"อีโรติก" ร่องรอยประวัติศิลปะการปลุกเร้าอารมณ์สยิว
แรงขับทางเพศมันแรงขับอันเกิดจากภายในของมนุษย์ร่างกาย หรือสิ่งเร้าต่างๆจากภายนอก สิ่งหนึ่งที่ทุกคนนึกถึงคือ สื่อต่างๆในแนวปลุกสยิวแนวอิโรติก แล้วอีโรติกคืออะไร
อีโรติก (Erotic) คือ คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับหรือกระตุ้นความปรารถนาทางเพศ ความรักทางเพศ หรือความสุขทางเพศ เช่น ศิลปะอีโรติก วรรณกรรมอีโรติก เป็นต้น ดังนั้นวันนี้เราจะมาขุดร่องรอยประวัติศาสตร์อีโรติกกัน
ตำนานแห่งอีโรติกกับปรัมปราเทพอีรอส
เรื่องราวของอีรอสและไซคีเป็นตำนานที่สืบทอดกันมายาวนานในฐานะนิทานพื้นบ้านของโลกกรีก-โรมันโบราณ ก่อนที่มันจะถูกนำมาเขียนเป็นวรรณกรรมในนวนิยายละตินของอะพูเลอุส เรื่อง The Golden Assตัวนวนิยายเองก็เขียนด้วยสไตล์โรมันแบบพิคาเรสก์ แต่ไซคียังคงใช้ชื่อกรีกของเธอ แม้ว่าอีรอสและอะโฟรไดท์จะถูกเรียกด้วยชื่อละติน ว่า คิวปิดและวีนัส ก็ตามนอกจากนี้ คิวปิดยังถูกพรรณนาในวัยหนุ่มสาว แทนที่จะเป็นเด็กอ้วนมีปีก พุตโต อามอรีโน
เรื่องราวเล่าถึงการแสวงหาความรักและความไว้วางใจระหว่างอีรอสและไซคี อะโฟรไดท์อิจฉาความงามของไซคี เจ้าหญิงมนุษย์ ขณะที่เหล่าชายฉกรรจ์กำลังละทิ้งแท่นบูชาอันแห้งแล้งของเธอเพื่อไปบูชาหญิงสาวธรรมดาๆ แทน เธอจึงสั่งให้อีรอส บุตรชาย เทพแห่งความรัก ทำให้ไซคีตกหลุมรักสิ่งมีชีวิตที่น่าเกลียดที่สุดในโลก แต่อีรอสกลับตกหลุมรักไซคีและพาเธอกลับบ้าน ความสงบสุขอันเปราะบางของพวกเขาถูกทำลายลงด้วยการมาเยือนของพี่สาวน้องสาวที่อิจฉาของไซคี ซึ่งทำให้ไซคีทรยศต่อความไว้วางใจของสามี อีรอสได้รับบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและจิตใจ จึงทิ้งภรรยา ไซคีจึงออกเดินทางท่องไปทั่วโลกเพื่อตามหารักแท้ที่หายไป
ไซคีได้เดินไปที่วิหารดีมีเทอร์และวิหารเฮราเพื่อขอคำแนะนำ ในที่สุด จนไซคีก็พบทางไปยังวิหารของอะโฟรไดท์และเข้าไปหาอะโฟรไดท์เพื่อขอความช่วยเหลือ อโฟรไดท์มอบหมายงานอันยากลำบากสี่ประการให้กับไซคี ซึ่งเธอสามารถบรรลุภารกิจดังกล่าวได้ด้วยความช่วยเหลือเหนือธรรมชาติ
หลังจากทำภารกิจเหล่านี้สำเร็จ อโฟรไดท์ก็ยอมจำนน หลังจากประสบการณ์เฉียดตาย ซุสได้เปลี่ยนไซคีให้เป็นอมตะเพื่อใช้ชีวิตร่วมกับเหล่าทวยเทพกับอีรอส สามีของเธอ ทั้งสองมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนคือ โวลุปตัส หรือเฮโดเน ซึ่งมีความหมายว่า ความสุขทางกาย ความสุขสำราญ
ในเทพปกรณัมกรีก ไซคี (Psyche) คือเทพที่บูชาวิญญาณมนุษย์ เธอถูกวาดไว้ในภาพโมเสกโบราณว่าเป็นเทพีผู้มีปีกผีเสื้อ เพราะไซคี เป็นคำภาษากรีกโบราณที่แปลว่า "ผีเสื้อ" คำว่า " ไซคี"ในภาษากรีกแปลว่า "วิญญาณ วิญญาณ ลมหายใจ ชีวิต หรือพลังขับเคลื่อน" ดังนั้นอีรอสจึงเป็นเทพแห่งความรักและแรงปราถนาในตำนานจึงเป็นที่มาของความหมายของอีโรติกในเวลาต่อมา เป็นธรรมชาติที่สิ่งมีชีวิตหลากหลายประเภทหลีกหนีไม่พ้นเรื่องความสัมพันธ์ทางกายภาพเชิงการสืบพันธุ์ นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้วัตถุอันเกี่ยวกับเชิงกามารมณ์ปรากฏขึ้นมาในยุคโบราณ และพัฒนามาสู่สื่อใหม่ในยุคสมัยแห่งเทคโนโลยี แต่คำถามที่น่าสนใจคือการสร้างสรรค์วัตถุที่เกี่ยวกับอารมณ์เชิงสังวาสนี้มีหน้าตาอย่างไรในยุคแรก และพัฒนาการมาสู่แบบแผนในปัจจุบันอย่างไร
ราชบัณฑิตยสถานอธิบายศัพท์บัญญติของคำว่า "pornography" ในความหมายแง่ "ศิลปะ" ว่า "งานลามกฎ หากในเชิงวรรณกรรมแล้วมีความหมายว่า "เรื่องเร้ากามารมณ์"
ขณะที่จอห์น ฟิลิป เจนกินส์ (John Philip Jenkins) ผู้เขียนอธิบายนิยามของคำ Pornography จากเว็บไซต์ Britannica อธิบายว่า คำว่า pornography มีรากมาจากศัพท์กรีกจากคำว่า "prostitute คือ โสเภณี และ "graphein" การเขียน ซึ่งเดิมทีนั้นใช้เป็นคำนิยามเกี่ยวกับงานศิลปะ หรือวรรณกรรมที่บรรยายหรือบอกเล่าชีวิตของโสเภณี
พจนานุกรมออกซ์ฟอร์ดฉบับเชิงจิตวิทยาอธิบายคำว่า pornography ว่า “การบรรยายด้วยภาพ, การเขียน หรือด้วยวัตถุอื่นๆ ซึ่งบอกเล่าถึงสิ่งที่เกี่ยวกับเรื่องทางเพศหรือกิจกรรมที่มีแนวโน้มส่อไปในเชิงกระตุ้นกามารมณ์อย่างชัดแจ้ง”
จะเห็นได้ว่าการนิยามความหมายที่เข้าข่ายของสิ่งที่ถูกจัดเป็น “pornography” นั้นแตกต่างกันออกไป การจะบ่งชี้ว่าวัตถุชิ้นไหนเป็นสิ่งเร้ากามารมณ์ หรืองานลามกย่อมขึ้นอยู่กับการนิยามในแต่ละบริบททางสังคม ในยุคกรีก-โรมันโบราณ รูปปั้นหรืองานศิลปะที่แสดงรูปทรงอวัยวะเพศชายเป็นสิ่งแพร่หลาย แต่สิ่งของในบริบทนั้นอาจไม่ได้มีบทบาทหน้าที่ในแง่การกระตุ้นกามารมณ์ในทางสังคมและจิตวิทยาเหมือนนิยามของ “สิ่งเร้ากามารมณ์” ในยุคใหม่
อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวในภาพกว้างในแง่วัตถุยุคโบราณที่แสดง "ลักษณะท่าทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งถือเร้ากามารมณ์ ด้วย" ตามนิยามสมัยใหม่ วัตถุลักษณะนี้ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น "สิ่งเร้ากามารมณ์" ในยุคโบราณจะถูกผลิตออกมาผ่านงานศิลปะอย่างรูปปั้น, ภาพเขียน, ภาพวาดในผนังถ้ำต่างๆ ซึ่งเป็นรูปแบบของศิลปะที่มีข้อดีคือสามารถถ่ายทอดจินตนาการเข้าไปด้วยได้ ไม่ว่าจะเป็นขนาดของอวัยวะเพศ หรือท่วงท่าต่างๆ
สำหรับงานเร้ากามารมณ์ในประเภทรูปปั้นที่เก่าแก่อันดับต้นๆ เชื่อกันว่า เป็นรูปปั้นที่ค้นพบในเยอรมนีเมื่อปี 2005 นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นรูปปั้นจากยุคหิน คาดการณ์ว่ารูปปั้นที่ค้นพบเมื่อครั้งนั้นมีอายุประมาณ 7,200 ปี เป็นรูปปั้นแสดงท่าทางการร่วมเพศระหว่างชายและหญิง ซึ่งรูปปั้นนี้ขัดแย้งกับทฤษฎีเดิมที่เชื่อกันว่า "เพศสัมพันธ์" เป็นสิ่งต้องห้ามจากการเอ่ยถึงในยุคนั้น และยังเป็นประติมากรรมขนาดเล็กในรูปทรงร่างกายเพศชายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ทีมนักโบราณคดีค้นพบชิ้นส่วนประติมากรรมขนาดเล็กเป็นรูปทรงท่อนล่างของเพศชายก่อน และหนึ่งเดือนให้หลังถึงพบชิ้นส่วนที่เชื่อว่า เป็นรูปทรงของฝ่ายหญิงที่น่าเชื่อว่าเป็นชิ้นส่วนประติมากรรมที่เข้าคู่กันกับส่วนของเพศชาย จากการวิเคราะห์รูปทรงส่วนร่างของฝ่ายชายที่อยู่ด้านหลังฝ่ายหญิงและโน้มตัวไปด้านหน้า จึงมี 2 ข้อสันนิษฐานว่า อาจเป็นรูปปั้นท่าทางการเต้นระหว่างชายหญิง หรืออาจเป็นท่าทางมีเพศสัมพันธ์ ดร. แฮรอลด์ เสตาเบิล นักโบราณคดีในทีมที่ค้นพบให้สัมภาษณ์ว่า เขาเชื่อว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
ก่อนหน้าการค้นพบครั้งนี้ นักโบราณคดีพบรูปปั้นดินที่มีรูปทรงเป็นร่างกายผู้หญิงซึ่งมีหน้าอกและบั้นท้ายขนาดใหญ่ อายุเก่าแก่อยู่ในช่วงระหว่าง 27,000 ปีก่อน นักวิชาการมักตีความรูปปั้นเชื่อมโยงกับความหมายในแง่การเจริญพันธุ์ กระทั่งการค้นพบประติมากรรมขนาดเล็กเมื่อปี 2005 ซึ่งเป็นรูปปั้นที่มีอวัยวะเพศฝ่ายชายอย่างชัดเจนที่สุด การค้นพบย่อมตามมาด้วยคำถามว่า แท้จริงแล้ว เรื่องทางเพศเป็นสิ่งต้องห้ามในยุคหินตามทฤษฎีที่มีมาก่อนหน้านี้หรือไม่
แต่นักวิชาการส่วนหนึ่งก็มองว่า สิ่งประดิษฐ์เชิง "อีโรติก" ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีทางการประดิษฐ์ขณะที่วัตถุโบราณที่เก่าแก่ที่สุดและแสดงให้เห็นถึงการร่วมเพศอย่างชัดเจนที่สุดเป็นภาพเขียนสีที่มีอายุประมาณ 2,000 ปี และหากเชื่อว่า วัตถุที่มีรูปทรงเหมือนอวัยวะเพศก็เข้าข่าย “กระตุ้น” ตามนิยามหนึ่งของคำว่า pornography แล้ว สิ่งที่กระตุ้นความต้องการทางเพศซึ่งเก่าแก่ที่สุดก็สามารถย้อนไปได้ถึงช่วงเวลาระหว่างยุคหินเก่า Paleolithic
หลังจากนั้นเป็นต้นมา มนุษย์ก็มีผลงานที่เกี่ยวข้องหรือเข้าข่ายการบรรยายเรื่องราวทางเพศอย่างต่อเนื่อง โดยมีสิ่งที่เรียกว่า "เทคโนโลยี" เป็นตัวแปรสำคัญ ทันทีที่มนุษย์ค้นพบสิ่งประดิษฐ์หรือกรรมวิธีใหม่ที่เข้าท่า งานเร้ากามารมณ์ก็ตามมาโดยพลันเสมอ
หากเอ่ยถึงการวาดภาพในถ้ำ ก็ตามมาด้วยภาพเรือนร่างของผู้หญิงบนผนังถ้ำ La Madeleine ในฝรั่งเศส อายุ 15,000 ก่อนคริสกาลเมื่อชาวสุเมเรียนเรียนรู้วิธีเขียนลงบนจารึกที่ทำจากดิน พวกเขาก็เขียนโคลงเกี่ยวกับช่องคลอด หรือเมื่อมาถึงยุคสื่อสิ่งพิมพ์ยุคแรกในช่วงศตวรรษที่ 16 ก็บรรจุท่าร่วมสัมพันธ์ทางเพศโดยอ้างอิงจากโคลงของปีเอโตร อาเรติโน นักเขียนที่ถูกเรียกว่าเป็นผู้ริเริ่มเรื่องเร้ากามารมณ์ยุคแรกๆ แต่หนังสือเล่มนี้ถูกโป๊ปสั่งแบน
มาจนถึงยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ สิ่งของที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 15 คือสิ่งพิมพ์ที่เรียกว่า "อุปมานิทัศน์แห่งการร่วมเพศ" (An allegory on copulation) อันเป็นภาพชายหญิงร่วมเพศในท่าฝ่ายชายอยู่ด้านบน ฝ่ายหญิงอ้าขา ปลายเท้าชี้ฟ้า นอนอยู่ที่ปลายม้านั่งด้านหนึ่ง ปลายอีกด้านหนึ่งเป็นอวัยวะเพศชายในจินตนาการในลักษณะมีขา มีปีกด้านข้าง ห้อยกระดิ่ง กำลังปีนขึ้นมาอยู่อีกด้านหนึ่งของม้านั่ง ภาพนี้ถูกพิมพ์หลายพันชิ้นในช่วงระหว่าง 1460-1480 เชื่อว่าเป็นงานสิ่งพิมพ์อีกกลุ่มหนึ่งสายอิตาเลียนตอนเหนือแต่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
ในศตวรรษที่ 18 มีเสียงร่ำลือกันว่า "แคทเธอรีนมหาราชินี" (Catherine the Great) ผู้ปกครองรัสเซียตกแต่งห้องหนึ่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และงานศิลปะอีโรติก เรียกได้ว่า ทั้งศิลปินและผู้เสพศิลปะต่างก็นิยมงานที่เกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์กันด้วย แม้แต่ศิลปินอย่างเอดัว มาเนต์ และเอ็ดการ์ เดอกาส์ ศิลปินอิมเพรสชันนิสต์ระดับตำนานก็ยังมีผลงานเปลือยออกมาให้สังคมได้ตกตะลึงในช่วงศตวรรษที่ 19
นักวิชาการส่วนหนึ่งเชื่อว่า ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงที่สิ่งเร้ากามารมณ์เริ่มเฟื่องฟูขึ้นมา แต่งานศิลปะในสายนี้ยังไม่มีสีสันมากเท่าไหร่ และมีปัญหาที่เรื่องราคายังแพงอยู่ แม้ว่าจะเริ่มมีภาพถ่ายอีโรติกเย้ายวนใจเกิดขึ้นแพร่หลายมาก แต่งานศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่สะสมก็ยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มศิลปินและผู้มีฐานะมั่งคั่ง
อย่างไรก็ตาม มโนทัศน์ของสิ่งเร้ากามารมณ์แบบยุคสมัยใหม่ที่เรารับรู้กันในทุกวันนี้ยังไม่เกิดขึ้นจนกระทั่งยุควิคตอเรีย ซึ่งตามมาด้วยกฎระเบียบจำกัดการจำหน่าย การเผยแพร่ แลกเปลี่ยนภาพและวัตถุที่เข้าข่ายสิ่งเร้ากามารมณ์ เมื่อปี 1857 อังกฤษเป็นประเทศแรกที่มีกฎหมายมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดและทำลายวัตถุที่เข้าข่าย ขณะที่ในสหรัฐอเมริกาการส่งวัตถุ "ลามก" ด้วยไปรษณีย์ภายในประเทศเพิ่งเป็นสิ่งกฎหมายในอีก 2 ทศวรรษต่อมา อย่างไรก็ตาม คำจำกัดความของสิ่ง "ลามก" นี้ยังไม่ถูกอธิบายอย่างชัดเจน
สำหรับบริบทความเข้มงวดของอังกฤษนี่เองทำให้สิ่งเร้ากามารมณ์กลับเฟื่องฟู และยิ่งเมื่อมาพร้อมกับนวัตกรรมภาพเคลื่อนไหวยิ่งทำให้เกิดสิ่งเร้ากามารมณ์ประเภทใหม่ๆ ที่หลากหลาย และหากพูดถึงกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งเร้าอารมณ์ เป็นที่รู้กันว่าเดนมาร์ก คือประเทศแรกที่ยกเลิกกฎหมายเซ็นเซอร์สิ่งเร้าอารมณ์ทั้งหลายในปี 1969 ซึ่งปีนี้เองเป็นช่วง "ยุคทอง" ของวงการสิ่งเร้าอารมณ์ด้วย มีผลงานอย่าง Blue Movie โดย แอนดี้ วอร์ฮอล ตามมาด้วยผลงาน อาทิ The Last Tango in Paris, Mona และ Deep Throat
สำหรับนวัตกรรมที่อิทธิพลสำคัญต่อโลก (สื่อโป๊) อย่างภาพยนตร์เริ่มจุดติดอย่างจริงจังในปีค.ศ. 1895 (พ.ศ. 2438) พี่น้องลูเมียร์ (Lumiere) ชาวฝรั่งเศสบันทึกภาพเคลื่อนไหวและนำออกฉายได้จนเป็นปรากฏการณ์สำคัญของโลก เมื่อนวัตกรรมใหม่เป็นที่รู้จักมากขึ้น มนุษยชาติก็ได้ทำความรู้จักกับภาพยนตร์เร้าอารมณ์ในปี ค.ศ. 1896 ทันที ภาพยนตร์เร้าอารมณ์เรื่องแรกที่เป็นที่รู้จักกันคือ Le Coucher de la Marie ภาพยนตร์สั้นจากฝรั่งเศสถูกฉายในกรุงปารีส
ขณะที่หนังอีโรติกสไตล์ซอฟต์คอร์ (Softcore) เรื่องแรกเป็นที่รู้จักในผลงานชื่อ Coucher de la Mariée เมื่อปี 1899เมื่อพูดถึงสไตล์ของเนื้อหาเร้ากามารมณ์ก็ย่อมต้องบอกว่า จินตนาการมนุษย์มีมากแค่ไหน ผลผลิตก็กว้างขวางได้เท่านั้นเช่นกัน มีเรื่องราวแบบนุ่มนวล ก็มีรุนแรง ภาพยนตร์อีโรติกที่เรียกว่าฮาร์ดคอร์ (Hardcore) ในยุคแรกๆ ซึ่งเหลือรอดชีิวิตมาสู่สายตาสาธารณะคือ L’Ecu d’Or ou la Bonne Auberge มันถูกเผยแพร่เมื่อ 1908 ขณะที่ผลงานส่วนใหญ่ในสไตล์นี้ในช่วงแรกเริ่ม (มักถูกฉายในสถานเริงรมย์) ถูกเซ็นเซอร์หรือไม่ก็ถูกทำลายไปเป็นส่วนใหญ่
ปลุกใจเสือป่า ซึ่งกลุ่มแรกที่รู้จักกันถูกผลิตในชื่อ Le Frisson ขณะที่นิตยสารชื่อก้องโลกอย่าง Playboy โดยฮิวจ์ เฮฟเนอร์ (Hugh Hefner) ก็ถูกผลิตออกมาในปี 1953 เกือบ 50 ปีหลังจากยุคเริ่มแรก ตามมาด้วยอีกหัวอย่าง Penthouse ในสหราอาณาจักรช่วงปลายยุค 60s
อย่างไรก็ตามพัฒนาการของสื่อเร้าอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ช่วงเริ่มแรกที่พวกมันคลอดออกมาก็เป็นเหมือนกับสิ่งเร้าที่รุนแรงอื่นๆ พวกมันทำให้คนในสังคมตกใจ แต่แล้วก็มีจุดเปลี่ยนอีกครั้งกับภาพยนตร์เมื่อปี 1972 ชื่อ Deep Throat โดยชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหนังกามารมณ์ที่มีชั้นเชิง ไม่ได้ทำให้คนช็อกกับเรือนร่างของมนุษย์จากกิจกรรมทางเพศสัมพันธ์อย่างเดียวเท่านั้น ภาพยนตร์เพิ่มมิติด้วยพล็อตเรื่อง มีตัวละคร แม้ว่าจะใช้ดนตรีประกอบที่ยังไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศนัก แต่ก็ถือได้ว่าทดแทนด้วยอารมณ์ขันที่แฝงเข้ามา เรียกได้ว่า เป็นช่วงที่หนังปลุกเร้าอารมณ์มีมิติมากขึ้น
ช่วงกลางยุค 70s ในบริบทสังคมอเมริกันที่เต็มไปด้วยชนที่เรียกกันว่า "ฮิปปี้" (Hippie) หรือกลุ่มบุปผาชน มีความคิดเห็นทางสังคมต่อจารีตแบบเดิมที่คลายตัวลงเรื่อยๆ หลังจากการเคลื่อนไหวของเสรีชนเริ่มขยายตัว กระทั่งในปี 1973 ศาลสูงสุดลงมติจำกัดความคำว่า "ลามก"ให้ชัดเจนขึ้นเวลาล่วงเลยมาถึงยุค 80s เทคโนโลยีที่เรียกว่า pay-per-view มีบทบาทในวงการสื่อ โดยให้ผู้ชมจ่ายเงินตามสิ่งที่รับชมไป สื่อเร้าอารมณ์ก็มีช่องสถานีแบบ pay-per-view โดยเฉพาะด้วย แต่ยังอาจไม่ได้รับความนิยมมากนักจนกระทั่งในยุค 90s ที่ตลาดเริ่มนิยม งานวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการของสื่อกามารมณ์ระบุว่า ช่องสถานีทำกำไรในปี 1992 ได้มากถึง 54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มขึ้นสู่ 367 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1999
ย้อนกลับไปเล็กน้อยในช่วงต้นยุค 90s ระหว่างที่ช่องทางโทรทัศน์เป็นสื่อหลัก เทคโนโลยีระบบออนไลน์ที่ทุกวันนี้รู้จักกันในชื่อ "เว็บ”"ผ่านระบบติดต่อสื่อสารที่เรียกว่า World Wide Web ถูกคิดค้นขึ้นและนำมาใช้งานเมื่อปี 1991 ในปี 1995 Penthouse เปิดเว็บไซต์ของตัวเองเป็นครั้งแรก และปีเดียวกันนั้นเอง เทคโนโลยีอีกอย่างที่ทำให้ผู้รับชมสิ่งเร้ากามารมณ์ได้รับความสุขมากขึ้นคือ video conference หรือเรียกกันว่าการประชุมทางไกล สามารถเห็นผู้สื่อสารฝ่ายตรงข้ามผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้โดยไม่ต้องอยู่ที่เดียวกัน เมื่อเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้น ปี 1997 มีกลุ่มหัวใสเปิดให้บริการโชว์ออนไลน์ที่เรียกว่า Video Fantasy มีผู้ใช้งานแบบลงทะเบียนเฉลี่ยประมาณ 2 หมื่นรายทีเดียว ขณะที่ผู้ให้บริการรายอื่นก็พลอยได้รับผลจากเทคโนโลยีที่พัฒนามากขึ้นยอดผู้ใช้งานต่อวันพุ่งไปหลักล้านกันเลยทีเดียว
หากจะบรรยายภาพการเติบโตของ "อุตสาหกรรมอีโรติก" สิ่งเร้ากามารมณ์แบบให้เห็นภาพเข้าใจง่าย สถิติรายได้จากการผลิตสื่อปลุกใจในปี 1985 อยู่ที่ประมาณ 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อผ่านมาสู่ยุค Y2K (2000s) รายได้พุ่งไปกว่า 6,500 เปอร์เซ็นต์ไปแตะที่ตัวเลข 4.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2009 เป็นยอดจากช่องทางออนไลน์ 2.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ยอดขายหนังอีโรติก(โป๊) 1.24 พันล้าน สิ่งพิมพ์ทำรายได้ 740 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การเปิดตัวของอินเทอร์เน็ต คือในช่วงกลางยุค 90s ที่อินเทอร์เน็ตเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตอเมริกันชน เทคโนโลยีเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมสิ่งเร้าอย่างใหญ่หลวงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้
นิตยสารไทม์ (TIME) ฉบับเดือนกรกฎาคม 1995 ตีพิมพ์พร้อมเรื่องบนปกที่พาดหัวว่า CYBERPORN พร้อมตั้งคำถามเรื่องการควบคุมการไหลเวียนของข้อมูลในอินเทอร์เน็ต โดยอ้างอิงจากผลการศึกษาของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ตรวจสอบ "ภาพกว่า 9 ล้านชิ้น งานเขียน เรื่องสั้น และการดาวน์โหลดแอนิเมชั่น 8.5 ล้านครั้งโดยผู้ใช้บริการที่อยู่ในเมือง 2,000 แห่ง ใน 40 ประเทศ จังหวัด และเขตแดน" ผู้รวบรวมข้อมูลนามว่า มาร์ตี้ ริมม์ (Marty Rimm) ชี้ว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของภาพใน "กระดานข่าว" แหล่งที่มีภาพไหลเวียนในอินเทอร์เน็ตมากที่สุดในเวลานั้นเป็นภาพโป๊
ตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา ข้อมูลจากองค์กรที่เรียกว่า SafeFamilies อ้างว่า มีเว็บไซต์สื่อโป๊มากกว่า 1.3 ล้านแห่ง ประกอบด้วยหน้าเว็บกว่า 260 ล้านหน้า รายงานข่าวจากบีบีซี เมื่อปี 2013 ประเมินว่า เนื้อหาในระบบอินเทอร์เน็ต 4-14 เปอร์เซ็นต์ เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งเร้าอารมณ์นั่นเอง แม้ภายหลังรัฐบาลและนักการเมืองในหลายรัฐพยายามออกกฎเพื่อหวังควบคุมการไหลเวียนของสื่อเร้ากามารมณ์ในยุคอินเทอร์เน็ต แต่ดูเหมือนว่าเป็นความพยายามที่ยากเกินไป มาถึงยุคปัจจุบัน แม้แต่นักเต้นระบำโป๊ที่มีความรู้เรื่องการเขียนภาษา HTML ระดับหนึ่งก็สร้างเว็บไซต์ส่วนตัว เปิดบริการให้แฟนได้เข้าชมผลงานแลกกับค่าบริการ 15 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน มีตัวอย่างนักเต้นระบำรายหนึ่ง (สงวนชื่อไว้ก่อน) เธอทำแบบนี้และสามารถหารายได้ 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เรียกได้ว่า วิวัฒนาการของสิ่งเร้ากามารมณ์จากยุคโบราณมาสู่ยุคใหม่ ยุคแห่งเทคโนโลยีและโลกดิจิทัลนั้น สิ่งเหล่านี้อยู่คู่กับประวัติศาสตร์มนุษยชาติเสมอมา ในยุคนี้ก็พัฒนาไปจนถึงการใช้ตุ๊กตาผสมกับเทคโนโลยีเสมือนจริง ฯลฯ แต่คำถามที่สำคัญคือ "จะอยู่กับมันอย่างไร?"
อย่างไรก็ตามศิลปะการปลุกเร้าทางอารมณ์ในรูปแบบของประวัติศาสตร์นั้นมีร่องรอยมาแต่ยุคโบราณจนมาถึงยุคทองของอีโรติก อุตสาหกรรมหนังโป๊ในปี 80 และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
******

















