"สรรพลี้หวน"วรรณกรรมคำผวนแห่งแดนทักษิณ
จากที่ผู้เขียนเคยเล่าถึง "พระเอ็ดยง" เป็นวรรณกรรมคำผวนของกวีเสียจริตมาแล้ว ซึ่ง"พระเอ็ดยง" เป็นวรรณกรรมต้องห้ามที่ไม่มีการตีพิมพ์ แต่ยังคงเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ วันนี้ต่อขอมาเล่าต่อเนื่องในวรรณกรรมคำผวนที่ได้รับการยอมและมีการตีพิมพ์ เป็นวรรณแดนทักษิณที่เรืองลือ ในนาม "สรรพลี้หวน"
"สรรพลี้หวน" วรรณกรรมคำผวนจากเมืองนครศรีธรรมราช เล่าเรื่องราวอันสัปดี้สัปดนผ่านคำผวนอันเป็นเอกลักษณ์ของคนใต้ แม้ผวนคำแล้วจะกลายเป็นคำลามก ทว่าศิลปะการแต่งเช่นนี้กลับแสดงให้เห็นถึงความสามารถและอารมณ์ขันของผู้แต่งมากกว่าจะมองว่าเป็นวรรณกรรมลามกทั่วไป อีกทั้งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแต่งให้คำผวนจำนวนมากเช่นนี้มีความยาวมากถึง 197 บท
แต่เดิมวรรณกรรมสรรพลี้หวน ไม่มีบันทึกที่ปรากฏย่างแน่ชัดถึงผู้แต่งและแต่งเมื่อใด รู้เพียงว่าผู้ที่ค้นพบคนแรกคือ อาจารย์ดิเรก พรตตะเสน นักคติชนวิทยาคนสำคัญซึ่งค้นพบต้นฉบับ ณ วัดเขาน้อย อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อมาขุนพรหมโลกได้จัดพิมพ์ออกเผยแพร่เป็นคนแรกจึงได้ให้ความเห็นว่าวรรณกรรมเรื่องนี้แต่งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นซึ่งวรรณคดีนิทานเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ทำให้สรรพลี้หวนได้รับอิทธิพลการดำเนินเรื่องตามขนบของวรรณคดีนิทานทั้งสิ้น
ตามที่ผศ.ดร. วีรวัฒน์ อินทรพร กล่าวถึงที่มาของสรรพลี้หวนเอาไว้ว่า สรรพลี้หวนมีเนื้อหาเป็นนิทานจักร ๆ วงศ์ ๆ ซึ่งดำเนินเรื่องตามขนบการแต่งวรรณคดีนิทานทุกประการ เช่น มีบทชมเมือง บทชมธรมชาติ และบทอัศจรรย์ ซึ่งตรงจุดนี้ผู้เขียนมีเห็นว่าความคล้ายคลึงกับการแต่งวรรณกรรมของ "พระเอ็ดยง"ของคุณสุวรรณ เพราะใช้การดำเนินเรื่องด้วยกลอนแปด
ดังนั้นความนิยมในยุคสมัยนั้นจึงถือเป็นแรงจูงใจสำคัญให้ผู้ประพันธ์แต่งวรรณกรรมสรรพลี้หวนออกมา แม้จะเป็นวรรณคดีนิทานที่ "ขบถ" ต่อความงามทางภาษาตามคตินิยม แต่กลับซ่อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวใต้จนเป็นเอกลักษณ์ของวรรณกรรมเรื่องนี้
ตามต้นฉบับที่ "สรรพลี้หวน" เป็นเรื่องราวของเมืองหางกวี (กว อ่านควบกล้ำ) มีเจ้าเมืองคือเท้าโคตวยและนางคีแห๋ม ทั้งคู่มีโอรสชื่อว่าใด๋หยอ โดยเท้าโคตวยต้องการหาคู่ครองให้โอรสจึงส่งสารไปสู่ขอธิดาไหหยีแห่งเมืองหางชี้ ซึ่งมีเจ้าเมืองคือเท้าโบตักและนางหิ้นปลี๋ ทว่าก่อนวันอภิเษกกลับถูกโจรป่ายกพวกปล้นเมือง ทำให้นางหิ้นปลี๋ถูกโจรฆ่าตาย ส่วนท้าวโบตักสั่งให้ธิดาของตนหนีออกจากเมือง กระทั่งนางไหหยีพบเข้ากับฤาษีแหมที่กลางป่า ต่อมาเมื่อโอรสใดหยอทราบข่าวจึงออกตามหาธิดาไหหยีจนไปพบเข้าที่อาศรมฤาษีแหมโดยบังเอิญ เมื่อฤาษีทราบเรื่องทุกอย่างจึงจัดงานอภิเษกสมรสให้ทั้งคู่ครองรักกัน
ต่อมาโอรสใดหยอกับธิดาไหหยีมีบุตรธิดาชื่อว่านางหาวคี ครั้นอายุได้ 14 ปีทั้งคู่จึงพาบุตรธิดากลับไปเยี่ยมเท้าโบตัก ทว่าในช่วงระหว่างนั้นเท้าโบตักได้รับนางเห็กหลีมาเป็นมเหสี เมื่อนางเห็กหลีแม่เลี้ยงพบกับนางไหหยีซึ่งเป็นลูกเลี้ยงก็เกิดไม่ถูกชะตาจนหาทางกำจัดนางหาวคีโดยการลอยแพ ทว่าพระอินทร์เห็นเหตุการณ์จึงเนรมิตเกาะให้นางหาวคีหลบภัย เท้าโบตักทราบข่าวก็เสียใจมาก จึงรีบมาที่ริมทะเลหวังค้นหาศพของหลานสาวแต่ก็ไร้วี่แวว ต้นฉบับมีเพียงเท่านี้ ตัวอย่างกลอนแปด สรรพลี้หวน
นครรังยังมีเท่าผีแหน กว้างยาวแสนหนึ่งคืบสืบยศถา
เมืองห้างกวีรีหับระยับตา พันหญ้าคาปูรากเป็นฉากบัง
สูงพอดีหยีหิบพอหยิบติด ทองอังกฤษสลับสีด้วยหนีหัง
กำแพงมีรีหายไว้ขอดัง เจ้าจอมวังพระราโชท้าวโคตวย
มีเมียรักภักตร์ฉวีดีทุกแห่ง นั่งแถลงชมเชยเคยฉีหวย
เจ้าคีแหมรูปโอเมียโคตวย ท้าวหวังรวยกอดินอยู่กินกัน
มีลูกชายไว้ใยชื่อไดหยอ เด็กไม่ลอเกิดไว้ให้ทีหัน
นอนเป็นทุกข์ดุกลอยิ่งคอดัน ให้ลูกนั้นหาคู่เป็นหูรี
ต้องไปขอลูกสาวท้าวโบตัก มันตั้งหลักอยู่ไกลชื่อไหหยี
เป็นลูกเนื้อเชื้อนิลนางหิ้นปลี เมืองห้างชีปกครองทั้งสองคน
หยิบกระดาษดินสอมาจอดับ เขียนแล้วพับอ่านดีครบสี่หน
ให้เสนีมีหือถือนิพนธ์ เด็กหนึ่งคนก้มพักตร์มาดักรอ
จากเรื่องสรรพลี้หวน แม้คำผวนจะเป็นคำลามกเรื่องเพศแต่กวีกลับร้อยเรียงเรื่องราวได้ครบรสเสมือนเป็นบทละครเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ความรัก ความอิจฉาริษยา เวทมนต์คาถา และวิถีชีวิตชาวใต้ที่แทรกซึมอยู่ในบทกลอนอย่างกลมกล่อม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้วรรณกรรมสรรพลี้หวนได้รับการยกย่องว่าเป็น วรรณกรรมคำผวนประเภทร้อยกรองที่ยาวที่สุดเล่มแรกของภาคใต้ อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้กวีท่านอื่นแต่งสรรพลี้หวนในสำนวนอื่น ๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ตามหากมองในมุมความเป็นด้านสตรีศึกษาแล้ว "สรรพลี้หวน" เป็นวรรณกรรมที่ไม่ทราบว่าผู้ใดแต่ง แต่ผู้นำมาเผยแพร่เป็นขุนพรหมโลก นำมาเผยแพร่ ส่วน "พระเอ็ดยง" นั้นผู้แต่งเป็นหญิง อย่างคุณสุวรรณ โดยสมัยนั้น การพูดจาบัดสี สัปปะดี้สีประดน มันเป็นเรื่องไม่งามหากหญิงมีการพูดจา แสดงอาการเช่นนั้น ดังนั้นมันคือกดทับในเรื่องอำนาจในนำเสนอวรรณกรรม แต่หากมองในเรื่องของวรรณกรรม ทั้งพระเอ็ดยง และ สรรพลี้หวน ถือเป็นวรรณกรรมที่แสดงถึงอัฉริยภาพของผู้แต่งมิใช่น้อยเพราะ สามารถร้อยเรียงคำเหล่านี้เป็นกลอนแปดเป็นอย่างได้ลงตัว
******






















