รู้หรือไม่ ? ว่าทำไมหนัง AV ต้องมี “โมเสก” ด้วย
ในโลกของหนังผู้ใหญ่จากญี่ปุ่น หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อหนัง AV สิ่งที่โดดเด่นและกลายเป็นเอกลักษณ์จนผู้ชมทั่วโลกจดจำได้ ก็คือ “โมเสก” การปิดบังอวัยวะเพศของนักแสดงด้วยภาพเบลอ ม่านหมอกเล็กๆ ที่ซ่อนสิ่งที่หลายคนอยากเห็น แต่กลับถูกทำให้พร่ามัวจนเป็นเสน่ห์และข้อถกเถียงในเวลาเดียวกัน สำหรับคนญี่ปุ่น โมเสกถือเป็นเรื่องปกติที่คุ้นชิน แต่ในสายตาของชาวตะวันตกหลายคนกลับมองด้วยความสงสัยว่าทำไมประเทศที่เปิดกว้างด้านวัฒนธรรมในหลายเรื่อง กลับยังเลือกปิดบังบางสิ่งในหนังโป๊ ทั้งที่อุตสาหกรรมนี้สามารถผลิตได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
คำตอบนั้นย้อนกลับไปไกลกว่าครึ่งศตวรรษ เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามและต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐอเมริกา การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่เน้นเสรีภาพในการแสดงออก แต่ก็มีข้อห้ามที่ไม่อาจละเลยได้ กฎหมายอาญามาตรา 175 ที่บัญญัติไว้ตั้งแต่ปี 1907 ได้ถูกหยิบมาใช้ในฐานะกรอบตีความ โดยระบุห้ามการนำเสนอสิ่งอนาจารหรือสิ่งที่ทำให้เสื่อมเสียต่อศีลธรรมทางเพศ ปัญหาคือกฎหมายไม่ได้ให้คำนิยามคำว่า “อนาจาร” อย่างชัดเจน ทำให้เจ้าหน้าที่และศาลสามารถตีความได้ตามบริบท และสิ่งที่วงการหนังผู้ใหญ่ญี่ปุ่นเลือกใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดก็คือการทำโมเสก
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1957 เมื่อวรรณกรรมเรื่อง ชู้รักเลดี้แชตเตอร์เลย์ ถูกแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นและสร้างความฮือฮา ศาลสูงจึงให้คำนิยามว่าอนาจารคือการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศเกินความจำเป็นจนบั่นทอนความรู้สึกที่ถูกต้องตามศีลธรรม และตั้งแต่นั้นมา โมเสกก็ถูกนำมาใช้เป็นทางออก จนกลายเป็นมาตรฐานกลางที่ผู้ผลิตยึดถือกันเรื่อยมา
แม้หนัง AV จะก้าวไกลไปถึงขั้นเล่นเนื้อหาที่ท้าทายศีลธรรม หรือบางครั้งแหวกแนวจนหลายคนมองว่าวิตถาร แต่ไม่ว่าอย่างไร ส่วนที่ต้องถูกปิดบังด้วยภาพเบลอก็ยังคงอยู่เสมอ โมเสกจึงไม่ได้เป็นเพียงข้อบังคับ หากแต่กลายเป็นวัฒนธรรมย่อยเฉพาะตัวของวงการไปแล้ว องค์กรที่มีบทบาทกำกับคือ Nippon Video Rinri Kyoukai หรือ Viderin ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นกฎหมายโดยตรง แต่ค่ายหนังต่างๆ ก็ยอมปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย เพราะหากโมเสกบางเกินไปหรือเห็นรายละเอียดมากเกิน ศาลอาจตีความว่าผิดกฎหมายได้ เช่นกรณีของค่าย Momotaro ที่เคยถูกดำเนินคดีจากการทำโมเสกแบบบางจนไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
ความย้อนแย้งคือในชีวิตจริง วัฒนธรรมญี่ปุ่นกลับเปิดเผยไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำรวมในออนเซ็นหรือการยอมรับงานศิลปะที่แสดงเรือนร่าง แต่วงการหนังโป๊กลับต้องใช้ม่านโมเสกมาปกปิด มันคือความประนีประนอมระหว่างกฎหมาย ศีลธรรม และธุรกิจที่พยายามหาทางอยู่รอดร่วมกัน
กฎหมายมาตรา 175 เองก็ไม่ได้หยุดนิ่ง หลายครั้งถูกท้าทายโดยสื่อ ศิลปิน และนักเขียนการ์ตูน บางกรณีศาลยืนกรานว่าเป็นสิ่งอนาจาร แต่บางครั้งก็เปิดประตูให้สิ่งใหม่กลายเป็นมาตรฐาน เช่นเมื่อหนัง New Love in Tokyo มีฉากเห็นขนเพชร ก็ตามมาด้วยหนังอีกหลายเรื่องที่กล้านำเสนอเช่นเดียวกัน ศิลปินร่วมสมัยอย่างเมงูมิ อิรางาชิ ที่สร้างงานศิลปะจากการจำลองอวัยวะเพศของตนเองด้วยเครื่องพิมพ์ 3D ก็กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญถึงการตีความของเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นว่าควรวางเส้นแบ่งไว้ตรงไหน
ในอีกด้านหนึ่ง โมเสกไม่ได้เป็นแค่ข้อบังคับ แต่ยังถูกพลิกให้กลายเป็นจุดขาย ค่ายหนังยุค 90s–2000s แข่งกันโฆษณาว่าโมเสกของตนบางกว่า ใสกว่า เห็นมากกว่าของค่ายอื่นๆ จนผู้ชมรู้สึกเหมือนถูกหยอกเย้า โมเสกจึงไม่เพียงแต่เป็นการปิดบัง แต่ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือทางการตลาดด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ท้าทายโมเสกมากที่สุดก็คือหนัง “อันเซนเซอร์” ที่ผลิตเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ และสุดท้ายก็ถูกลักลอบนำกลับเข้าญี่ปุ่น ยุคอินเทอร์เน็ตยิ่งทำให้หนังเหล่านี้ไหลทะลักเข้าสู่ประเทศโดยแทบป้องกันไม่ทัน กลายเป็นความปวดหัวของเจ้าหน้าที่ที่ต้องรับมือกับสิ่งผิดกฎหมายที่ผู้ชมจำนวนมากกลับต้องการ
ทุกวันนี้ โมเสกยังคงอยู่ในฐานะม่านหมอกแห่งศีลธรรมที่ครอบคลุมวงการหนัง AV ของญี่ปุ่น แต่ความศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ คนรุ่นใหม่บางส่วนมองว่าเป็นสิ่งที่ไร้สาระและไม่สอดคล้องกับโลกที่เปิดกว้างผ่านอินเทอร์เน็ต ขณะที่อีกฝ่ายก็ยังยึดมั่นว่ามันคือร่องรอยของกฎหมายที่คอยปกป้องภาพลักษณ์ทางศีลธรรมของสังคม
โมเสกจึงไม่ใช่เพียงภาพเบลอที่ปิดบังอวัยวะเพศ แต่เป็นผลลัพธ์จากการต่อสู้ยืดเยื้อระหว่างกฎหมาย ศีลธรรม และธุรกิจ เป็นสัญลักษณ์ที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ทางสังคมและวัฒนธรรมของญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจน และอาจจะยังคงอยู่ต่อไป ตราบใดที่มาตรา 175 ยังไม่ถูกแก้ไข และตราบใดที่สังคมญี่ปุ่นยังมองว่าม่านหมอกเล็กๆ นี้คือสิ่งที่ช่วยรักษาสมดุลระหว่างความปรารถนากับศีลธรรมของผู้คนในประเทศ.






















