ความหวังครั้งใหม่ยาต้านเอชไอวี ราคาลดฮวบ 700 เท่า!
เป็นข่าวดีที่น่าตื่นเต้นและนับเป็นก้าวสำคัญระดับโลก! โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) ได้ประกาศข้อตกลงครั้งใหญ่ที่จะพลิกโฉมการเข้าถึงยาป้องกันเชื้อ เอชไอวี (HIV) ให้กับผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศรายได้น้อยถึงปานกลาง
ยาตัวที่ว่านี้คือ เลนาคาพาเวียร์ (Lenacapavir) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ยาเพร็พ (PrEP) ซึ่งเป็นยาต้านเชื้อเอชไอวีชนิดฉีดออกฤทธิ์นาน เพียงแค่ ฉีดปีละ 2 ครั้ง ก็สามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงถึง 96-100% ผลิตโดยบริษัท กิเลียดไซเอนซ์ (Gilead Sciences) จากสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้ ยาเลนาคาพาเวียร์มีราคาสูงมากถึงประมาณ 900,000 บาท ต่อคนต่อปี (28,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึง แต่ด้วยความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง UNAIDS, องค์กรการกุศล, และภาคเอกชน ทำให้ราคายาลดลงอย่างมหาศาลกว่า 700 เท่า!
ภายใต้ข้อตกลงใหม่นี้ ราคาของยาเลนาคาพาเวียร์จะลดลงเหลือเพียงประมาณ 1,300 บาท ต่อคนต่อปีเท่านั้น (40 ดอลลาร์สหรัฐฯ) นับเป็นความก้าวหน้าที่ก้าวกระโดดอย่างแท้จริง ซึ่งผู้อำนวยการบริหาร UNAIDS คุณวินนี่ บยานยิมา กล่าวว่าเป็น "จุดเปลี่ยนสำคัญ" ที่จะปลดปล่อยศักยภาพของยาป้องกันเชื้อเอชไอวีชนิดนี้
ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน เช่น โครงการอำนวยความสะดวกจัดซื้อยาระหว่างประเทศ (UNITAID), องค์กรเพื่อการเข้าถึงสุขภาพคลินตัน, และ สถาบันวิทส์เพื่ออนามัยเจริญพันธ์และเอชไอวี ที่ให้การสนับสนุนทางการเงินและองค์ความรู้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ผลิตยาสามัญจากอินเดีย อย่าง Dr Reddy’s Laboratories สามารถผลิตยาฉีดเลนาคาพาเวียร์ที่มีต้นทุนถูกลงได้
นอกจากนี้ มูลนิธิเกตส์ (Gates Foundation) ยังเข้ามาสนับสนุนผู้ผลิตยาสามัญรายอื่นอย่าง Hetero Drugs ด้วยเงินทุนล่วงหน้า เพื่อรับประกันปริมาณการผลิตและช่วยให้ต้นทุนยาคงที่ที่ 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปีได้
ปัจจุบัน ทั่วโลกยังคงมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ถึง 1.3 ล้านคน ต่อปี และมีเพียง 18% ของประชากรโลกที่เข้าถึงยาเพร็พได้ การที่ยาเลนาคาพาเวียร์เข้าถึงได้ง่ายขึ้นในราคาย่อมเยา จะช่วยให้กลุ่มเสี่ยง เช่น ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ผู้ให้บริการทางเพศ ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาเสพติด และสตรีที่มีความเสี่ยง สามารถเข้าถึงการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงนี้ได้อย่างเท่าเทียม
UNAIDS ประมาณการว่ามีประชากร 20 ล้านคน ที่ต้องการยานี้ และหากเข้าถึงยาได้ครอบคลุมมากขึ้น จะสามารถลดจำนวนการติดเชื้อรายใหม่ลงอย่างมาก และเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมายในการ ยุติโรคเอดส์ภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2027)

















