เปิดตำนาน "สุดยอดทหาร" ของนาซี ความจริงเบื้องหลังการทดลองมนุษย์และยาโด๊ปสงคราม
เรื่องราวเกี่ยวกับการที่พรรคนาซีเยอรมันพยายามสร้าง "สุดยอดทหาร" (Super Soldiers) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง มักถูกนำไปตีความในสื่อบันเทิงและนิยายวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จะพบว่าแนวคิดนี้มีความซับซ้อนและแตกต่างจากภาพจำที่หลายคนเข้าใจ
สิ่งที่นาซีดำเนินการจริงจังและเป็นที่ประจักษ์คือ การทดลองทางการแพทย์กับมนุษย์อย่างโหดเหี้ยม ในค่ายกักกันต่างๆ เช่น เอาชวิทซ์และดาเคา การทดลองเหล่านี้มีจุดประสงค์ที่หลากหลายและไร้ซึ่งจริยธรรม โดยผู้เคราะห์ร้ายส่วนใหญ่เป็นชาวยิวและนักโทษอื่นๆ ที่ถูกจับกุม
การทดลองเหล่านี้มักมุ่งเน้นไปที่การศึกษาขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ การเพิ่มประสิทธิภาพการอยู่รอดในสภาวะสุดขั้ว หรือการหาวิธีรักษาอาการบาดเจ็บจากการรบ ตัวอย่างเช่น:
-
การทดลองภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ (Hypothermia Experiments): นักโทษถูกบังคับให้แช่ในน้ำเย็นจัด หรือถูกปล่อยให้สัมผัสกับความหนาวเย็นจัด เพื่อศึกษาผลกระทบของอุณหภูมิที่ต่ำต่อร่างกาย และหาวิธีการรักษาภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำสำหรับนักบินที่ตกในทะเลหรือทหารในแนวรบด้านตะวันออก
-
การทดลองในห้องสุญญากาศ (High-Altitude Experiments): นักโทษถูกนำเข้าไปในห้องที่จำลองสภาวะความดันต่ำระดับความสูงมาก เพื่อทดสอบขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ในสภาพแวดล้อมที่ขาดออกซิเจน และศึกษาผลกระทบต่อร่างกายของนักบินที่ปฏิบัติการในระดับความสูง
-
การทดลองผ่าตัดและปลูกถ่ายอวัยวะ: มีการผ่าตัดนำกระดูก กล้ามเนื้อ และเส้นประสาทออกจากร่างกายนักโทษ หรือพยายามปลูกถ่ายอวัยวะโดยปราศจากยาชา เพื่อศึกษาการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อและการปลูกถ่าย ซึ่งส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ความพิการถาวร และการเสียชีวิต
-
การทดลองยาและวัคซีน: มีการทดสอบยาและวัคซีนต่างๆ โดยการทำให้ผู้ถูกทดลองติดเชื้อร้ายแรง เช่น มาลาเรีย หรือเชื้อโรคที่ทำให้เกิดเนื้อตายเน่า เพื่อดูผลของยา
แม้การทดลองเหล่านี้จะมีจุดประสงค์เพื่อการแพทย์และการทหาร แต่ก็ไม่ได้มีเป้าหมายโดยตรงในการสร้าง "สุดยอดทหาร" ในแง่ของพละกำลังเหนือมนุษย์ตามแบบในนิยาย หากแต่เป็นการศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการอยู่รอดของทหารภายใต้สถานการณ์สงครามที่รุนแรง
หนึ่งในแง่มุมที่ใกล้เคียงกับแนวคิด "สุดยอดทหาร" มากที่สุดคือ การใช้สารกระตุ้น นาซีได้มีการใช้ยาประเภทแอมเฟตามีน (Amphetamines) อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ เพอร์วิติน (Pervitin) ซึ่งเป็นเมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) รูปแบบหนึ่ง ยานี้ถูกแจกจ่ายให้กับทหารจำนวนมากเพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถตื่นตัว ลดความเหนื่อยล้า และเพิ่มขวัญกำลังใจในการรบได้นานขึ้น
เพอร์วิตินช่วยให้ทหารสามารถรบต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องพักผ่อนเป็นเวลานาน ซึ่งอาจทำให้บางคนมองว่าเป็นการสร้าง "ทหารที่เหนือกว่า" ในแง่ของความทนทาน อย่างไรก็ตาม การใช้สารกระตุ้นเหล่านี้ก็นำมาซึ่งผลข้างเคียงร้ายแรง เช่น การติดยา ปัญหาทางจิตเวช และภาวะร่างกายอ่อนล้าอย่างรุนแรงเมื่อยาหมดฤทธิ์
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าและทฤษฎีสมคบคิดมากมายที่เชื่อมโยงนาซีเข้ากับ ไสยศาสตร์ พลังเหนือธรรมชาติ และองค์กรลับ เช่น องค์กร Ahnenerbe ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยของ SS ที่มีหน้าที่ศึกษาประวัติศาสตร์และบรรพบุรุษของชาวอารยัน แต่ก็ถูกกล่าวหาว่าทำการวิจัยด้านไสยศาสตร์และสิ่งลี้ลับเพื่อใช้ในสงคราม
อย่างไรก็ตาม หลักฐานทางประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นว่าเรื่องราวเหล่านี้มักเป็นผลมาจาก "ความหลงใหลหลังสงคราม" ที่ตีความกิจกรรมของนาซีในแง่มุมที่เหนือจริง ซึ่งแตกต่างจากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสยดสยองของการทดลองมนุษย์ที่เกิดขึ้นจริง
โดยสรุปแล้ว การที่นาซี "ศึกษา" เพื่อสร้าง "สุดยอดทหาร" ตามความเข้าใจในปัจจุบัน มักเป็นเรื่องที่เกินจริงและได้รับอิทธิพลจากสื่อบันเทิง แต่สิ่งที่นาซีดำเนินการจริงจังคือ การทดลองทางการแพทย์กับมนุษย์อย่างทารุณไร้มนุษยธรรม เพื่อศึกษาขีดจำกัดของร่างกายและหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพของทหาร รวมถึงการใช้สารกระตุ้นเพื่อช่วยให้ทหารต่อสู้ได้นานขึ้น
แม้ว่าการกระทำเหล่านี้จะสะท้อนถึงความพยายามที่จะสร้างความได้เปรียบทางทหาร แต่ก็ไม่ใช่การสร้าง "สุดยอดทหาร" ในความหมายของการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมหรือการใช้พลังเหนือธรรมชาติอย่างที่มักปรากฏในนิยาย แต่มันคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์





















