เหนื่อยแต่ไม่ถอย: 730 วันในกัมพูชา – เมื่อความจริงโหดกว่าที่คิด
เหนื่อยแต่ไม่ถอย: 730 วันในกัมพูชา – เมื่อความจริงโหดกว่าที่คิด
สวัสดีครับทุกคน เจอกันอีกแล้วกับเรื่องราวชีวิตจริงของผมที่ไปทำงานในกัมพูชานาน 2 ปีเต็ม ใครที่เคยตามอ่านตอนก่อนหน้านี้ คงพอจำได้ว่า ผมเป็นแค่เด็กไทยคนหนึ่งที่อยากหางานง่าย เงินดี เลยตัดสินใจไปทำงานในปอยเปต ความฝันตอนนั้นสั้นๆ แค่ว่า อยากรวยเร็ว อยากหลุดพ้นความจน และเชื่อว่าที่นั่นมีโอกาส เพราะใครหลายคนบอกว่าค่าแรงสูง ทำงานไม่นานก็เก็บเงินได้ก้อนใหญ่ แต่เมื่อก้าวขาเข้าไปจริงๆ สิ่งที่เจอคือความจริงที่ไม่มีใครเตือน…
วันแรกของผมในกัมพูชา คือวันเปิดประสบการณ์ที่เจ็บปวดที่สุด ออฟฟิศดูหรูหราสำหรับธุรกิจสีเทา แต่สังคมเต็มไปด้วยคนที่พยายามเอาตัวรอดแบบสุดขั้ว การหักหลัง นินทา ใส่ร้าย คือเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน ใครที่เก่งในการประจบสอพลอ จะมีทางรอดดีกว่าคนที่ซื่อตรงแบบผม บางคนที่เคยสนิทกันต่อหน้าก็พร้อมแทงข้างหลังทันทีที่มีโอกาส เพราะในที่แบบนี้ “ตำแหน่ง” คือชีวิต ใครขึ้นไปได้เร็ว ย่อมมีสิทธิพิเศษเยอะขึ้น แต่การเลื่อนขั้นมักแลกมาด้วยความขัดแย้ง และความสัมพันธ์ที่แตกหักจนยากจะกลับมาเหมือนเดิม
สิ่งที่ยากไม่ใช่แค่การปรับตัวกับงาน แต่คือการปรับใจให้อยู่กับคนที่พร้อมทำร้ายเราได้ทุกเมื่อ ความเครียดกินใจจนบางคืนผมร้องไห้ทั้งที่ต้องเข้ากะต่ออีกไม่กี่ชั่วโมง ผมเห็นเพื่อนร่วมงานบางคนล้มป่วยด้วยความเครียด จนต้องลาออกกลางคัน แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ ถ้าลาออกไม่ถูกขั้นตอนหรือลากลับไทยโดยไม่เคลียร์ บางคนกลายเป็น “ผู้ต้องหา” ทันที เพราะบริษัทจะบอกว่า “ขโมยข้อมูล” หรือ “ผิดสัญญา” แม้มันจะไม่จริง แต่พวกเขาก็ทำได้เพราะไม่มีใครปกป้องเรา
ช่วงที่หนักที่สุดคือหลังผมเปลี่ยนงานจาก...เว็บพนันมาเป็นตำแหน่งสูงขึ้นในบริษัทใหม่ ได้เงินเดือนมากกว่าเดิม แต่ต้องทำงาน 12 ชั่วโมงต่อวัน และวันหยุดแค่เดือนละครั้ง ความกดดันยิ่งบีบคั้นกว่าเดิมหลายเท่า ออฟฟิศนี้มีกฎเหล็กว่าห้ามพลาดเป้าแม้แต่วันเดียว ไม่งั้นจะโดนหักเงินเดือนหรือโดนด่าออกสื่อในกลุ่มแชทใหญ่ บางคนเคยโดนประจานจนเสียสติ เพราะชื่อเสียงของเขาถูกทำลายจนแทบหางานที่อื่นไม่ได้
แต่สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ เมื่อเราเลือกเดินทางนี้แล้ว ต้องแข็งแกร่งกว่าทุกอย่างที่มากระทบ ไม่มีพื้นที่ให้ความอ่อนแอ เพราะถ้าไม่แข็งแรงพอ จะถูกกินจนหมดตัว หลายคนที่บอกผมว่า “ทนทำไม” หรือ “กลับมาเถอะ” อาจไม่เข้าใจว่าสำหรับบางคน ค่าใช้จ่ายในครอบครัวและหนี้สินที่ไทยบังคับให้ต้องกัดฟันทำต่อ เพราะรายได้ที่นั่นคือความหวังเดียว แม้ต้องแลกกับสุขภาพกายใจ
เรื่องที่อยากเล่าเพิ่มเติมในตอนนี้ คือความเปลี่ยนแปลงของสังคมในที่ทำงานเมื่อวันหนึ่งบริษัทเริ่มไล่พนักงานเก่าออกเป็นชุด แล้วรับคนใหม่เข้ามาที่พร้อมทำงานแบบไม่ถามถึงสิทธิ ไม่คุยเรื่องเงินเดือนย้อนหลัง พวกเขาเอาคนรุ่นใหม่ที่อยากได้เงินด่วนมาหมุนเวียนแทน ทำให้สภาพในออฟฟิศยิ่งเหมือนเครื่องจักร ไม่มีใครสนใจใคร สนใจแค่ตัวเลขรายวัน ใครยอดตกคือศัตรูที่ต้องเหยียบให้ต่ำลง เพื่อให้ตัวเองดูดีกว่า
ในแต่ละวัน ผมเห็นทั้งคนที่ถูกหลอกให้มาทำงาน ทั้งคนที่สมัครใจมาด้วยความโลภ และคนที่โดนบังคับจากหนี้นอกระบบ ทุกคนมีเหตุผล แต่ปลายทางเหมือนกันคือ ต้องทำยอดขายให้ได้ ไม่งั้นอนาคตดับ ซึ่งยิ่งทำให้บรรยากาศในออฟฟิศเหมือนสนามรบที่รอวันระเบิด
หลายคนถามว่าทำไมไม่หนี ผมบอกตรงนี้เลยว่าการหนีในประเทศแบบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแต่ละออฟฟิศมีคอนแทคกับตำรวจท้องถิ่น มีสายข่าว ถ้าโดนจับได้อาจไม่ได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย แต่ผมไม่อยากให้เรื่องของผมถูกมองว่าเป็นข้ออ้าง ผมอยากเล่าให้คนไทยที่คิดจะไปทำงานแบบนี้ได้เห็นภาพจริง ว่าความเสี่ยงสูงแค่ไหน และหากยังคิดจะไป อย่างน้อยต้องเตรียมใจและวางแผนให้รอบคอบที่สุด
สิ่งที่อยากบอกจากใจในตอนนี้คือ ถ้าใครกำลังลังเลว่าจะเดินทางเส้นนี้หรือไม่ ขอให้ทบทวนหลายรอบ เพราะเมื่อคุณก้าวเท้าไปที่นั่นแล้ว จะไม่มีวันง่ายต่อการกลับมาเหมือนเดิม ทุกอย่างต้องแลกด้วยอะไรบางอย่างเสมอ และมันอาจเป็นสิ่งที่คุณไม่เคยคิดว่าต้องเสีย
ผมเขียนเรื่องนี้ต่อเนื่องจากตอนก่อน เพราะอยากให้คนอ่านที่ติดตามมาตั้งแต่ต้นได้รับรู้ทุกมุม ทั้งด้านมืดที่น่ากลัว และแง่มุมที่ผมพยายามเอาตัวรอดอยู่ แม้หลายครั้งจะเจ็บปวดจนอยากยอมแพ้ แต่ผมยังบอกตัวเองทุกวันว่า “เหนื่อยแต่ไม่ถอย” เพราะอย่างน้อยในวันที่ยังมีลมหายใจ ผมก็ยังมีสิทธิเลือกทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นในแบบของผม
อยากฝากไว้ว่า ชีวิตจริงอาจโหดกว่านิยายหลายเท่า และขอขอบคุณทุกคนที่ยังคอยติดตามเรื่องราวของผมจากตอนแรกจนถึงตอนนี้ คอมเมนต์ให้กำลังใจของคุณเป็นพลังสำคัญที่ช่วยให้ผมยังเล่าเรื่องนี้ต่อไปได้ หวังว่าประสบการณ์นี้จะเป็นประโยชน์กับใครสักคนที่กำลังตัดสินใจอยู่ เพราะสุดท้ายแล้ว ชีวิตเราเป็นของเรา แต่ผลลัพธ์จากการตัดสินใจจะอยู่กับเราไปอีกนาน
#เหนื่อยแต่ไม่ถอย #730วันในกัมพูชา
#ชีวิตในวงการสีเทา #แชร์ประสบการณ์ชีวิต #รอดเป็นพอ












