กาตาร์ได้ลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อแปรรูปก๊าซธรรมชาติให้เป็นก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งมีข้อดีคือใช้พื้นที่น้อยลง 600 เท่าและขนส่งง่ายกว่าก๊าซธรรมชาติมาก ทำให้สามารถส่งออกไปขายได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องวางท่อ นอกจากนี้ LNG ยังเป็นพลังงานสะอาดกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลชนิดอื่น ๆ และถูกใช้เป็นพลังงานหลักในหลายประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด
การส่งออก LNG โดยเฉพาะกับลูกค้ารายใหญ่อย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ทำให้กาตาร์มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และยังได้รับประโยชน์เมื่อเกิดความผันผวนทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกก๊าซของรัสเซีย
กาตาร์นำเงินที่ได้จาก LNG ไปลงทุนในการพัฒนาประเทศอย่างมหาศาล โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินกู้จากต่างชาติหรือเร่งเก็บภาษีประชาชน กาตาร์ลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น สนามบินนานาชาติ เมือง Lusail ที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจ ระบบสาธารณูปโภค การศึกษา และสาธารณสุขฟรี นอกจากนี้ยังเป็นประเทศแรกในตะวันออกกลางที่จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ได้สำเร็จ
เพื่อกระจายความเสี่ยงและไม่พึ่งพิงรายได้จากก๊าซธรรมชาติเพียงอย่างเดียว กาตาร์ได้จัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (QIA) เพื่อนำเงินไปลงทุนในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก และยังลงทุนในกระบวนการผลิต LNG ครบวงจร ตั้งแต่การขุดเจาะ แปรรูป กักเก็บ ขนส่ง และแปรรูปคืน เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในการส่งออก LNG
ประเทศไทยมีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองน้อยกว่ากาตาร์ถึง 170 เท่า และไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ ทำให้ประเทศไทยต้องนำเข้า LNG เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพลังงานและรักษาเสถียรภาพพลังงานของประเทศ
แม้การนำเข้า LNG จะมีต้นทุนสูงและราคาผันผวน แต่ LNG ก็กลายเป็นแกนหลักของพลังงานไทย โดยเฉพาะในการผลิตไฟฟ้า ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลาง LNG ของภูมิภาคอาเซียน (Regional Hub) โดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของ LNG Value Chain อย่างครบวงจร
สรุปได้ว่า กาตาร์ได้พลิกโฉมจากประเทศยากจนสู่มหาอำนาจพลังงานโลกด้วยการค้นพบและการลงทุนอย่างชาญฉลาดในก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งไม่เพียงสร้างความมั่งคั่งมหาศาล แต่ยังเป็นพลังงานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน


