เปรียบเทียบ Thermage Eye กับ โบหางตา เลือกอย่างไรให้เหมาะกับปัญหารอบดวงตา
เปรียบเทียบ Thermage Eye กับ โบหางตา เลือกอย่างไรให้เหมาะกับปัญหารอบดวงตา
ในยุคที่ภาพลักษณ์สะท้อนความมั่นใจ ดวงตาคือจุดแรก ๆ ที่บอกเล่าอายุและความสดชื่นของใบหน้า ร่องริ้วรอยบริเวณหางตา หนังตาตก หรือถุงใต้ตา มักเกิดจากอายุที่มากขึ้น การใช้สายตาหนัก ภาวะพักผ่อนไม่พอ รวมทั้งพฤติกรรมการดูแลผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้หลายคนมองหาวิธีดูแลแบบไม่ผ่าตัดที่ช่วยให้ผิวรอบดวงตาดูเรียบขึ้นและสดใสขึ้น บทความนี้ชวนเจาะลึกสองหัตถการยอดนิยม Thermage Eye และ โบหางตา เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้เหมาะกับสภาพผิวและเป้าหมายของแต่ละคน
Thermage Eye กับ โบหางตา ต่างกันอย่างไร?
- Thermage Eye: ใช้พลังงานคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) ส่งความร้อนลงสู่ชั้นผิวลึก ช่วยให้คอลลาเจนเก่าหดตัวและกระตุ้นการสร้างใหม่ เหมาะกับปัญหารวม ๆ รอบดวงตา เช่น หนังตาหย่อน ถุงใต้ตา คิ้วตก และริ้วรอยหลายจุด ผลลัพธ์ค่อยเป็นค่อยไปและโดยทั่วไปอยู่ได้ยาวนานกว่าการฉีดเป็นบางชนิด
- โบหางตา: เป็นการฉีดสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเฉพาะจุด ช่วยลดรอยตีนกาและยกแนวหางตาให้ดูเปิดขึ้น เหมาะกับผู้ที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงเร็วในงบประมาณที่เอื้อมถึง แต่ต้องทำซ้ำเป็นระยะ
สรุป Thermage Eye เหมาะกับการฟื้นฟูภาพรวมแบบองค์รวม ส่วนโบหางตา เหมาะกับการเก็บรายละเอียดเฉพาะจุดในช่วงเวลาสั้นกว่า
ทำความรู้จัก Thermage Eye
Thermage Eye คืออะไร?
เทคโนโลยีนี้ออกแบบมาสำหรับผิวรอบดวงตาโดยเฉพาะ ครอบคลุมตั้งแต่เปลือกตาบน หางตา ไปจนถึงใต้ตา โดยใช้คลื่นวิทยุ Monopolar RF ส่งความร้อนลงสู่ชั้นผิวอย่างสม่ำเสมอ ระหว่างทำมักมีการปกป้องดวงตาด้วย Eye Shield ตามมาตรฐานการใช้งานของเครื่องมือทางการแพทย์
หลักการทำงาน
ความร้อนที่เหมาะสมจะทำให้เส้นใยคอลลาเจนที่เสื่อมสภาพหดตัวชั่วคราว พร้อมกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ในช่วงสัปดาห์–เดือนถัดมา ผิวจึงค่อย ๆ ดูแน่นขึ้น เรียบขึ้น และยืดหยุ่นขึ้น บางรายอาจสังเกตว่าบริเวณเปลือกตาที่เคยบวมจากไขมันส่วนเกินดูละมุนขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
จุดเด่น
- ดูแลปัญหาได้หลายจุดในคราวเดียว: หนังตาหย่อน คิ้วตก ถุงใต้ตา และริ้วรอยรอบดวงตา
- ไม่มีรอยแผล ไม่ต้องฉีดสารเข้าสู่ร่างกาย
- ภาพรวมผิวมักดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เหมาะกับคนที่ชอบลุคเนียนธรรมชาติ
- โดยทั่วไปผลลัพธ์อยู่ได้ยาวกว่าการฉีดบางประเภท
ข้อพิจารณา
- ราคามักสูงกว่าและต้องใช้เครื่องมาตรฐาน พร้อมทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์
- ไม่ใช่วิธี เร่งด่วน การเปลี่ยนแปลงชัดเจนมักค่อย ๆ ปรากฏในช่วง 2–3 เดือน
- กรณีหย่อนคล้อยมากหรือมีหนังส่วนเกินชัดเจน อาจต้องพิจารณาวิธีอื่นร่วมด้วยตามดุลยพินิจแพทย์
ทำความรู้จักโบหางตา
โบหางตาคืออะไร?
เป็นการฉีดสารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเฉพาะจุดรอบหางตาเพื่อลดแรงหดเกร็งของกล้ามเนื้อ สาเหตุสำคัญของรอยตีนกาและลุคหางตาตก เทคนิคการฉีดจะคุมปริมาณและตำแหน่งให้เหมาะกับโครงหน้า เพื่อช่วยให้หางตาดูยกขึ้นเล็กน้อยและผิวบริเวณนั้นดูเรียบขึ้น
จุดเด่นที่เห็นได้ชัด
- ใช้เวลาสั้นโดยทั่วไป (ประมาณ 10–20 นาทีต่อครั้ง)
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับลุครอบหางตาแบบรวดเร็ว
- ค่าใช้จ่ายมักย่อมเยากว่าเทคโนโลยีพลังงานบางชนิด
- สามารถทำเฉพาะจุดให้พอดีกับปัญหาของแต่ละคน
ข้อพิจารณา
- ผลลัพธ์อยู่ในช่วงเวลาจำกัด ต้องทำซ้ำตามความเหมาะสม
- หากฉีดตำแหน่งหรือปริมาณไม่เหมาะสม อาจเกิดลุคใบหน้าตึงเกินไปหรือคิ้วตกชั่วคราวได้ จึงควรทำโดยแพทย์
- ไม่ได้แก้สาเหตุเรื่องผิวหย่อนคล้อยลึกหรือถุงใต้ตาที่เกี่ยวกับไขมัน
เปรียบเทียบช็อตต่อช็อต Thermage Eye vs โบหางตา
หลักการทำงาน
- Thermage Eye: คลื่นวิทยุ Monopolar RF กระตุ้นคอลลาเจนใหม่และช่วยให้ผิวแน่นขึ้น
- โบหางตา: คลายแรงกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดรอยย่น ลดตีนกาและยกหางตาเล็กน้อย
ปัญหาที่ตอบโจทย์
- Thermage Eye: หนังตาหย่อน คิ้วตก ถุงใต้ตา ริ้วรอยหลายจุด รวมถึงชั้นตาที่ดูหลบในจากความหย่อนคล้อย
- โบหางตา: รอยตีนกาเด่นชัด หางตาดูตก ต้องการให้แนวหางตาดูโก่งขึ้นอย่างพอดี
ความรวดเร็วในการเห็นการเปลี่ยนแปลง
- Thermage Eye: ค่อย ๆ ดีขึ้นตามการสร้างคอลลาเจนใหม่ ใช้เวลาประมาณ 1–3 เดือน
- โบหางตา: มักเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงภายในช่วงสั้น ๆ หลังทำ และเห็นชัดขึ้นในราว 1–2 สัปดาห์
ระยะเวลาผลลัพธ์
- Thermage Eye: โดยทั่วไปนานกว่า (มักประเมินเป็นช่วงปี ทั้งนี้แตกต่างกันตามการดูแลผิวและปัจจัยส่วนบุคคล)
- โบหางตา: ระยะสั้นกว่า จึงควรวางแผนทำซ้ำตามคำแนะนำแพทย์
เวลาทำและการพักฟื้น
- ทั้งสองวิธีโดยมากใช้เวลาไม่นานและสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ ทั้งนี้อาจมีรอยเข็มเล็ก ๆ จากการฉีดโบซึ่งมักจางลงเองในระยะสั้น
Thermage Eye vs โบหางตา ใครเหมาะกับวิธีไหน?
Thermage Eye เหมาะกับ
- ผู้ที่มีอายุราว 30 ปีขึ้นไปและเริ่มมีสัญญาณหย่อนคล้อยรอบดวงตา
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูภาพรวมหลายจุดในครั้งเดียว เช่น หนังตาบนหย่อน คิ้วตก ถุงใต้ตา และริ้วรอย
- ผู้ที่ชอบผลลัพธ์ค่อยเป็นค่อยไป ดูเป็นธรรมชาติ และไม่ต้องการฉีดสาร
- ผู้ที่ต้องการระยะคงอยู่ที่โดยทั่วไปนานกว่า และไม่อยากทำบ่อย
โบหางตา เหมาะกับ
- ผู้ที่มีรอยตีนกาเด่นเมื่อยิ้มหรือยักคิ้ว
- ผู้ที่อยากให้แนวหางตาดูยกขึ้นเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว
- ผู้ที่ต้องการปรับเฉพาะจุด ใช้เวลาทำสั้น และกลับไปทำกิจวัตรได้หลังทำ
- ผู้ที่มีงบประมาณจำกัดและวางแผนดูแลแบบเป็นระยะ
ข้อจำกัดและข้อควรระวังของ Thermage Eye vs โบหางตา
- Thermage Eye: ไม่เหมาะกับผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เทียบเท่าการผ่าตัดดึงหนังตาโดยตรง ผู้ที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าบางชนิดในร่างกาย หรือมีโรคผิวหนังรอบดวงตาเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
- โบหางตา: ไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ หรือเคยมีประวัติแพ้สารออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ รวมถึงผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร
การประเมินรายบุคคลสำคัญมาก เพราะสาเหตุของปัญหารอบดวงตาอาจมาจากหลายปัจจัยผสมกัน ตั้งแต่โครงสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ ไขมัน ไปจนสภาพผิว การเลือกหัตถการจึงควรยึดความเหมาะสมด้านประวัติสุขภาพ และผลลัพธ์ที่คาดหวังอย่างสมเหตุสมผล
Thermage Eye vs โบหางตา ทำคู่กันได้ไหม?
ในหลายกรณีแพทย์อาจวางแผน ทำ Thermage Eye เพื่อฟื้นฟูภาพรวมก่อนแล้วเสริมด้วยโบหางตา เพื่อเก็บรายละเอียดริ้วรอยเฉพาะจุด วิธีนี้ช่วยให้ภาพรวมดูละมุนขึ้นและได้ความเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้เร็วในบางจุด ทั้งนี้ การเรียงลำดับและระยะห่างควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เพื่อความเหมาะสม
การดูแลตัวเองก่อน–หลังทำ Thermage Eye vs โบหางตา
- ก่อนทำ: แจ้งประวัติสุขภาพ ยาที่ใช้อยู่ อาการแพ้ และการทำหัตถการ/ผ่าตัดบริเวณรอบดวงตาที่เคยมี งดถู ขยี้ตา และพักผ่อนให้เพียงพอ
- หลังทำ Thermage Eye: ทากันแดดอย่างสม่ำเสมอ เน้นมอยส์เจอไรเซอร์หลากหลายเนื้อสัมผัสให้เหมาะกับผิว หลีกเลี่ยงความร้อนจัดช่วงแรก ๆ และติดตามผลตามนัด
- หลังฉีดโบหางตา: ภายในไม่กี่ชั่วโมงแรกควรเลี่ยงการนวดกดบริเวณที่ฉีด งดซาวน่าหรือออกกำลังกายหนักช่วงสั้น ๆ ตามคำแนะนำคลินิก และสังเกตอาการผิดปกติ หากมีควรติดต่อแพทย์
บทสรุป
- หากต้องการ ฟื้นฟูภาพรวมรอบดวงตา ให้ดูแน่นขึ้น ลดความหย่อนคล้อยหลายจุดในครั้งเดียว และยอมรับการรอค่อยเป็นค่อยไปได้ Thermage Eye เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
- หากต้องการ ลดรอยตีนกา/ยกหางตาเฉพาะจุด เห็นการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ใช้เวลาทำน้อย และวางแผนทำซ้ำเป็นระยะ โบหางตา อาจตอบโจทย์กว่า
ท้ายที่สุด การตัดสินใจควรอาศัยการประเมินโดยแพทย์ เพื่อวิเคราะห์สภาพผิว โครงสร้างใบหน้า ประวัติสุขภาพ และเป้าหมายที่ต้องการอย่างละเอียด เมื่อวางแผนได้เหมาะสม ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมสอดคล้องกับความคาดหวังมากขึ้น












