แพรรี่ เศร้าใจ! พระมหาอุเทน ถูกขับออกจากวัด ชี้ “ทิฏฐิมานะ” สูงกว่ายอดตาล
“แพรรี่ ไพรวัลย์” เผยความรู้สึก “สงสารพระมหาอุเทน” หลังถูกขับออกจากวัดชนะสงคราม — ชี้ทิฏฐิมานะสูงกว่ายอดตาล ย้ำทุกอย่างคือกรรมที่ต้องเรียนรู้
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในแวดวงสงฆ์และโลกออนไลน์อีกครั้ง เมื่อ “พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์” พระนักเทศน์ชื่อดังแห่งวัดชนะสงคราม ราชวรมหาวิหาร ได้ออกมาประกาศด้วยตัวเองผ่านคลิปเทศนา ว่าตนถูกขับออกจากวัดชนะสงครามอย่างเป็นทางการ หลังมีคำสั่งลงโทษและตักเตือนเรื่องการพาดพิงถึงเจ้าคณะผู้ใหญ่ในวัด แต่เจ้าตัวยังไม่หยุดเผยแพร่คลิปเทศน์ที่มีเนื้อหากระทบต่อบุคคลอื่น
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อเนื่องจากประเด็นความขัดแย้งก่อนหน้านี้ ระหว่าง แพรรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร หรือที่หลายคนรู้จักกันดีในฐานะอดีตพระนักเทศน์ชื่อดัง ซึ่งปัจจุบันผันตัวมาเป็นนักพูดและอินฟลูเอนเซอร์สายธรรมะร่วมสมัย กับ พระมหาอุเทน ที่เคยออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ “การแสดงออกทางเพศ” ของแพรรี่ในลักษณะที่หลายคนมองว่าเป็นการ “เหยียดเพศสภาพ”
หลังจากเกิดดราม่าในครั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายก็มีการตอบโต้กันอย่างต่อเนื่อง โดยแพรรี่เลือกใช้ถ้อยคำเชิงประชดประชันแต่ก็แฝงด้วยหลักธรรม ส่วนพระมหาอุเทนก็ยังคงเทศน์ในแนวทางของตนเอง แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะสมกับสถานะของพระภิกษุ
🔥 จุดแตกหัก! “พระมหาอุเทน” ประกาศถูกขับออกจากวัดกลางคลิปเทศน์
ในคลิปเทศนาที่กลายเป็นไวรัล พระมหาอุเทนกล่าวอย่างชัดเจนว่า
“อาตมาถูกขับออกจากวัดชนะสงครามแล้ว เพราะไม่หยุดพูด ไม่หยุดเทศน์ในสิ่งที่ผู้ใหญ่เห็นว่าไม่สมควร... อาตมาคงต้องไปหาที่อยู่ใหม่ หาเสนาสนะใหม่ในคณะอื่น เพื่อปฏิบัติธรรมต่อไป”
พร้อมอธิบายว่า การเทศน์สอนธรรมแม้จะเป็นไปตามความจริง แต่เมื่อไปกระทบใจบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ก็อาจทำให้เกิดความโกรธและความไม่พอใจ ซึ่งถือเป็น “กรรมของวาจา” ที่ตนต้องยอมรับ
อย่างไรก็ตาม คลิปดังกล่าวถูกลบออกจากช่องยูทูปภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเผยแพร่ ทำให้หลายคนคาดว่ามีแรงกดดันจากทางวัดหรือผู้ใหญ่ในคณะสงฆ์
🌼 “แพรรี่ ไพรวัลย์” เคลื่อนไหวทันที โพสต์ข้อความเผยความรู้สึก “เศร้าใจแต่ไม่แปลกใจ”
หลังทราบข่าวว่า พระมหาอุเทนถูกขับออกจากวัด แพรรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวอย่างตรงไปตรงมา โดยระบุว่า
“เศร้าใจนะคะ ที่ทราบว่าท่านอุเทนถูกขับออกจากกุฏิในคณะ 9 ที่ท่านพักอาศัย และต้องย้ายออกจากวัดชนะสงคราม เหตุเพราะหลังจากที่มีคำสั่งตักเตือนแล้ว ท่านยังคงลงคลิปพาดพิงเจ้าคณะผู้ปกครองในวัดอยู่”
พร้อมเสริมในคอมเมนต์ว่า
“เอาจริง ๆ ก็สงสารท่านนะคะ แต่ท่านไม่ยอมหยุดยอมพักเลย ไม่ยอมลดลาวาศอก ทิฏฐิมานะท่านสูงกว่ายอดตาล เห้อออ...”
และปิดท้ายด้วยถ้อยคำที่แฝงด้วยเมตตา
“ขอให้ท่านหาสถานที่อันสงบและควรแก่การบำเพ็ญสมณธรรมสำหรับตัวเองได้ในเร็ววันนะคะ”
โพสต์ของแพรรี่ถูกแชร์และคอมเมนต์อย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยกับมุมมองของเธอ และผู้ที่ออกมาปกป้องพระมหาอุเทน โดยมองว่า “ท่านเพียงพูดความจริงตามหลักธรรม”
📜 ย้อนรอยดราม่า “แพรรี่ vs พระมหาอุเทน”
เรื่องราวระหว่างทั้งสองไม่ได้เกิดขึ้นเพียงวันสองวัน แต่มีที่มาที่ไปยาวนานกว่า 1 ปี ตั้งแต่ช่วงที่แพรรี่เริ่มเปิดตัวในลุคใหม่หลังลาสิกขา ด้วยการแต่งตัวและพูดคุยในประเด็นความเท่าเทียมทางเพศอย่างเปิดเผย
พระมหาอุเทนในฐานะพระนักเทศน์ชื่อดัง ได้ออกมาให้สัมภาษณ์และเทศน์บางตอนที่สื่อถึงการไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมดังกล่าว โดยอ้างหลักธรรมว่าการประพฤติเช่นนี้ “อาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงธรรมะ”
ถ้อยคำเหล่านั้นสร้างความไม่พอใจแก่ผู้ฟังจำนวนมาก เพราะมองว่าเป็นการเหยียดเพศและขาดความเมตตาในฐานะผู้สอนธรรมะ ส่งผลให้แพรรี่ไพรวัลย์ต้องออกมาแสดงความคิดเห็นตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา และกลายเป็นกระแสถกเถียงในโลกออนไลน์
💬 เสียงจากสังคม – “ธรรมะต้องมีเมตตา ไม่ใช่ตัดสิน”
ภายหลังเหตุการณ์ล่าสุด ชาวเน็ตจำนวนมากได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในหลากหลายมุม ทั้งในเพจข่าวและโซเชียลของแพรรี่ โดยเสียงส่วนใหญ่สะท้อนความรู้สึก “เห็นใจ” ทั้งสองฝ่าย
บางส่วนมองว่าพระมหาอุเทนควรมีสติและวางวาจาให้เหมาะสม เพราะสังคมปัจจุบันเปิดกว้างเรื่องเพศสภาพมากขึ้น ขณะที่อีกส่วนหนึ่งกลับมองว่าท่านพูดถูกตามหลักศาสนา เพียงแต่สื่อสารไม่เหมาะกับยุคสมัย
ในขณะที่แฟนคลับของแพรรี่ส่วนใหญ่ต่างชื่นชมท่าทีของเธอ ที่แม้จะเคยถูกพาดพิง แต่ก็ยังแสดงความเมตตาและไม่พูดจาซ้ำเติม ยังคงเลือกใช้คำว่า “สงสาร” มากกว่า “สะใจ”
🪷 การเมืองในวัด? หรือปัญหาทิฏฐิมานะส่วนบุคคล
นักวิชาการด้านศาสนาได้วิเคราะห์ว่า การถูกขับออกจากวัดของพระมหาอุเทนครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่อง “คำเทศน์พาดพิงบุคคลอื่น” เท่านั้น แต่อาจสะท้อนถึงปัญหาภายในวงการคณะสงฆ์ ที่ยังมีการแบ่งฝ่ายและอำนาจการปกครอง
อย่างไรก็ตาม หลายคนก็ชี้ว่า พระมหาอุเทนมี “ทิฏฐิมานะ” หรือความยึดมั่นถือมั่นสูง ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ยากต่อการปรับตัวเมื่อถูกตักเตือน หรือให้ลดบทบาทการแสดงออกในที่สาธารณะ
ขณะเดียวกัน การที่แพรรี่ใช้คำว่า “ทิฏฐิมานะสูงกว่ายอดตาล” ก็ถูกมองว่าเป็นคำพูดที่ตรงแต่แฝงความปรารถนาดี เพราะผู้ที่มีปัญญาในการเห็นธรรม ย่อมไม่จำเป็นต้องใช้ความดื้อรั้นเป็นเกราะกำบัง
🌻 “แพรรี่” ผู้ไม่เคยหนีความจริง และยังคงสอนธรรมในแบบของตัวเอง
แม้จะลาสิกขาแล้ว แต่แพรรี่ยังคงสอนธรรมะในแบบของตนเอง ผ่านรายการออนไลน์ คลิปยูทูป และการพูดในงานต่าง ๆ ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและตรงใจคนรุ่นใหม่ เธอมักย้ำเสมอว่า
“ธรรมะไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในวัด แต่อยู่ในใจคนทุกคน”
การที่เธอออกมาแสดงความเห็นต่อกรณีของพระมหาอุเทน จึงไม่ได้มีเจตนาโจมตี แต่สะท้อนหลักธรรมในมุมมองของผู้เคยผ่านประสบการณ์ในสมณเพศ
✨ บทเรียนจากดราม่าครั้งนี้
เหตุการณ์นี้อาจเป็นอุทาหรณ์ให้กับทั้ง “ผู้สอนธรรม” และ “ผู้ฟังธรรม” ว่าความจริงเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากขาดเมตตาและสติในการพูดจา เพราะแม้คำพูดจะถูกต้อง แต่หากทำร้ายใจคนอื่น ก็ถือว่าไม่เป็นไปเพื่อความสงบ
ในขณะที่แพรรี่แม้จะถูกกระแสโจมตีในอดีต แต่วันนี้เธอกลับแสดงให้เห็นถึงการเติบโตทางจิตใจ ด้วยการตอบสนองต่อความขัดแย้งด้วยความเมตตา
🕊️ สรุป
กรณี “พระมหาอุเทนถูกขับออกจากวัดชนะสงคราม” ไม่เพียงเป็นข่าวใหญ่ในวงการศาสนา แต่ยังสะท้อนภาพความซับซ้อนของสังคมไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากความเชื่อแบบเดิมสู่ความเปิดกว้างในยุคใหม่
คำพูดของแพรรี่ — “ขอให้ท่านหาสถานที่อันสงบและควรแก่การบำเพ็ญสมณธรรมได้ในเร็ววัน” — จึงไม่ใช่เพียงถ้อยคำแห่งความสงสาร แต่คือบทสรุปของความเข้าใจที่ลึกซึ้งในธรรมะ ว่า “ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ถาวร”

















