เดือดหน้าห้าง! ผัวหลวงชูทะเบียนสมรส ไล่ฟันชู้รักกลางห้างดัง
ดราม่าเดือดกลางเมืองเพชรบูรณ์! หนุ่มหึงโหดไล่ฟันชู้หน้าห้างดัง ชูทะเบียนสมรสประกาศกร้าว “คนนี้เมียกู” ตำรวจรวบทันควัน
เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญที่สร้างความตื่นตระหนกไปทั่ว จ.เพชรบูรณ์ และกลายเป็นประเด็นร้อนบนโลกออนไลน์ในเวลาอันรวดเร็ว หลังมีชายหนุ่มรายหนึ่งก่อเหตุใช้อาวุธมีดไล่ฟันชายอีกคนท่ามกลางสายตาของประชาชนจำนวนมาก บริเวณด้านหน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังในเขตอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ โดยผู้ก่อเหตุอ้างว่าเป็น “สามีโดยชอบด้วยกฎหมาย” ของฝ่ายหญิง และที่สำคัญได้ชู ทะเบียนสมรส ต่อหน้าฝูงชน พร้อมประกาศเสียงดังว่า
“คนนี้เมียกู!”
ภาพเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้โดยประชาชนและแชร์ผ่านเพจเฟซบุ๊กท้องถิ่น “ข่าววันนี้ เพชรบูรณ์” ได้กลายเป็นไวรัล มีผู้คนแห่เข้ามาคอมเมนต์และแชร์ต่ออย่างกว้างขวาง บางคนวิพากษ์วิจารณ์ถึงความโหดร้ายอุกอาจ ขณะที่บางคนมองว่าสะท้อนปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่ยังคงเกิดขึ้นซ้ำซาก
เหตุการณ์สุดระทึกกลางวันแสกๆ
พยานผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ในช่วงบ่ายของวันดังกล่าว ท่ามกลางบรรยากาศการจับจ่ายซื้อสินค้าของประชาชนในห้างดัง ชายวัยกลางคนคนหนึ่งได้เดินถือมีดยาวเข้ามาบริเวณด้านหน้าห้างพร้อมตะโกนเสียงดัง ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่อยู่รอบๆ จากนั้นได้ชูเอกสารซึ่งต่อมาทราบว่าเป็น “ทะเบียนสมรส” โบกไปมา พร้อมประกาศกร้าวต่อหน้าฝูงชน
หลังจากนั้นชายคนดังกล่าวได้พุ่งเข้าไปหาอีกชายหนึ่งซึ่งยืนอยู่กับหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่ง ก่อนจะเกิดการไล่ทำร้ายด้วยมีด ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คนที่แตกตื่นวิ่งหนีเอาตัวรอด เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและอุกอาจ จนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและประชาชนไม่สามารถเข้าไปห้ามได้ทันเวลา
ตำรวจเข้าระงับเหตุ – รวบตัวทันควัน
ภายหลังเกิดเหตุไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเพชรบูรณ์ นำโดย พ.ต.อ.สมบัติ บุญปาน ผู้กำกับการ สภ.เมืองเพชรบูรณ์ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ได้รุดไปยังที่เกิดเหตุอย่างเร่งด่วน พบผู้ก่อเหตุยืนอยู่ในที่เกิดเหตุพร้อมอาวุธมีดในมือ และมีชายอีกคนได้รับบาดเจ็บจากการถูกทำร้าย
ตำรวจสามารถควบคุมสถานการณ์และจับกุมผู้ก่อเหตุได้อย่างปลอดภัย ก่อนนำตัวไปยังสถานีตำรวจเพื่อสอบสวน เบื้องต้นผู้ก่อเหตุยอมรับว่า เป็น “สามี” ของหญิงสาวที่อยู่ในเหตุการณ์จริง โดยอ้างว่าเกิดจากความหึงหวงหลังพบภรรยาอยู่กับชายคนอื่น ซึ่งตนไม่อาจยอมรับได้
คำให้การของผู้ก่อเหตุ
ผู้ก่อเหตุซึ่งขอใช้นามสมมุติว่า นายก่อ ให้การต่อเจ้าหน้าที่ว่า ตนได้จดทะเบียนสมรสกับหญิงสาวคนดังกล่าวมาหลายปีแล้ว แต่ระยะหลังความสัมพันธ์เริ่มมีปัญหาและห่างเหินกันออกไป จนกระทั่งพบว่าภรรยาไปมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชายอีกคนหนึ่ง (ขอใช้นามสมมุติว่า นายบี) ความโกรธแค้นและความหึงหวงสะสมจึงนำไปสู่การก่อเหตุในครั้งนี้
นายก่อกล่าวด้วยอารมณ์โกรธว่า
“ผมไม่ยอมให้ใครมาแย่งเมียผมไปได้ เพราะผมมีทะเบียนสมรสยืนยันชัดเจน”
อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวถือเป็นการใช้ความรุนแรงที่ผิดกฎหมาย ไม่สามารถอ้างทะเบียนสมรสมาเป็นเหตุผลในการทำร้ายผู้อื่นได้
ผู้บาดเจ็บและความคืบหน้าทางคดี
ด้านผู้บาดเจ็บคือนายบี ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงทันที โดยแพทย์ระบุว่าได้รับบาดเจ็บจากของมีคมหลายแห่งแต่ยังปลอดภัย และอยู่ระหว่างการรักษาอาการ
ในส่วนของผู้ก่อเหตุ ขณะนี้ถูกควบคุมตัวเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหา ทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยใช้อาวุธมีด และอาจมีข้อหาเพิ่มเติม เช่น พกพาอาวุธไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร รวมถึงความผิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ตำรวจยืนยันว่าจะดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
หลังเหตุการณ์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ กระแสวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้นอย่างร้อนแรง
กลุ่มหนึ่ง มองว่าเป็นเรื่องสะเทือนใจ เพราะสะท้อนปัญหาการแก้ไขความขัดแย้งด้วยความรุนแรงที่ยังคงเกิดขึ้นในสังคมไทย
อีกกลุ่มหนึ่ง มองว่าการอ้างทะเบียนสมรสไม่ใช่ข้ออ้างในการทำร้ายผู้อื่น และไม่ควรนำมาใช้เป็นเครื่องมือแสดงสิทธิ์เหนือคู่ครอง
ขณะที่ บางส่วน แสดงความเห็นใจต่อผู้หญิงซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย และเรียกร้องให้ภาครัฐจริงจังกับการรณรงค์ป้องกันความรุนแรงในครอบครัว
ประเด็นทะเบียนสมรส vs. สิทธิเสรีภาพ
กรณีนี้จุดกระแสการถกเถียงเรื่อง “ทะเบียนสมรส” ว่าแท้จริงแล้วเป็นเพียงเอกสารทางกฎหมายที่รับรองสถานะความเป็นสามีภรรยา ไม่ใช่เครื่องมือควบคุมชีวิตหรือการตัดสินใจของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
นักวิชาการด้านกฎหมายครอบครัวชี้ว่า แม้ทะเบียนสมรสจะเป็นหลักฐานยืนยันสิทธิและหน้าที่ของคู่สมรส เช่น เรื่องการจัดการทรัพย์สิน หรือการดูแลบุตร แต่ไม่ได้ให้อำนาจฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในการใช้ความรุนแรงหรือกักขังหน่วงเหนี่ยวอีกฝ่าย เพราะสิทธิเสรีภาพของบุคคลยังคงต้องได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนปัญหาสำคัญหลายประการ ได้แก่
1. ความรุนแรงในครอบครัวและความสัมพันธ์
การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยการใช้กำลังไม่เคยเป็นทางออก แต่กลับสร้างความสูญเสียและบาดแผลทั้งกายและใจ
2. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับทะเบียนสมรส
เอกสารทางกฎหมายไม่ใช่ใบอนุญาตให้ควบคุมชีวิตคู่สมรส แต่เป็นเพียงข้อตกลงทางกฎหมายที่กำหนดสิทธิและหน้าที่ร่วมกัน
3. การจัดการอารมณ์และการเข้าถึงการให้คำปรึกษา
หากผู้ก่อเหตุได้รับคำปรึกษาทางจิตใจหรือการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท อาจสามารถป้องกันเหตุการณ์เลวร้ายไม่ให้เกิดขึ้น
นักจิตวิทยาครอบครัวให้ความเห็นว่า พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการขาดทักษะในการจัดการอารมณ์และความสัมพันธ์ “ความหึงหวง” หากไม่ถูกควบคุมสามารถกลายเป็นแรงผลักดันสู่ความรุนแรงได้ การสร้างความเข้าใจเรื่อง การเคารพสิทธิซึ่งกันและกันในความสัมพันธ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สังคมควรให้ความสำคัญ
แนวทางป้องกันและแก้ไข
เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำ รัฐและสังคมควรร่วมกันดำเนินการ เช่น
รณรงค์สร้างความเข้าใจเรื่องความเท่าเทียมในชีวิตคู่
จัดให้มีช่องทางให้คำปรึกษาด้านความสัมพันธ์และการจัดการอารมณ์
ส่งเสริมกฎหมายและมาตรการป้องกันความรุนแรงในครอบครัวให้มีประสิทธิภาพ
สนับสนุนให้ผู้ที่ประสบปัญหามีทางออกโดยไม่ต้องพึ่งความรุนแรง
สรุป
เหตุการณ์หนุ่มหึงโหดไล่ฟันชู้หน้าห้างดังเพชรบูรณ์ พร้อมชูทะเบียนสมรสประกาศกร้าวว่า “คนนี้เมียกู” ไม่เพียงแต่เป็นคดีอาชญากรรมที่สร้างความหวาดกลัวแก่ประชาชน แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาสังคมไทยทั้งในมิติความรุนแรงในครอบครัว การตีความสิทธิในทะเบียนสมรส และการจัดการอารมณ์ของคนในยุคปัจจุบัน
แม้ทะเบียนสมรสจะเป็นเอกสารที่รับรองความเป็นสามีภรรยา แต่ก็ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลในการทำร้ายผู้อื่นได้ สุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือ การเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ความเข้าใจ และการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี









