ยุคขุนศึกจีน สาเหตุและผลกระทบของ 12 ปีแห่งความวุ่นวาย (พ.ศ. 2459-2471)
หลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของหยวนซื่อไข่ในปี พ.ศ. 2459 ประเทศจีนได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความวุ่นวายที่กินเวลานานกว่าหนึ่งทศวรรษ หรือที่เรียกว่า "ยุคขุนศึก" (พ.ศ. 2459-2471) ในช่วงเวลานี้ อำนาจในประเทศถูกแบ่งแยกโดยเหล่าแม่ทัพผู้มีอิทธิพลทางทหาร ซึ่งเรียกกันว่า ขุนศึก โดยมีจำนวนมากถึงกว่า 100 คน ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ต่างก็ครอบครองพื้นที่อิทธิพลของตนเอง
ความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การปะทะเล็กๆ ไปจนถึงสงครามขนาดใหญ่ที่มีการนองเลือด ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าระหว่างปี พ.ศ. 2459 ถึง 2471 มีสงครามเกิดขึ้นรวม 140 ครั้ง และหากนับรวมความขัดแย้งย่อยๆ นักประวัติศาสตร์บางคนระบุว่าเฉพาะมณฑลเสฉวนแห่งเดียวก็เกิดสงครามกลางเมืองกว่า 400 ครั้งในช่วงเวลานี้
ภาพถ่ายเก่าแก่ที่หลงเหลืออยู่ในยุคขุนศึกเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายและโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจริง ภาพศพทหารที่ถูกรวบรวมใส่โลงศพในค่ายที่พระราชวังต้องห้ามปักกิ่งหลังการสู้รบในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2460 หรือภาพเจ้าหน้าที่แพทย์ที่กำลังหามผู้บาดเจ็บด้วยเปลหามในหนานจิงเมื่อปี พ.ศ. 2470 ล้วนเป็นพยานถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้น
ชีวิตของผู้คนในยุคขุนศึกต้องจมดิ่งอยู่ในวังวนของความรุนแรง การถูกรีดไถด้วยภาษีที่โหดร้าย และการปล้นสะดม ภาพถ่ายผู้ก่อการจลาจลที่ถูกยิงเสียชีวิตกลางถนนในกวางโจว และที่น่าสะเทือนใจยิ่งกว่าคือภาพศพสตรีผู้ก่อการจลาจลที่ถูกกระทำการย่ำยี ล้วนเป็นหลักฐานที่ชัดเจนของความป่าเถื่อนในยุคนั้น
ในปี พ.ศ. 2471 มีการประหารชีวิตหมู่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของจีน ผู้คนจำนวนมากออกมารุมล้อมดูการประหารชีวิต ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตายที่กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมขณะนั้น ภาพเพชฌฆาตหลักในปี พ.ศ. 2471 หรือภาพร่างของผู้เคราะห์ร้ายที่เป็นพลเรือนในฉางซา มณฑลหูหนาน ในปี พ.ศ. 2473 และภาพบ้านเรือนที่ถูกทำลายจากสงครามกลางเมืองในหูหนาน ผู้รอดชีวิตต้องรื้อค้นซากปรักหักพังเพื่อหาของยังชีพ ล้วนเป็นภาพที่น่าหดหู่
ผลพวงจากสงครามกลางเมืองทำให้จำนวนคนไร้บ้านและขอทานในปักกิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี พ.ศ. 2469 ผู้ลี้ภัยจำนวนมากมารวมตัวกันที่หน้าประตู Salvation Army เพื่อขอความช่วยเหลือ ในปี พ.ศ. 2470 ทหารที่พ่ายแพ้ของขุนศึกถูกจับเป็นเชลยและถูกส่งไปยังเขตปลอดทหารที่ควบคุมโดยกองทัพอังกฤษ
ยุคขุนศึกเป็นช่วงเวลาที่มืดมิดในประวัติศาสตร์จีน ที่ประชาชนต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส บทเรียนจากความขัดแย้งและการแบ่งแยกอำนาจนี้ เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของความเป็นปึกแผ่นและสันติภาพในสังคม






















