หมอแล็บแพนด้า เคลื่อนไหว ปมผู้ป่วย HIV กับวัด แบบไม่อ้อมค้อม
หมอแล็บแพนด้าชี้! ผู้ติดเชื้อ HIV อยู่ได้จนแก่เฒ่าด้วยยาต้านไวรัส – ย้ำไม่ควรไป “นอนรอความตายที่วัด” เพราะความเข้าใจผิด
เมื่อวันที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊กชื่อดัง “หมอแล็บแพนด้า” ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะนักเทคนิคการแพทย์และอินฟลูเอนเซอร์ด้านสุขภาพ ได้ออกมาโพสต์ข้อความให้ความรู้เกี่ยวกับ โรค HIV พร้อมตั้งคำถามชวนสังคมคิดว่า “ทุกวันนี้มียาต้านเอชไอวีแล้ว ทำไมถึงยังมีคนต้องไปนอนรอความตายที่วัด?”
โพสต์นี้ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันความรู้เกี่ยวกับโรค HIV ในสังคมไทยยังคงมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่มาก บางคนยังเชื่อว่าการติดเชื้อเอชไอวีคือ “โทษประหารชีวิต” ทั้งที่ในความเป็นจริง วิทยาการทางการแพทย์ได้พัฒนาไปไกลมากจนผู้ติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตได้ยืนยาวและมีคุณภาพไม่ต่างจากคนทั่วไป หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง
ยาต้านไวรัส HIV คืออะไร และทำไมถึงช่วยยืดอายุได้?
HIV (Human Immunodeficiency Virus) เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หากไม่ได้รับการรักษา อาจพัฒนาไปสู่ โรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งเป็นระยะที่ร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสจนเสียชีวิต
ปัจจุบัน มียาต้านไวรัสที่เรียกว่า Antiretroviral Therapy (ART) ซึ่งสามารถกดปริมาณไวรัสในร่างกายให้ต่ำจนตรวจไม่พบ (Undetectable viral load) เมื่อไวรัสอยู่ในระดับนี้ ระบบภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ฟื้นตัว ทำให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาวได้เหมือนคนทั่วไป
หมอแล็บแพนด้าอธิบายว่า หากผู้ติดเชื้อรับประทานยาต้านอย่างสม่ำเสมอและตรวจเลือดตามนัด แทบไม่มีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคเอดส์ อีกทั้งยังสามารถใช้ชีวิต ทำงาน สร้างครอบครัว และมีความสัมพันธ์ทางเพศได้อย่างปลอดภัย โดยไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น
ทำไมยังมีคนไป “นอนรอความตายที่วัด”?
แม้ความรู้ทางการแพทย์จะก้าวหน้า แต่ในสังคมไทยยังมีข่าวหรือกรณีที่ผู้ติดเชื้อ HIV เลือกไปใช้ชีวิตอยู่ในสถานสงเคราะห์หรือวัด โดยให้เหตุผลว่ามี “เวลาที่เหลือไม่นาน” ทั้งที่จริงแล้ว หากได้รับการรักษา พวกเขาสามารถอยู่ได้อีกหลายสิบปี
สาเหตุสำคัญมาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
1. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรค – หลายคนยังไม่รู้ว่ายาต้าน HIV ช่วยยืดอายุและกดไวรัสได้ จึงคิดว่าตนเองไม่มีทางรอด
2. การตีตราทางสังคม (Stigma) – ผู้ติดเชื้อบางคนถูกครอบครัวหรือชุมชนรังเกียจ จึงเลือกออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเลือกปฏิบัติ
3. การเข้าถึงการรักษาไม่ทั่วถึง – ในบางพื้นที่ ผู้ติดเชื้ออาจไม่มีข้อมูลหรือไม่รู้ช่องทางการเข้ารับการรักษา บางคนกลัวค่าใช้จ่าย หรือไม่รู้ว่ารัฐมีบริการยาต้านฟรี
หมอแล็บแพนด้าจึงย้ำว่า ความรู้เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าสามารถบอกต่อและทำให้ผู้ติดเชื้อเข้าใจว่า HIV ไม่ใช่จุดจบของชีวิต ก็จะช่วยลดการสูญเสียโดยไม่จำเป็น
ชีวิตปกติของผู้ติดเชื้อ HIV ในยุคปัจจุบัน
หนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจคือ เมื่อผู้ติดเชื้อใช้ยาต้านไวรัสจนไวรัสในเลือดต่ำกว่าค่าที่ตรวจพบได้ (Undetectable) พวกเขาแทบจะไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ หลักการนี้ถูกเรียกว่า U=U หรือ Undetectable = Untransmittable
ผู้ติดเชื้อ HIV ในยุคนี้สามารถ
ทำงานได้เหมือนคนทั่วไป
แต่งงานและมีบุตรได้ (โดยใช้เทคโนโลยีช่วยให้ทารกไม่ติดเชื้อ)
ออกกำลังกาย ท่องเที่ยว และทำกิจกรรมได้ทุกอย่าง
มีอายุยืนยาวได้ถึงวัยชรา หากดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่สังคมควรช่วยกันทำ
1. หยุดการตีตรา – สร้างความเข้าใจว่า HIV ไม่ติดต่อผ่านการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกัน เช่น กินข้าวร่วมโต๊ะ ใช้ห้องน้ำเดียวกัน หรือจับมือ
2. เผยแพร่ความรู้ – บอกต่อว่ามียาต้านที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตยืนยาวและไม่ป่วยเป็นเอดส์
3. สนับสนุนการตรวจหาเชื้อ – เพราะการรู้สถานะเร็วจะทำให้เริ่มการรักษาได้ทันเวลา
4. ส่งเสริมการป้องกัน – ใช้ถุงยางอนามัย และสำหรับกลุ่มเสี่ยงสูง อาจใช้ยาป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP)
บทสรุป
ข้อความจากหมอแล็บแพนด้าไม่ใช่เพียงแค่การให้ข้อมูลทางการแพทย์ แต่ยังเป็นการสะกิดให้สังคมหันมาทบทวนว่า การขาดความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องอาจทำให้ผู้คนต้องสูญเสียโอกาสในการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพ
ในยุคนี้ การติดเชื้อ HIV ไม่ได้หมายถึงการรอความตายอีกต่อไป ด้วยยาต้านไวรัส ผู้ติดเชื้อสามารถอยู่ได้จนแก่เฒ่า และมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวังและคุณค่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปิดใจรับการรักษา ไม่ปิดกั้นข้อมูล และไม่ปล่อยให้ความกลัวหรืออคติทำลายอนาคตของใครบางคน
อ้างอิงจาก: เพจ หมอแล็บแพนด้า


















