ดราม่าด่านตรวจ! มารี เบรินเนอร์ ขับรถหรู ไฮโซแฟนหนุ่มท้าต่อยตำรวจเดือด
มารี เบรินเนอร์ ดาราสาวชื่อดัง เจอคดีฉาว ขับรถหรูฝ่าด่านตรวจไม่ยอมเป่า ไฮโซหนุ่มลงมาด่ากราด-ท้าตำรวจต่อย ตร.ลุยแจ้งความเอาผิด
กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สั่นสะเทือนวงการบันเทิงและสังคมออนไลน์ เมื่อ “มารี เบรินเนอร์” นางเอกสาวชื่อดังวัย 33 ปี ถูกตำรวจ สน.วังทองหลาง จับกุมหลังขับรถหรูยี่ห้อปอร์เช่ฝ่าสัญญาณเรียกที่ด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์กลางดึก แถมยังปฏิเสธไม่ยอมให้ตรวจวัด ขณะที่ไฮโซหนุ่มคนดังซึ่งโดยสารมาด้วยกลับลงจากรถไปด่ากราดเจ้าหน้าที่ พร้อมใช้ถ้อยคำรุนแรง ท้าต่อยตัวต่อตัวกับตำรวจกลางถนน
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เพียงแต่สร้างความตกใจแก่สังคม แต่ยังทำให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวาง ทั้งในมุม กฎหมาย การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ จริยธรรมของบุคคลสาธารณะ ตลอดจนคำถามถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผู้ที่มีชื่อเสียงในสังคม
เหตุการณ์กลางดึก: จุดเริ่มต้นคดีฉาว
เวลา 03.20 น. วันที่ 24 สิงหาคม 2568 พ.ต.ท.จุฑาพงศ์ ชาญดิลกโซติ สว.(สอบสวน) สน.วังทองหลาง ได้รับแจ้งเหตุว่า มีบุคคลขับรถยนต์ในลักษณะเมาสุรา พร้อมทั้งมีการดูหมิ่นและขัดขวางเจ้าหน้าที่ตำรวจระหว่างการตั้งด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ บริเวณถนนประดิษฐ์มนูธรรม หน้าโชว์รูมรถมอเตอร์เวย์ แขวงวังทองหลาง กรุงเทพฯ
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ผู้ก่อเหตุคือ น.ส.มารี เบรินเนอร์ อายุ 33 ปี ดาราสาวชื่อดังของวงการบันเทิงไทย ขับรถยนต์หรูยี่ห้อ ปอร์เช่ สีเขียว ทะเบียนกรุงเทพมหานคร โดยมี ไฮโซหนุ่มคนดัง โดยสารมาด้านข้าง และยังมีหญิงสาวอีก 2 คนที่ไม่ทราบชื่อจริงร่วมโดยสารมาด้วย
ไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์ – ไฮโซหนุ่มอ้างเส้นใหญ่
เมื่อถึงจุดตรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรได้ส่งสัญญาณให้หยุดรถ เพื่อทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ตามมาตรการป้องกันอุบัติเหตุ แต่ปรากฏว่า น.ส.มารี ไม่ยอมลงจากรถ
ในจังหวะนั้น ไฮโซหนุ่มผู้โดยสารที่นั่งมาด้วยกลับเปิดประตูลงมา พร้อมแสดงอาการไม่พอใจอย่างชัดเจน อ้างว่า รู้จักกับผู้บังคับบัญชาระดับสูง และต่อว่าด่าทอเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยถ้อยคำหยาบคายหลายครั้ง
ถ้อยคำด่าทอตำรวจสุดรุนแรง
รายงานระบุว่า ไฮโซหนุ่มได้พูดจาในลักษณะชี้หน้าตำรวจ พร้อมใช้ถ้อยคำรุนแรงว่า
“ไอ้เย… มึงคือใคร ไอ้เย ไอ้สัxว์ ทุกคนมีมารยาทหมด ยกเว้นไอ้เหx… มึงสน.อะไร เรื่องของมึงกวนส้นตีน… เอายังไงตัวต่อตัวกับกูปะ ตรงนี้แมน ๆ เลย”
ถ้อยคำเหล่านี้ถือเป็นการ ดูหมิ่นเจ้าพนักงานต่อหน้า ซึ่งเข้าข่ายความผิดทางกฎหมาย และสร้างความไม่พอใจแก่ผู้พบเห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก
ดาราสาวปฏิเสธตรวจวัด – ถามกลับ “จะถ่ายไปทำไม อยากให้เป็นข่าว?”
หลังผ่านไปนานพอสมควร น.ส.มารี เบรินเนอร์ จึงยอมลงจากรถ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจขอทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ เธอกลับ ไม่ยินยอมให้ตรวจวัด หลายครั้ง พร้อมพูดในเชิงโต้แย้งว่า
“ถ่ายภาพไปทำไม อยากให้เป็นข่าวหรือ?”
แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามอธิบายตามขั้นตอน แต่เธอยังคงปฏิเสธการตรวจวัด จนสุดท้ายตำรวจต้องแจ้งข้อกล่าวหา
แจ้งข้อหาและควบคุมตัว
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาแก่ น.ส.มารี เบรินเนอร์ ว่าเป็นการกระทำความผิดฐาน ขับรถในขณะเมาสุรา พร้อมอ่านสิทธิตามกฎหมาย และควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี
ในระหว่างนั้น ไฮโซหนุ่มยังคงพยายามเข้ามาขัดขวางไม่ให้ตำรวจควบคุมตัวนางเอกสาว โดยแสดงท่าทีไม่พอใจและใช้ถ้อยคำหยาบคายซ้ำหลายครั้ง จนเจ้าหน้าที่ต้องควบคุมตัวชายดังกล่าวไว้เช่นกัน
ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
การกระทำของทั้ง น.ส.มารี เบรินเนอร์ และไฮโซหนุ่ม อาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายหลายมาตรา ได้แก่
1. ขับรถในขณะเมาสุรา – มีโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมทั้งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
2. ดูหมิ่นเจ้าพนักงานต่อหน้า – โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท
3. ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ – มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. ต่อสู้หรือขัดขวางโดยใช้กำลังประทุษร้าย – หากเข้าข่ายใช้ความรุนแรง อาจถูกดำเนินคดีในโทษที่หนักขึ้น
ผู้เสียหายแจ้งความเอาผิด
หลังเหตุการณ์สงบลง จ.ส.ต.อุดมศักดิ์ พรหมชาติ ผบ.หมู่ จร.สน.วังทองหลาง ซึ่งเป็นผู้เสียหาย ได้เดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีกับไฮโซหนุ่มในข้อหา ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน, ต่อสู้หรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ และความผิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
คดีนี้จึงถูกแยกดำเนินการทั้งกับ น.ส.มารี เบรินเนอร์ และไฮโซหนุ่ม โดยตำรวจยืนยันว่าจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา
สังคมตั้งคำถาม: พฤติกรรมคนดังควรเป็นแบบอย่างหรือไม่?
หลังข่าวเผยแพร่ออกไป สังคมออนไลน์ต่างวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรง มีทั้งกระแสที่ ผิดหวัง กับพฤติกรรมของดาราสาวชื่อดังที่ควรเป็นแบบอย่าง แต่กลับทำตัวในทางตรงกันข้าม และกระแสที่ โจมตีไฮโซหนุ่ม ที่อ้างเส้นสายในเชิงข่มขู่เจ้าหน้าที่รัฐ
บางส่วนสะท้อนว่า “ต่อให้เป็นคนดังหรือมีฐานะร่ำรวย ก็ไม่ควรอยู่เหนือกฎหมาย” และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้กลายเป็นบรรทัดฐานผิด ๆ ว่าคนมีชื่อเสียงสามารถใช้เส้นสายหรืออิทธิพลเหนือกฎหมายได้
มุมมองจากนักกฎหมาย
นักกฎหมายหลายรายได้ออกมาอธิบายว่า หากพิจารณาตามข้อเท็จจริงแล้ว การไม่ยอมให้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ถือว่าเข้าข่าย ฝ่าฝืน พ.ร.บ.จราจร ซึ่งสามารถตีความได้ว่า “มีความผิดฐานเมาสุรา” เพราะการปฏิเสธถือเป็นการเลี่ยงตรวจ
ขณะเดียวกัน การดูหมิ่นเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่นั้น มีหลักฐานเป็นพยานบุคคลและคลิปวิดีโอ ที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียล จึงมีน้ำหนักทางคดีสูง
ผลกระทบต่อวงการบันเทิง
กรณีนี้อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อชื่อเสียงและอนาคตในวงการบันเทิงของ น.ส.มารี เบรินเนอร์ เนื่องจากเธอมีงานละครและโฆษณาหลายชิ้นที่อยู่ระหว่างการถ่ายทำและออกอากาศ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดชี้ว่า ภาพลักษณ์คือสินทรัพย์สำคัญของดารา เมื่อเกิดเรื่องอื้อฉาวย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้จ้างงานและผู้สนับสนุนสินค้า โดยเฉพาะในยุคโซเชียลมีเดียที่ข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
สรุป: คดีตัวอย่างที่สังคมจับตา
คดีของ “มารี เบรินเนอร์” ไม่ได้เป็นเพียงคดีดาราขับรถเมาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง ความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจท่ามกลางแรงกดดันจากบุคคลมีชื่อเสียง และคำถามใหญ่ที่สังคมอยากเห็นคำตอบว่า กฎหมายไทยเข้มแข็งพอที่จะจัดการกับทุกคนอย่างเท่าเทียมจริงหรือไม่
ผลของคดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานสำคัญทั้งในแง่ การบังคับใช้กฎหมาย, การรักษาภาพลักษณ์วงการบันเทิง, และความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม


















