ปฏิทิน “แม่โขง” ภาพตัวแทนสุรายุคชาตินิยม กลายเป็นศิลปะนู๊ดบนเรือนร่าง
หากพูด “แม่โขง” คนไทยหลายคนรู้จัก เพราะเป็นเหล้าสียี่ห้อแรกของไทย เป็นสุราปรุงพิเศษ 35 ดีกรี เริ่มผลิตใน พ.ศ. 2484 ที่โรงงานสุราบางยี่ขัน ปากคลองบางยี่ขัน ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ตำบลบ้านปูน อำเภอบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรี แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร
บางยี่ขันเป็นย่านผลิตสุรามาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นกล่าวกันว่าในสมัยรัชกาลที่ 1 มีนายอากรสุราชาวจีนมาปลูกโรงต้มสุราบริเวณปากคลองบางยี่ขันริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกมองเห็นปล่องไฟมีควันโขมงสังเกตเห็นได้ง่าย ต่อมาในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2457 รัฐบาลได้โอนโรงงานสุราบางยี่ขันซึ่งเดิมเป็นกิจการของเอกชนมาเป็นของรัฐโดยมีกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลังเป็นผู้ปกครองดูแลเรียกประมูลเงินผลประโยชน์เข้ารัฐในรูปแบบต่าง ๆ แล้วตั้งผู้ประมูลได้ให้เป็นผู้รับอนุญาต ผลิตสุราออกจำหน่ายภายในเขตที่กำหนดให้เป็นเขตจำหน่ายสุราของโรงงาน วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2470 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวครบกำหนดหมดอายุสัญญาอนญาตให้ต้มกลั่นและจำหน่าย สุรากรมสรรพสามิตจึงได้ระงับการอนุญาตให้เอกชนต้มกลั่นและจำหน่ายสุราและเข้าดูแลควบคุมการผลิตสุราที่โรงงาน บางยี่ขันเองเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2472 มีการปรับปรุงโรงงานให้ทันสมัยและผลิตสุราชนิดใหม่คือสุราผสม 28 ดีกรี หลายยี่ห้อรวมทั้งเชี่ยงชุนที่ยังคงผลิตมาจนถึงปัจจุบัน แต่การจำหน่ายยังคงใช้วิธีการประมูลเงินผลประโยชน์ ตั้งผู้ทำการค้าส่งเป็นเขต ๆ
ต่อมากรมสรรพสามิตได้ผลิต “สุราผสม”โดยใช้เครื่องสมุนไพรตามเภสัชตำรับของยาดองเหล้าแบบโบราณสกัดโดย แช่ในสุราดีกรีสูงแล้วนำมาปรุงแต่งรสกลิ่นสีและแรงแอลกอฮอล์ เป็นสุราผสมดื่มได้ทันทีโดยไม่ต้องผสมโซดาและต่อมา ได้พัฒนาเป็น "สุราปรุงพิเศษ" ดื่มโดยผสมโซดาหรือไม่ก็ได้ในขณะนั้นมีผู้นิยมดื่มวิสกี้ผสมโซดากันอย่างแพร่หลาย วิสกี้ส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ สิ้นเปลืองเงินตราปีละมาก ๆ สุราปรุงพิเศษที่กรมสรรพสามิตผลิตขึ้นจึงช่วยลดการนำเข้าได้เป็นอย่างดี
ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เกิดการเรียกร้องดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง 4 จังหวัดคือเสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ และนครจำปาศักดิ์คืนจากประเทศฝรั่งเศสจนเกิดกรณีพิพาทและนำไปสู่สงครามอินโดจีน หลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากรจึงแต่งเพลงปลุกใจชื่อว่าเพลง “ข้ามโขง” โดยใช้ ทำนองเพลง “Swanee River” ของฝรั่งมาใส่เนื้อร้องเป็นภาษาไทยเพื่อรณรงค์ให้คนไทยเกิดความเข้าใจว่าแม้จะอยู่ ห่างไกลกันคนละฝั่งแม่น้ำโขงแต่ทั้ง 4 จังหวัดก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย เพลงข้ามโขงนี้โด่งดังมากและสร้างความรู้สึกรักชาติรักแผ่นดินอย่างรุนแรง อิทธิพลของเพลงนี้จูงใจให้กรมสรรพสามิตตั้งชื่อสุราปรุงพิเศษ 35 ดีกรีซึ่งเพิ่งจะผลิตขึ้นใหม่ในวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2484 ว่า “แม่โขง”
อย่างไรก็ตามถึงแม่ว่า เหล้าแม่โขงได้ถูกใช้ชื่อเพื่อแสดงออกถึงความเป็นชาตินิยมในยุคจอมพล ป. แล้วก็ตาม แต่ก็มีกระบวนการเปลี่ยนผ่านด้านความหมายของความเป็นเหล้าแห่งชาติ เหล้ารักชาติ กลายเป็นศิลปะบนเรือนร่าง เมื่อแม่โขงไ ด้มีการออกปฏิทิน เพื่อเป็นโปรโมชั่นส่งเสริมการขายช่วงปีใหม่ ที่นำร่างสตรีนุ่งน้อยห่มน้อย ถ่ายแบบลงปฏิทินที่ทำให้เห็นถึงแบรนด์ และเรือนร่างของสาวๆ เพื่อสร้างความจดจำ ว่า 1 ปีจะพบใครขึ้นปฏิทินแม่โขง
ปฏิทิน “แม่โขง” ดูเหมือนจะเป็นปฏิทิน “โป๊” รุ่นเก่าที่สุด ที่เริ่มต้นมาก่อนใครเพื่อน หรืออย่างน้อยก็เป็นรุ่นแรก ๆ ที่มีแต่คนกล่าวขวัญถึง และปรารถนาที่จะได้มีไว้ในครอบครอง นำไปประดับอยู่บนฝาห้องนอน ห้องทำงาน เพื่อประกอบการพิจารณาวันเดือนปี และอารมณ์สุนทรีที่ชุ่มไปด้วยความเร่าร้อนในอกขนาดหลายศอกของชายแท้หลายยุคสมัยมาแล้ว หรือหากจะเหมาสรุปเอาว่า ในอดีตที่ผ่านมาหลายสิบปีนั้น ปฏิทิน “แม่โขง” เป็นรุ่นพี่ที่สร้างประเพณีของปฏิทินโป๊เมืองไทยขึ้นมา โดยเฉพาะหากจะพูดให้แคบเข้า ในวงการสุราในเมืองไทยซึ่งมีอยู่ในเมืองไทยไม่กี่เจ้า มีการขุดกรุปฏิทินโป๊กันขึ้นที่ย่านวงศ์สว่าง เขตจังหวัดนนทบุรี ที่ห้องสมุดส่วนตัวในบริเวณบ้านของ “บุญชู สุวรรณสิงห์” นักสะสมผู้นี้เริ่มต้นเก็บรวบรวมของเก่าแก่ต่างๆ มาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม สมัยเป็นนักเรียนมัธยม โดยเฉพาะหนังสือ เมื่อย่างเข้าวัยหนุ่มฉกรรจ์ จึงเพิ่มปฏิทินเข้าไว้ในกรุของตนอีกส่วนหนึ่ง และแน่นอนมีบรรดาปฏิทินรูปโป๊อยู่ด้วยมากมายหลายร้อยฉบับ
ปฏิทินรุ่นแรกๆ ที่เขาสะสมไว้ เป็นของแม่โขง และโรงงานยาสูบ ซึ่งเป็นเจ้าแห่งปฏิทินไทยในยุคเริ่มแรก เหตุที่ได้ปฏิทินรุ่นแรกๆ มาครอบครองไว้ เพราะพื้นเพเป็นชาวอยุธยา บิดามีร้านขายของชำ และตนเองก็เคยเป็นเด็กขายหนังสือประจำแผงที่ตลาด ซึ่งแน่นอนทุกเทศกาลปีใหม่ปฏิทินสวย ๆ เหล่านั้น ก็มีออกมาวางด้วย เมื่อจำแนกบรรดาปฏิทิน (โป๊) ซึ่งแยกไว้เป็นสัดส่วนออกมาเลือกเฉพาะของแม่โขง ก็สามารถนับถอยหลังจากปี พ.ศ. 2531 ไปจนกระทั่งเก่าแก่ที่สุด เป็นปฏิทินของปี พ.ศ. 2504 หากคำนวณเป็นอายุของผู้สะสมก็จะได้ประมาณอายุ 27 ปี กำลังเป็นวัยหนุ่มฉกรรจ์
บุญชู สุวรรณสิงห์ นักสะสมคนนั้นช่วยยืนยันว่าในอดีตปฏิทินแม่โขงนั้นดังมากที่สุด เพราะคัดเอาบรรดาสาวสวยมานุ่งน้อยห่มน้อยถ่ายภาพกันให้เห็น รับรองว่าไม่สามารถไปหาชมที่ไหนได้อีก เพราะสมัยนั้นสิ่งพิมพ์ก็ไม่มากมาย และอื้อฉาวเท่าสมัยนี้ ทั้งทีวีสมัยช่อง 4 บางขุนพรหมก็มีเพียงช่องเดียว รายการสมัยนั้นเป็นอย่างไรคงนึกภาพกันไม่ยาก สิ่งที่ไม่สามารถไขความกระจ่างได้คือ ปีเริ่มต้นของปฏิทินแม่โขงที่แท้จริง และความคิดเริ่มต้นในการทำปฏิทินนี้ แต่อย่างน้อยสิ่งที่ได้เห็นคือวิวัฒนาการของปฏิทินแม่โขงซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างเหลือเชื่อ บางฉบับบางภาพเมื่อมองด้วยสายตาของคนในยุคใหม่ ยังอดหัวเราะไม่ได้ แต่หากเป็นสมัยก่อนนั้น ก็นับได้ว่าเป็นภาพที่สุดยอดแล้ว แม้ผู้สะสมเองซึ่งไม่ใคร่ได้หยิบออกมาเปิดดูยังเฝ้าชมอีกครั้งด้วยความชื่นชม และรำลึกถึงความหลังครั้งหนุ่มแน่น ถึงกับเอ่ยปากว่าเป็น “ภาพศิลป์จริงๆ”
ปฏิทิน “แม่โขง” โป๊หลายแบบ ยิ่งนานวันยิ่งน้อยชิ้น เพราะปฏิทินปีแรกๆ ที่พบ บางส่วนที่พลิกชมเป็นภาพสาวน้อยร่างอวบ หน้าหวานตาคม อยู่ในชุดว่ายน้ำค่อนข้างจะมิดชิดนั่งพับเพียบเรียบร้อย ยังไม่ทิ้งบุคลิกสตรีไทยไปมากเท่าไหร่ เพียงแต่เปิดให้เห็นร่องอก และต้นขา แค่นั้นหนุ่มสมัยก่อนก็คงน้ำลายหกกันไปมากแล้ว บางปีในช่วงนั้นยังปรากฏภาพหญิงสาวนั่งพับเพียบเรียบแต้ สวมชุดทำงานเรียบร้อย ไม่มีอาการ “โป๊” แต่อย่างใด ถัดมาอีกหลายปี ปฏิทินแม่โขงเริ่มจัดแนวเข้าที่เข้าทางถ่ายผู้หญิงนุ่งชุดว่ายน้ำเป็นการยืนพื้น ส่วนใหญ่นางแบบจะออกไปทาง “อวบ” เสียเป็นส่วนมาก และชุดว่ายน้ำที่ว่าก็เริ่มน้อยชิ้นลงเรื่อยๆ กลายเป็น “บิกินี่” สองชิ้นเปิดเห็นลาดหน้าท้องและสะดือ
การถ่ายทำนิยมถ่ายภาพกลางแจ้ง ใช้แสงธรรมชาติเสียเป็นส่วนมาก อาจจะเป็นเพราะการถ่ายภาพในสตูดิโอยังไม่เป็นที่นิยมและไม่มีผู้ชำนาญมากนัก
ปฏิทิน “แม่โขง” มาทำแปลกแหวกแนวในช่วงกลาง ๆ ราวยี่สิบปีก่อน และเป็นเพียงชุดเดียวที่มีฝรั่ง ไม่ระบุว่าเป็นชาติไหน เป็นนางแบบ ถึงคราวนี้ ถอดเสื้อถอดผ้าเรียบร้อย นางหนึ่งยืนเต้นบัลเล่ต์อยู่บนชายหาด มีดอกไม้ ปลอม แปะไว้บนเนินอก และของลับ อีกนางหนึ่ง ถ่ายภาพในห้อง ใส่กางเกงแต่ไม่ใส่เสื้อเอาท่อนแขนบังไว้ หันหน้ามายิ้มหวานให้กล้อง แต่จากปีนั้นเรื่อยมาก็เป็นนางแบบไทยล้วน มาอีกครั้งก็เมื่อมีนางแบบไทยยอมถอดผ้าหมด เข้าไปถ่ายกันที่โรงแรมมณเฑียรสมัยนั้นเป็นสองภาพเด่น แต่ทว่าได้เห็นแค่แผ่นหลังของเธอ อีกภาพเข้าไปถ่ายกันในห้องอาบน้ำของโรงแรมเดียวกันนั่นเอง โดยใช้ม่านพลาสติกปิดบังร่างกายเอาไว้ จากนั้นมาอีกหลายปี แฟนปฏิทิน “แม่โขง” ก็ได้เห็นส่วนสัดของนางแบบมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ถึงกับเปลือยเปิดอกเปิดใจกันจนหมด แค่ผ้าหลุดแล้วเอามือเหนี่ยวไว้บ้าง ใส่เสื้อรัดรึงให้เห็นส่วนสัดให้คนดูคิดเอาเอง
มาถอดกันหมดจริงจังในยุคหลังสุดหลังจากปี พ.ศ. 2525 เรื่อยมา เป็นยุคที่หนังสือโป๊แบบจะแจ้งเกลื่อนเมือง ความซ่าของปฏิทินอย่างว่าจึงเพิ่มดีกรีตามไปด้วย คราวนี้ไม่ว่าจะเป็นนมต้ม หรือไรขนก็มีให้ชมกันจนเพลิน เพียงแค่นางแบบกระมิดกระเมี้ยนไว้ด้วยอาภรณ์ชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้นเรื่องหน้าอกหน้าใจเป็นอันหายห่วง จินตนาการหมดความหมายไปอีกคืบ ทั้งนางแบบรุ่นใหม่หุ่นอ้อนแอ้นขึ้นอีกหลายเท่า ตามรสนิยมที่เปลี่ยนไปของชายไทย
จะเห็นได้ว่า จากต้นกำเนิดเหล้าสียี่ห้อแรกของใช้ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นชาตินิยม ถูกกลายสภาพเป็นการนำเสนอศิลปะบนเรือนร่างของหญิงสาวในรูปแบบของภาพนู๊ด และภาพโป๊ะ เพื่อสร้างแรงกระตุ้นในการขายสินค้า นั้นคือวิถีการตลาดที่สร้างภาพตัวแทนใหม่ให้กับเหล้าแม่โขง
********

















