เมื่อผู้หญิงถูกเกลียดชังจากผู้หญิงด้วยกันเอง ‘Internalized Misogyny’
ผู้หญิงที่มีความเป็นหญิงมาก ๆ เรียกว่า hyper femininity ทำให้ผู้หญิงบางคนเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจ หรือ หมั่นไส้อีกฝ่าย จนต้องเหน็บแนม หรือเหยียดหยาม การกระทำนี้ถูกเรียกว่า การกีดกันผู้หญิงด้วยกันเอง หรือ Internalized Misogyny
มารีแอน คูเปอร์ (Marianne Cooper) นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้นำเสนอเกี่ยวกับการกีดกันผู้หญิงด้วยกันเอง ผ่านบทความ Why Women (Sometimes) Don’t help Other Women ไว้ว่า ผู้หญิงบางกลุ่มมีความต้องการสร้างในการสร้างความแตกต่าง จากผู้หญิงด้วยกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงที่แสดงออกถึงความเป็นผู้หญิงมากจนเกินไป การสร้างความแตกต่างของผู้หญิงเหล่านี้ ทำให้เกิดการดูถูกและเหยียดหยามฝ่ายตรงข้าม เพื่อเป็นการลดทอนคุณค่าความเป็นเพศหญิงในตัวของอีกฝ่าย พร้อมกับเป็นการเพิ่มคุณค่าให้แก่ตนเอง จนทำให้ตัวเองนั้น ดูสูงส่งกว่าผู้หญิงเหล่านี้ พร้อมกับบอกเป็นนัยว่า พวกเธอไม่ใช่ผู้หญิงในลักษณะดังกล่าวนั่นเอง
Internalized Misogyny เกิดขึ้นในหลากหลายแง่มุมด้วยกัน หลายครั้งไม่ใช่การแสดงความเกลียดชังแบบโต้ง ๆ แต่มาในรูปแบบของการเหยียด หรือการแสดงทัศนคติต่อพฤติกรรมบางอย่างของผู้หญิงด้วยกัน ซึ่งเรามักจะได้เห็นผ่านประโยคคุ้นหูหรือสถานการณ์คุ้นตาต่าง ๆ อย่างเช่น
- “ผู้หญิงด้วยกันเขาดูออก”
- “รำคาญยัยนั่นว่ะ ชะนีเกิน”
- “ชั้นแมน ๆ อยู่แล้ว ไม่ชอบนิสัยผู้หญิง”
- “ผู้หญิงคนนี้ไร้สาระ วัน ๆ สนใจแต่เรื่องความสวยความงาม”
- “อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องไห้ อ่อนแอไปป่ะ?”
- “ยัยนี่เป็นฮิสทีเรียหรือเปล่า ดูขาดผู้ชายไม่ได้”
ความเป็นหญิงไม่ผิด สังคมชายเป็นใหญ่ต่างหาก หรือนี้จะเป็นผลพวงของระบบชายเป็นใหญ่กันนะ?
‘ระบบชายเป็นใหญ่’ ระบบที่เป็นเหมือนพิษภัยสำคัญ ที่กดทับสังคมด้วยกรอบเรื่องเพศ ต้นเหตุมาจากเพศหญิงถูกกดทับโดยสังคมชายเป็นใหญ่ ส่งผลให้ผู้หญิงมองไม่เห็นคุณค่าของตนเอง จนต้องหันมากดความเป็นหญิงอีกที เพื่อให้ตนเองแตกต่างและดูมีคุณค่ามากขึ้น
จูด ซาน อากุสติน (Jude San Agustin) จาก Mapúa University ได้ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของระบบชายเป็นใหญ่กับการกีดกันของผู้หญิงด้วยกันเอง ผ่านปรากฏการณ์ “I’m not like other girls” พบว่า ระบบชายเป็นใหญ่นั้น ส่งผลต่อการปลูกฝังความคิดของผู้หญิง ด้วยการสร้างภาพจำของผู้หญิงในลักษณะต่าง ๆ ขึ้นมา อย่างเช่น ผู้หญิงต้องอ่อนแอ หรือผู้หญิงชอบดราม่า จนทำให้ผู้หญิงบางคนที่รู้สึกว่าตนไม่ใช่ผู้หญิงตามภาพจำนี้ แล้วลุกขึ้นมาต่อต้านและดูถูกผู้หญิงกลุ่มดังกล่าว
การพยายามแยกตัวเองออกมาของผู้หญิงหลายคน จึงพ่วงมาด้วยการลดทอนคุณค่าความเป็นหญิงด้วยกันเอง หรือแม้แต่การที่ผู้หญิงบางคนรู้สึกว่า ไม่สามารถเข้ากับบรรทัดฐานเหล่านี้ หรือถูกเปรียบเทียบกับค่านิยมนี้ พวกเธออาจรู้สึกด้อยค่าและเริ่มดูถูกผู้หญิงด้วยกันเอง กลายเป็นการกีดกันและเกลียดชังกันเองของผู้หญิงไม่จบสิ้น
เมื่อผู้หญิงไม่สนับสนุนกันและเริ่มทำร้ายกันเอง ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงการดำรงอยู่ของระบบชายเป็นใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นมือที่มองไม่เห็น ในการควบคุมและชักใยคนในสังคมให้ปฏิบัติตาม ผ่านการใช้อคติทางเพศมาเป็นมาตรฐานในการกำหนดว่า เพศไหนควรเป็นแบบไหน รวมถึงเพศไหนควรแสดงออกอย่างไร
ดังนั้นแล้ว ผู้หญิงจึงอาจไม่ใช่ผู้ผิดในสมการนี้ไปเสียทีเดียว ทว่าปัญหาชายเป็นใหญ่ต่างหาก ที่เป็นรากฐานของปัญหาอันแท้จริง จนนำไปสู่การเกิดขึ้นของแนวคิดการกีดกันผู้หญิงด้วยกันเองนี้ เพราะถ้าหากไม่มีระบบนี้ครอบงำสังคม เชื่อว่าแนวคิดการกีดกันและเกลียดชังกันเองของผู้หญิง ก็อาจไม่รุนแรงหรือไม่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ
จะเห็นได้ว่าต้นตอของค่านิยม Internalized Misogyny การกีดกันความเป็นหญิงโดยผู้หญิงด้วยนั้น มาจากแนวคิดสังคมชายเป็นใหญ่ การจะกำจัดค่านิยมนี้ให้หมดไป ต้องโฟกัสที่ต้นเหตุมากกว่าปลายเหตุ เพราะค่านิยมนี้จะยังคงไม่หมดไปหากสังคมชายเป็นใหญ่ยังคงตีกรอบความเป็นหญิงจนกดทับผู้หญิงอีกหลาย ๆ คนในสังคมเรา ผู้หญิงต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายต่าง ๆ ซึ่งมีสาเหตุมาจากอคติความไม่เท่าเทียมทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอคติที่มาจากผู้หญิงด้วยกันเอง การหันมาทำร้ายกันเองของผู้หญิง แทนที่จะจับมือช่วยเหลือกัน สิ่งสำคัญที่สมควรถูกทำลาย ไม่ใช่ผู้หญิงด้วยกันเอง แต่เป็นระบบชายเป็นใหญ่ อันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างชิ้นใหญ่ ที่กำลังครอบงำความคิดของผู้คนอยู่ ณ เวลานี้ ฉะนั้นแล้ว ถ้าผู้หญิงไม่จับมือกันเอง ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะทลายระบบนี้ลงได้

















