เตือนภัยญี่ปุ่น! แก๊งมิจฉาชีพอ้างลบไวรัส หลอกเหยื่อแก้ผ้า
ตำรวจญี่ปุ่นเตือนภัย! มิจฉาชีพแอบอ้างเป็นฝ่าย IT หลอกเหยื่อให้แก้ผ้า อ้าง “ไม่อย่างนั้นลบไวรัสจากคอมพิวเตอร์ไม่ได้”
ในยุคดิจิทัลที่การใช้อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน การใช้งานคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟนถือว่าเป็นเรื่องปกติของคนทุกเพศทุกวัย แต่ในขณะเดียวกัน โลกออนไลน์ก็เต็มไปด้วยภัยคุกคามและมิจฉาชีพที่ใช้กลโกงแปลกใหม่หลอกลวงผู้คน ล่าสุดเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงใน จังหวัดยามากาตะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อหญิงสาวรายหนึ่งถูกหลอกให้ถอดเสื้อผ้าผ่านวิดีโอคอล โดยมิจฉาชีพอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนด้านเทคนิค และอ้างว่า “หากไม่ถอดเสื้อผ้าออก จะไม่สามารถลบไวรัสในคอมพิวเตอร์ได้”
กรณีนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความแยบยลของกลโกงใหม่ ๆ แต่ยังเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกตระหนักว่า การขาดความรู้เท่าทันเทคโนโลยีและการหลงเชื่อข้อมูลที่ดูเหมือนน่าเชื่อถือ อาจทำให้ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายกว่าที่คิด
จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์: ป๊อปอัปเตือน “คอมพิวเตอร์ติดไวรัส”
หญิงสาวผู้เสียหายในจังหวัดยามากาตะกำลังใช้งานคอมพิวเตอร์ตามปกติ จู่ ๆ หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็แสดงข้อความแจ้งเตือนว่า “คอมพิวเตอร์ของคุณติดไวรัส” พร้อมทั้งมีหมายเลขโทรศัพท์ให้ติดต่อเพื่อแก้ไขปัญหา หมายเลขดังกล่าวขึ้นต้นด้วย “010” ซึ่งแตกต่างจากเบอร์โทรศัพท์ปกติในประเทศญี่ปุ่น
ด้วยความตกใจและกังวลว่าข้อมูลส่วนตัวหรือไฟล์งานสำคัญอาจสูญหาย หญิงสาวจึงโทรไปยังหมายเลขดังกล่าวทันที โดยไม่ทันตรวจสอบว่าเป็นเบอร์ที่น่าเชื่อถือจริงหรือไม่
มิจฉาชีพใช้เสียงแปลกและสำเนียงไม่ชัด
เมื่อโทรไปตามหมายเลขนั้น ปลายสายเป็นชายคนหนึ่งที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้ไม่ชัดเจน ฟังดูคล้ายชาวต่างชาติ แต่กลับอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนด้านเทคนิคจากศูนย์ดูแลลูกค้า
เขาเริ่มพูดจาสร้างความน่าเชื่อถือ อธิบายว่าคอมพิวเตอร์ของหญิงสาวติดไวรัสอย่างหนัก หากไม่รีบแก้ไขอาจทำให้เครื่องพัง หรือข้อมูลถูกขโมยไปใช้ในทางที่ผิด หญิงสาวจึงเชื่อใจและทำตามขั้นตอนที่ชายคนนั้นบอก
จากการแก้ไขคอมพิวเตอร์… สู่การกดดันให้ถอดเสื้อผ้า
ในช่วงแรกของการสนทนา มิจฉาชีพให้หญิงสาวทำตามคำแนะนำทั่วไป เช่น ปิดโปรแกรม เปิดฟังก์ชันวิดีโอคอล เพื่อให้เขา “ตรวจสอบ” อาการของเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่เมื่อวิดีโอคอลเริ่มขึ้น เรื่องราวกลับพลิกผัน
ชายคนนั้นเริ่มใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม พร้อมกับขู่หญิงสาวว่า “หากคุณไม่ถอดเสื้อผ้าออก ฉันจะไม่สามารถลบไวรัสออกจากคอมพิวเตอร์ให้คุณได้”
ตอนแรกหญิงสาวยังไม่ทันเอะใจมากนัก จึงยอมถอดเสื้อชั้นนอกตามที่ถูกสั่ง แต่เมื่อมิจฉาชีพยังคงกดดันต่อว่า “คุณต้องถอดเสื้อผ้าออกให้หมด” หญิงสาวจึงรู้สึกผิดปกติอย่างมาก และตัดสินใจวางสายทันที
เหยื่อรีบแจ้งตำรวจ รอดพ้นจากการถูกถ่ายภาพลามก
หลังจากเหตุการณ์นี้ หญิงสาวตัดสินใจเข้าปรึกษาตำรวจในพื้นที่ทันที โชคดีที่เธอไม่ถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด ไม่อย่างนั้นอาจถูกบันทึกวิดีโอหรือภาพถ่ายที่สามารถนำไปใช้ในการแบล็กเมล์หรือเผยแพร่ในทางที่ผิดได้
ตำรวจจังหวัดยามากาตะจึงออกมาเปิดเผยกรณีนี้ต่อสาธารณะ พร้อมเตือนประชาชนว่า หากพบเจอสถานการณ์ลักษณะนี้ หรือถูกขอให้ถอดเสื้อผ้า กระทำการลามกอนาจาร หรือให้ข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ ให้รีบวางสายทันทีและแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ทำไมมิจฉาชีพถึงใช้กลโกงลักษณะนี้?
ปกติแล้วมิจฉาชีพด้านไอทีมักใช้วิธีการหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดโปรแกรมควบคุมเครื่องจากระยะไกล (Remote Access) หรือหลอกให้โอนเงินเพื่อ “ซื้อโปรแกรมป้องกันไวรัส” แต่กรณีในยามากาตะกลับเป็นกลโกงรูปแบบใหม่ที่มุ่งเน้น การเอาภาพหรือวิดีโอเปลือยของเหยื่อไปใช้ในทางลามก
นักวิเคราะห์ด้านอาชญากรรมไซเบอร์อธิบายว่า นี่คือการผสมผสานระหว่าง Tech Support Scam (หลอกเป็นฝ่ายเทคนิค) และ Sextortion (การกรรโชกด้วยภาพลามก) เมื่อเหยื่อถูกบังคับให้เปลือยกายต่อหน้ากล้อง มิจฉาชีพสามารถใช้ภาพเหล่านี้เป็นเครื่องมือแบล็กเมล์ เรียกร้องเงิน หรือเผยแพร่ลงเว็บไซต์ลามกได้
เหตุการณ์ที่ยามากาตะไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเล่าชวนขนลุก แต่เป็นบทเรียนสำคัญที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกควรจดจำ ดังนี้
1. ข้อความแจ้งเตือนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์อาจเป็นของปลอม
มิจฉาชีพสามารถสร้าง Pop-up ปลอมขึ้นมาได้ง่ายมาก เพื่อหลอกว่าคอมพิวเตอร์ติดไวรัส
2. หมายเลขโทรศัพท์แปลก ๆ ต้องตรวจสอบก่อนโทรกลับ
โดยเฉพาะหมายเลขที่ขึ้นต้นไม่เหมือนกับเบอร์ในประเทศ
3. ไม่มีฝ่ายสนับสนุนด้านเทคนิคใดจะขอให้ถอดเสื้อผ้า
หากมีการร้องขอในลักษณะนี้ ให้มั่นใจได้เลยว่าเป็นการหลอกลวง
4. รีบขอความช่วยเหลือจากตำรวจหรือผู้เชี่ยวชาญ
อย่าเก็บไว้คนเดียว เพราะอาจทำให้ถูกแบล็กเมล์ภายหลังได้
วิธีป้องกันตนเองจากมิจฉาชีพแนวนี้
ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสที่เชื่อถือได้
ไม่กดลิงก์หรือโทรหาหมายเลขที่ปรากฏขึ้นจากป๊อปอัป
หากคอมพิวเตอร์มีปัญหาจริง ให้ติดต่อศูนย์บริการที่เป็นทางการเท่านั้น
ระวังการเปิดกล้องวิดีโอคอลกับคนแปลกหน้า
พูดคุยกับคนใกล้ชิด หากได้รับการร้องขอที่ผิดปกติ
สรุป
เหตุการณ์ในจังหวัดยามากาตะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนถึงความอันตรายของอาชญากรรมไซเบอร์ในปัจจุบัน มิจฉาชีพไม่ได้เพียงแต่หวังเงินจากการโอนหรือซื้อซอฟต์แวร์ปลอม แต่ยังพยายามใช้วิธีการที่บิดเบือนและอาศัยความตกใจของเหยื่อมาบังคับให้ทำในสิ่งที่ผิดปกติ
ตำรวจญี่ปุ่นจึงเน้นย้ำว่า “หากใครถูกหลอกให้ถอดเสื้อผ้า หรือกระทำการลามกอนาจารใด ๆ โดยอ้างเรื่องการแก้ไขคอมพิวเตอร์ ให้รีบวางสายและแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที”
นี่ไม่ใช่เพียงคำเตือนสำหรับคนญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกที่ควรตื่นตัว รู้เท่าทัน และไม่หลงเชื่อมิจฉาชีพง่าย ๆ เพราะเพียงการคลิกผิดครั้งเดียว อาจนำไปสู่ความเสียหายที่ยากจะแก้ไขได้









