เนียงกาเก็ย(นางกากีเขมร)
คำว่าหญิงสองใจในประเทศไทยมักจะเอาวรรณคดีเข้ามาเปรียบเทียบ อาทิเช่น วันทแง โมรา กากี หญิงสองใจ แต่วันนี้จะไม่ได้พูดถึงหญิงสอง แต่ข้อสงสัยว่า กากีไทย กับ เนียงกาเก็ย เหตุใดเนื้อช่างคล้ายกันยิ่งนัก ยิ่งไปเจอบทความของ รศ. ดร. ศานติ ภักดีคำ ที่เล่าถึง "กากี เขมรลอกไทย" ชี้ว่าเค้าเรื่อง กากี ปรากฏในนิบาตชาดกของพระไตรปิฎกและอรรถกถา 3 เรื่องที่คล้ายกัน คือ กากาติชาดก, สุสันธีชาดก และกุณาลชาดก ซึ่งไทยรับมาดัดแปลงเสริมแต่งจนกลายเป็นนิทานเพื่อความบันเทิงมากกว่าการเน้นหลักคำสอนศาสนา
"กากี"วรรณคดีที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเป็นชื่อของตัวนางในวรรณคดีที่สื่อ (อย่างยัดเยียด) ถึงหญิงหลายใจในสังคม สังคมเขมรก็รู้จักกากีในความหมายเดียวกัน จากความโด่งดังของ "เนียงกาเก็ย" กากีเขมร ซึ่งรับอิทธิพลจากสยามอย่างเข้มข้นในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เรียกว่าเป็นต้นแบบเลยทีเดียว
กากีฉบับแรกของไทย น่าจะเป็น บทเห่เรื่องกากี พระนิพนธ์ใน เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ หรือ "เจ้าฟ้ากุ้ง"เล่าเรื่องตอนพญาครุฑพานางกากีออกจากห้อง และชมความงามเขาพระสุเมรุ กับตอนนางกากีตัดพ้อพญาครุฑ และลักนางกากีไปสมสู่บนวิมาน ร่องรอยดังกล่าวเป็นหลักฐานว่าเรื่องราวกากีเป็นที่รู้จักอย่างดีในสมัยกรุงศรีอยุธยา เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์จึงทรงนำมานิพนธ์
ต่อมา กากีคำกลอนไทยที่ได้รับความนิยมสูงสุดและมีเนื้อหาสมบูรณ์ที่สุด เพราะเล่าตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นงานนิพนธ์ของ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) กวีเอกสมัยรัชกาลที่ 1
กากีคำกลอนนี้ มีความงดงามทางวรรณศิลป์มาก จนมีการนำไปบรรจุเพลงและขับร้องในวงมโหรีของขุนนางสยาม จึงแพร่หลายจนเกิดกากีฉบับ "ภาษาเขมร" ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2
"กากีเขมร" ฉบับสมเด็จพระหริรักษรามาอิศราธิบดี หรือพระนามเดิมว่า "พระองค์ด้วง"เป็นพระโอรสในสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี (พระองค์เอง) แห่งกรุงกัมพูชา เมื่อพระชันษาได้ 16 ปี พระองค์ต้องเสด็จลี้ภัยสงครามกลางเมืองเขมรมาพึ่งพิงพระบรมโพธิสมภารรัชกาลที่ 2 ที่กรุงเทพฯ จึงมีโอกาสได้ศึกษางานด้านวรรณกรรม ขนบธรรมเนียม และประเพณีสยามอย่างลึกซึ้ง
พระองค์ด้วงสนพระทัยงานกวีอยู่แล้ว และทรงศึกษาอักษรศาสตร์ทั้งภาษาไทยและภาษาบาลีมาแต่ยังอยู่แผ่นดินเขมร เมื่อมีโอกาสได้ฟังบทมโหรีเรื่องกากีจึงสนพระทัย และทรงนิพนธ์เรื่องกากีสำนวนเขมรขึ้น ครั้งประทับอยู่กรุงเทพฯ ได้ปีที่ 3 (พ.ศ. 2358) โดยระบุชัดเจนตอนท้ายเรื่องว่า ทรงแปลมาจากภาษาเสียม (สยาม) ศานติแปลบทดังกล่าวเป็นไทยว่า
" ดำเนินนางกากี แปลคดีเสียมภาษา เป็นพากย์เขมรกาพยา สำเร็จเรื่องจบเพียงนี้ ฯ"
กากีฉบับพระหริรักษรามาฯ (พระองค์ด้วง) นี้ มีโวหารที่คล้ายคลึง กากีคำกลอน สำนวนของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างโวหารตอนพญาครุฑต่อว่านางกากี ดังที่ว่า
กากีฉบับพระหริรักษรามาฯ : " คิดคาดว่าซื่อถือสนิท ได้รู้จิตกระสัน
มีชายชู้รู้ซ่อนคำ คิดว่าหงส์ย่อมสรงสระศรี หงส์อะไรอัปรีย์ มาดื่มที่น้ำขุ่นปลัก รูปงามจิตก็ชั่วช้า เหม็นกว่าอาจม หอมแต่กลิ่นไร้การ จิตเจ้าดุจชลธีธาร ไหลเลยล้นมา ไม่เลือกไม่หาแควไหน
กากีคำกลอน : เพราะมีชู้ไม่รู้ให้รอบเชิง หลงระเริงว่าเจ้ารักสมัครสมาน
คิดว่าหงส์จะจงแต่ชลธาร กลับบันดาลกลั้วเกลือกด้วยเปลือกตม ฯ"
"ตัวนางเป็นไทแต่ใจทาส ไม่รักชาติรสหวานมาพาลขม ดั่งสุกรฟอนฝ่าแต่อาจม "ห่อนนิยมรักรสสุคนธาร
"น้ำใจนางเปรียบอย่างชลาลัย ไม่เลือกไหลห้วยหนองคลองละหาน"
อย่างไรก็ตาม กากีฉบับพระหริรักษรามาฯ ยังมีการดัดแปลงบางอย่างให้แตกต่างเพื่อให้เข้ากับความนิยมเขมร เช่น เพิ่มบทยั่วยวนมาณพแปลง เพื่อให้นางกากีเป็นผู้หญิงร้ายตั้งแต่ต้น การตัดบทอัศจรรย์ หรือ บทเข้าพระเข้านางออก เพราะวรรณกรรมเขมรไม่ค่อยมีบทอัศจรรย์ รวมทั้งการเพิ่มบทพรรณนาความงามเมืองพาราณาสี ซึ่งคงสื่อถึงเมืองบันทายเพชร เมืองหลวงของกัมพูชาในสมัยนั้น
นอกจากนี้ เพื่อชูความเป็นหญิงไม่ดีของนางกากี พระองค์ด้วงยังแต่งเพิ่มเติมจากฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) โดยเล่าชะตากรรมของนางกากีหลังถูกลอยแพว่า ต้องเผชิญบ่วงกรรมเป็นพายุที่พัดกระหน่ำจนแพแตก นางจึงจมน้ำตายแล้วไปเกิดในนรก จากนั้นสรุปว่า "นางกษัตริย์ใดใฝ่ดี อย่าเลียนแบบนางกากี คิดขบถจิตสามี ทิ้งสามีไปมีชู้ บาปนั้นจะติดตามตน…"
แสดงให้เห็นว่ากากีเขมรไม่ได้ประพันธ์เพื่อความบันเทิง (อย่างกากีสยาม) เท่านั้น แต่พระองค์ด้วงต้องการให้เป็นวรรณกรรม "คำสอน" ด้วยนั่นเอง...














