วัฒนธรรมแลกเปลี่ยนความสยิว : “คุณอากังฟู” เจ้าพ่อวงการเพย์บอยไทย
เรียนคุณอากังฟูที่เคารพ หนูมีเรื่องจะปรึกษา.........นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่หนูเขียนหาคุณอา เป็นคำขึ้นต้นของจดหมายตอบปัญหาที่ลงคอลัมน์ปลุกใจเสือป่า ในยุค80-90 ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก หรือแม้แต่ในภาพยนต์เรื่องสยิวที่มีการพูดถึงอัตชีวประวัติของอากังฟู
หากพูดถึง ชูชาติ ธนมงคลชัย หลายคนคงงงว่าเขาคือใคร แต่หากพูดถึงนามปากกว่า อากังฟู หรือเฮียกังฟูแล้ว ทุกคนต้องร้องอ๋อ เพราะเป็นนามปากกาตอบปัญหาคาใจเรื่องความรัก และบนเตียง ที่ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร เพราะในสมัยเรื่องเพศศึกษาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเป็นสิ่งต้องห้ามในการพูดคุย การใช้นามแฝง และการตอบปัญหาทางจดหมายจึงเป็นที่นิยมอ่านและเพื่อศึกษาในสมัยนั้น
อากังฟู หรือ เฮียกังฟู เป็นเจ้าของนิตรสารปลุกใจเสือป่าอย่าง ไทยเพลย์บอย ซึ่งเป็นนิตยสารที่ได้รับความโด่งดังในหมู่วัยรุ่นเมื่อช่วงต้นยุค พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2530 โดยหน้าปกนิตรสารแตกต่างจากยุคนั้นโดยการเอาหญิงไทยหน้าบ้านๆ โดยอากังฟูให้เหตุผลว่าเข้าถึงง่าย และเป็นธรรมชาติ แล้วเกิดอารมณ์ได้มากกว่า จนหนังสือ ไทยเพลย์บอย ในยุคนั้นขึ้นแท่นเป็นหนังสือขายดีที่หลายคนต้องการ ปี พ.ศ. 2543 อากังฟูโดนจับในข้อหาสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นโดยไม่มีอามิสสินจ้าง หลังการออกจากคุก พ.ศ. 2547 อากังฟูก็หันมาทำงานแวดวงหนังสือตามเคย โดยเปลี่ยนชื่อนิตรสารปลุกใจเสือป่า “ไทยเพลย์บอย” เป็น เพลย์ออฟ อีกทั้งนิตรสารอื่นๆ อาทิ ลีลาวดี, กระดังงา, บทเรียนชีวิต และ อายส์ แอนด์ อายส์
อากังฟูเริ่มเข้าวงการด้วยการเป็นช่างภาพให้กับนิตรสารอื่นๆ เริ่มอาชีพตั้งแต่การเป็นช่างแต่งรูปแต่งฟิล์มที่ร้านจิตรกร ถนนเจริญกรุง แล้วออกมาถ่ายรูปอิสระ หลังจากนั้นได้ถ่ายรูปกับหนังผู้ใหญ่และถ่ายให้กับหนังสือบางกอกและทีวีรีวิวก่อนจะหันมาทำนิตรสารปลุกใจเสือป่าอย่างไทยเพลย์บอย
โดยคอลัมน์แรกในชีวิต ที่คุณอากังฟูมีสไตล์การนำเสนออีกรูปแบบก็แบโฉม ด้วยคอลัมน์ “แอบดูมาเล่าสู่กันฟัง” ด้วยความเชื่อว่ามนุษย์มีสัญชาตญาณแห่งการสอดรู้สอดเห็น และชอบประพฤติตนเป็นผู้จ้องมอง หลายคนล้วนเคยยลตามช่องหรือป่องประตู เพื่อแอบดูกิจกรรมหรรษา ผลลัพธ์ก็ปรากฏออกมาว่าฮิต คนอ่านติด และมีการขีดเขียนเรื่องหวิวเชิงแอบดู แต่ไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติการ ส่งมายังสำนักงานของไทยเพลย์บอยอย่างล้นหลาม
อาจเรียกได้ว่า หลักวิชาของไทยเพลย์บอย อากังฟูผู้ออกตัวว่าตนเองไม่ใช่นักตกแต่งที่มีจริตด้านความรู้อะไรนัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดมีในหนังสือ ล้วนแล้วแต่ผ่านการเฝ้ามองและสังเกตพฤติการณ์ของปุถุชน เช่นเดียวกับคอลัมน์ “ครั้งแรกในชีวิต” อากังฟูก็อ่านจิตใจคนอ่านต่อไปว่า นอกจากครั้งแรกแล้ว เราล้วนแต่เคยมีครั้งที่ประทับใจไม่รู้เลือน มันเหมือนภาพจำแห่งความสุขยามได้ขึ้นสรวงสวรรค์ หนึ่งครั้ง ที่เหนือชั้นกว่าครั้งไหนๆ
“ด้วยเหตุนี้ ผมก็เลยเติมไปอีกคอลัมน์ คือ “ความประทับใจ” เพราะทุกคนมีเซ็กซ์ จะมีร้อยครั้งหรือกี่ครั้งก็ว่ากันไป แต่มันต้องมีอย่างน้อยหนึ่งครั้งล่ะที่ประทับใจแบบสุดๆ เราก็ดึงเอาตรงนี้ออกมา มันก็เลยกลายเป็นว่า เขาก็เขียนความประทับใจของเขาว่าเขาประทับใจครั้งนั้นครั้งนี้ที่สุดเลยนะ ส่วนอีกคอลัมน์คือ “ลักหลับ”โหย...คนทางบ้านเขียนส่งมากันเยอะเลย
การที่มีการเขียนจดหมายลักษณะแบบนีอาจกล่าวได้ว่า เป็นวัฒนธรรมแบบ “ร่วมกันเขียน” แลกเปลี่ยนประสบการณ์ความสยิวแบบนี้นี่เองที่ส่งผลให้ตลอดสายพานการผลิตนิตยสารฉบับนี้ ตั้งแต่ฉบับที่ 15 เป็นต้นมา นอกจากเรื่องรูปแล้ว ทีมงานแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลยในแง่ของการเขียนเรื่อง เพราะมีเรื่องจากทางบ้านส่งมากันอย่างคับคั่ง
อากังฟูเคยเล่าถึงประสบการณ์การตอบจดหมายว่า “วันหนึ่งๆ มีจดหมายส่งเรื่องเล่ามาเป็นกระสอบๆ ลงอีก 10 ปีก็ไม่หมด เพราะแต่ละคนพออ่านแล้วมัน ก็อยากจะเล่าเรื่องตัวเองบ้าง สมัยก่อนมันไม่บูมอย่างนี้ อินเตอร์เน็ตอะไรก็ไม่มี โทรศัพท์จะใช้ยังแทบไม่มี มันก็เป็นทางนิตยสารเท่านั้นเอง ก็จะให้เด็ก 3-4 คนอ่านก่อนว่าเรื่องไหนมัน ก็เอา ถ้าเรื่องไหนไม่มัน ก็เก็บไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปรีไรท์กัน”
จากเรื่องหวิวในมุมอับของชาวบ้าน สู่เรื่องสั้นในหน้ากระดาษไทยเพลย์บอย จากหนังสือรายเดือน มาเป็นรายสิบห้าวัน มาเป็นรายสัปดาห์ เป็นเครื่องรับประกันได้ว่าในตอนนั้น อาณาจักรแห่งความเสียวของไทยเพลย์บอยกำลังออกล่าอาณานิคมกลายเป็นที่นิยมชมชอบตอบโจทย์หัวใจผู้อ่าน และหากไม่มีเรื่องราวฉาวซะก่อน เราคงได้เห็นไทยเพลย์บอยฉบับรายวัน อันเป็นความปรารถนาอย่างยิ่งยวดของผู้ให้กำเนิดอย่างอากังฟู
อากังฟูโดนจับกุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกจับคาสำนักสวิงกิ้งชนิดคาหนังคาเขา ถูกดำเนินคดีในข้อหาเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตและเป็นธุระจัดหา เพื่อให้ผู้อื่นร่วมประเวณีและถูกตัดสินจำคุก และอากังฟูถูกจับกุมครั้งที่สองในช่วงปี พ.ศ. 2543 อากังฟูโดนจับในข้อหาสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นโดยไม่มีอามิสสินจ้าง และได้รับการปล่อยตัวในปี พ.ศ. 2547 หลังจากที่ออกมาจากคุกอากังฟูก็หันมาทำงานแวดวงหนังสือตามเแบบเดิม โดยเปลี่ยนชื่อนิตรสารปลุกใจเสือป่า 'ไทยเพลย์บอย' เป็น เพลย์ออฟ อีกทั้งนิตรสารอื่นๆ อาทิ ลีลาวดี', กระดังงา, บทเรียนชีวิต และ อายส์ แอนด์ อายส์
นี่คือตำนานแห่งความสยิวแห่งเมืองไทย ผู้นำแห่งวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนความสยิวผ่านช่องทางที่เรียกว่า นิตยสารปลุกใจเสือป่าที่ยังคงอยู่ในความจดจำของผู้คนได้ ด้วยวลีขึ้นต้น “เรียนคุณอากังฟูที่เคารพ”
***************
















