มะเร็งปากมดลูก คืออะไร อาการ สาเหตุ และการวินิจฉัยทำได้ยังไง?
มะเร็งปากมดลูก คือโรคที่เกิดจากเซลล์บริเวณปากมดลูกที่มีการเปลี่ยนแปลง และเติบโตผิดปกติจนลุกลามได้ หากเป็นในขั้นระยะพัฒนา อาจไม่มีอาการที่แสดงออกที่ชัดเจน
มะเร็งปากมดลูก เป็นโรคร้ายที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้หญิงหลายช่วงวัย เนื่องจากเกิดจากความผิดปกติของเซลล์บริเวณปากมดลูก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ผู้หญิงสามารถดูแลสุขภาพตัวเองได้อย่างถูกต้อง ซึ่งการตรวจคัดกรองและการได้รับวัคซีน HPV จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกได้
มะเร็งปากมดลูก คืออะไร
มะเร็งปากมดลูก (Cervical Cancer) คือโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นบริเวณปากมดลูก ซึ่งเป็นส่วนล่างของมดลูกที่เชื่อมต่อกับช่องคลอด โดยปกติปากมดลูก ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของประจำเดือน น้ำเชื้อ และยังช่วยป้องกันการติดเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก
สาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์ โดยเชื้อ HPV มีหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่เสี่ยงต่อการก่อให้เกิดมะเร็ง อย่าง HPV-16 และ HPV-18 จะทำให้เซลล์ของปากมดลูกมีการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ และพัฒนาไปเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ในที่สุด
อาการของโรคมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคร้ายที่ผู้หญิงหลายคนอาจไม่ทันระวัง เพราะในระยะเริ่มต้นแทบไม่มีสัญญาณบ่งชัด แต่เมื่อโรคพัฒนาไปในระยะที่ 3-4 แล้ว มักจะแสดงอาการที่สามารถสังเกตได้ ซึ่งวิธีสังเกตมะเร็งปากมดลูกตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้แก่
- มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เช่น หลังมีเพศสัมพันธ์ หรือหลังหมดประจำเดือน
- ตกขาวมากผิดปกติ มีลักษณะเป็นน้ำใสปนเลือด หรือมีกลิ่นเหม็น
- ปวดท้องน้อยเรื้อรัง หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
- ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด หรือมีเลือดปนในปัสสาวะ
- น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ไม่มีแรง โดยไม่ทราบสาเหตุ
ในกรณีที่เข้าสู่โรคมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย อาจมีอาการปวดหลัง ปวดเชิงกราน หรือบวมที่ขา
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งปากมดลูก
ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกที่ต้องรู้ มีดังนี้
- การติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) โดยเฉพาะสายพันธุ์ HPV-16 และ HPV-18 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่พบในผู้ป่วยมากถึง 70 %
- มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย เพิ่มโอกาสติดเชื้อ HPV และส่งผลให้เซลล์พัฒนาผิดปกติเร็วขึ้น
- มีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อยครั้ง เพิ่มโอกาสติดเชื้อ HPV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
- มีประวัติป่วยด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส หนองใน เริม ที่อาจกระตุ้นการติดเชื้อ HPV และเซลล์ปากมดลูกผิดปกติ
- ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ที่เป็น HIV เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทำให้มีโอกาสฟื้นตัวจากการติดเชื้อ HPV ได้ยาก และอาจลุกลามเป็นโรคได้เร็วขึ้น
- ผู้หญิงที่สูบบุหรี่ สารพิษจากบุหรี่สามารถส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกันและเยื่อบุปากมดลูก ทำให้เซลล์มีความผิดปกติได้ง่ายขึ้น
- อยู่ในช่วงอายุ 35-55 ปี เป็นวัยที่พบผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกบ่อยสุด เนื่องจากมักสะสมปัจจัยเสี่ยงมานานจนพัฒนาเป็นโรค
การวินิจฉัยโรคมะเร็งปากมดลูกทำได้อย่างไร
การตรวจวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูกเป็นสิ่งสำคัญที่สาว ๆ ควรรู้ไว้ เพราะการค้นหาโรคในระยะเริ่มต้นจะมีวิธีการตรวจหลัก ๆ ดังนี้
- การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear) เป็นวิธีการเก็บตัวอย่างเซลล์จากบริเวณปากมดลูก เพื่อตรวจหาความผิดปกติของเซลล์ที่อาจพัฒนาเป็นมะเร็งในอนาคต
- ข้อดี : เป็นวิธีที่ใช้มาอย่างยาวนานและมีความแม่นยำสูงในการตรวจหาความผิดปกติของเซลล์
- ข้อเสีย : อาจไม่สามารถตรวจพบการติดเชื้อ HPV ได้
- การตรวจ ThinPrep Pap Test เป็นการตรวจที่พัฒนามาจากการตรวจแปปสเมียร์ โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการเตรียมตัวอย่างเซลล์ ทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้แม่นยำยิ่งขึ้น
- ข้อดี : มีความไวในการตรวจหาความผิดปกติของเซลล์สูงกว่าแปปสเมียร์
- ข้อเสีย : ค่าใช้จ่ายอาจสูงกว่าการตรวจแปปสเมียร์
- การตรวจ HPV DNA Test เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ที่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง
- ข้อดี : สามารถตรวจพบการติดเชื้อ HPV ที่อาจไม่แสดงอาการได้
- ข้อเสีย : อาจไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติของเซลล์ได้
- การตรวจ Co-Test (Pap Smear + HPV DNA Test) เป็นการรวมการตรวจแปปสเมียร์และ HPV DNA Test เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจหาความผิดปกติของเซลล์ และการติดเชื้อ HPV
- ข้อดี : มีความไวในการตรวจหาความผิดปกติของเซลล์และการติดเชื้อ HPV สูงที่สุด
- ข้อเสีย : ค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีการตรวจวินิจฉัยแบบอื่น ๆ
วิธีการรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก
การรักษามะเร็งปากมดลูกขึ้นอยู่กับระยะของโรค อายุ สุขภาพของผู้ป่วย และการวินิจฉัยจากแพทย์ โดยมีวิธีการรักษาโรคมะเร็ง ดังนี้
- การผ่าตัด เป็นวิธีการรักษาที่ใช้สำหรับผู้ป่วยในระยะเริ่มต้น โดยมีหลายวิธี เช่น การตัดปากมดลูก (Conization) การตัดมดลูก (Hysterectomy) อาจรวมถึงการตัดต่อมน้ำเหลืองบริเวณข้างเคียงด้วย มีข้อดีคือสามารถรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกได้ในระยะเริ่มต้น และช่วยลดความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำ แต่อาจมีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ และฮอร์โมนในร่างกาย
- การฉายรังสี ใช้รังสีความเข้มข้นสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง สามารถใช้ร่วมกับการผ่าตัดหรือเคมีบำบัดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา มีข้อดีคือใช้รักษาเซลล์มะเร็งที่ไม่สามารถผ่าตัดออกได้ และช่วยลดขนาดของก้อนมะเร็ง แต่อาจมีผลข้างเคียง เช่น อ่อนเพลีย ผิวหนังอักเสบ และปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร
- การรักษาด้วยเคมีบำบัด เป็นการใช้ยาที่มีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็ง ใช้ร่วมกับการผ่าตัดหรือฉายรังสี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา มีข้อดีคือสามารถรักษาเซลล์มะเร็งที่แพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ แต่อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง และลดภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- การรักษาด้วยการบำบัดทางชีวภาพ เป็นการใช้สารชีวภาพ เช่น แอนติบอดีโมโนโคลนัล เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้ มีข้อดีคือมีความเฉพาะเจาะจงสูงต่อเซลล์มะเร็ง และมีผลข้างเคียงน้อยกว่าวิธีอื่น ๆ แต่มีค่าใช้จ่ายสูง
- การรักษาด้วยการรักษาแบบประคับประคอง เพื่อบรรเทาอาการ และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถรักษาได้
มะเร็งปากมดลูก สาว ๆ ควรรู้ไว้ เพื่อป้องกันการสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรค
มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคร้ายอันดับต้น ๆ ของผู้หญิงไทย เกิดจากเซลล์ผิดปกติบริเวณปากมดลูก โดยเฉพาะจากการติดเชื้อ HPV การตรวจคัดกรองตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจึงช่วยให้สามารถพบความผิดปกติได้เร็ว ซึ่งการรักษาโรคมะเร็งประมดลูกในปัจจุบันมีหลายวิธี ทั้งผ่าตัด ฉายรังสี เคมีบำบัด และการดูแลแบบประคับประคอง การรู้จักสัญญาณอาการและปัจจัยเสี่ยงจะช่วยลดโอกาสเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก และเข้ารับการรักษาได้รวดเร็ว คืนคุณภาพชีวิตที่ดีให้กลับมาได้อีกครั้ง

















