กลยุทธ์การเทรดหุ้นเชิงวิชาการ
ในการลงทุนในหลักทรัพย์กับการกำหนดกลยุทธ์ ดังนี้
- เมื่อวิเคราะห์ว่าหุ้นจะขึ้น ให้หยุดขาย กลับเป็นซื้อให้มาก
- เมื่อวิเคราะห์ว่าหุ้นจะลง ให้หยุดซื้อ กลับเป็นขายให้มากที่สุด
- เมื่อขายหุ้นหนึ่งไปแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบหาซื้อหุ้นใหม่ทันที แต่จะซื้อก็ต่อเมื่อวิเคราะห์แล้วว่าหุ้นตัวนั้นๆ น่าจะมีแนวโน้มขึ้นเท่านั้น
- ในสภาวะตลาดขาขึ้น สัญญาณซื้อจะมีน้ำหนักมากกว่าสัญญาณขาย ดังนั้นเมื่อมีสัญญาณซื้อ ควรซื้อให้มากพอในราคาที่เหมาะสมกับช่วงนั้นๆ โดยไม่ลังเล เมื่อหุ้นขึ้นไปแล้วมีการปรับตัว หากยังซื้อไม่เต็มที่ ครั้งนี้ก็เป็นจังหวะให้เข้าซื้อเพิ่ม
การปรับตัวบางครั้งอาจปรับตัวจนเกิดเป็นสัญญาณขายระยะสั้นจากสัญญาณทางเทคนิคบางตัว หากสัญญาณที่แสดงแนวโน้มยังไม่เปลี่ยน ควรมีความมั่นคงของจิตใจว่าสัญญาณขายในขาขึ้นนั้นมีน้ำหนักน้อยกว่าสัญญาณซื้อ ดังนั้นสัญญาณขายนั้นอาจเป็นสัญญาณขายลวง โดยเฉพาะเมื่อมีปริมาณการซื้อขายไม่มากในขณะที่มีสัญญาณขาย และหากขายไปแล้วหุ้นกลับขึ้นอาจทำให้ซื้อหุ้นไม่ทันเสียของไปเลย หากซื้อทันก็อาจมีส่วนต่างที่ไม่คุ้มกับค่านายหน้า
- ในสภาวะตลาดขาลง สัญญาณขายจะมีน้ำหนักมากกว่าสัญญาณซื้อ ดังนั้นเมื่อมีสัญญาณขายก็ควรขายในราคาที่เหมาะสมในเวลานั้นโดยไม่ลังเล และหากมีการปรับตัวขึ้นจนเกิดเป็นสัญญาณซื้อระยะสั้น สัญญาณซื้อนั้นอาจเป็นสัญญาณซื้อ
โดยเฉพาะเมื่อมีปริมาณการซื้อขายไม่มากในขณะที่มีสัญญาณซื้อ ซึ่งที่จริงลวง เป็นจังหวะให้ขายอีกครั้งมากกว่าในสภาวะตลาดขาขึ้น หากต้องการปรับการถือครองหุ้น ควรจะซื้อหุ้นที่หมายตาไว้ ก่อนที่จะขายหุ้นที่ต้องการขายออกไป
- ในสภาวะตลาดขาลง หากต้องการปรับการถือครองหุ้น ควรจะขายหุ้นที่ต้องการขายออกไป ก่อนที่จะซื้อหุ้นที่หมายตาไว้เข้ามา
- อย่าซื้อหุ้นโดยที่ยังไม่ได้วิเคราะห์ก่อน นักลงทุนจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อของความโลภ เช่น มีเพื่อนหรือเจ้าหน้าที่การตลาดชวนซื้อหุ้น โดยบอกว่าหุ้นนั้นๆ กำลังไล่กันอยู่ ราคาจะวิ่งขึ้นไปเท่านั้นเท่านี้ ถ้าไม่รีบจะซื้อไม่ทัน เป็นต้น ควรถือคติที่ว่า “น้ำลายไหลดีกว่าน้ำตาตก
- การขายหุ้น ไม่ควรคิดถึงต้นทุนที่เราซื้อมา เพราะถ้าราคาปัจจุบันสูงกว่ามาก ขายแล้วจะได้กำไรมาก อาจทำให้เราตั้งราคาถูกกว่าที่ควรจะเป็น หากราคาปัจจุบันต่ำกว่ามาก ถ้าขายแล้วจะทำให้เราขาดทุนมาก อาจทำให้ตัดใจยากแล้วตั้งราคาขายสูงกว่าที่ควร ทำให้ขายไม่ได้ ต้องติดหุ้นราคาสูงต่อไป ซึ่งที่จริงไม่ควรคิดถึงต้นทุนที่เราซื้อมา จะทำให้เราตั้งราคาขายให้เหมาะกับสภาวะที่แท้จริงได้
- การซื้อหุ้น ไม่ควรคิดถึงราคาในอดีตที่เราเคยซื้อมาก่อน เพราะหากราคาปัจจุบันสูงกว่าราคาที่เราเคยซื้อมามาก จะทำให้เราทำใจในการเข้าซื้อยาก เราอาจตั้งซื้อต่ำกว่าที่ควรจะเป็น แต่หากราคาปัจจุบันต่ำกว่าราคาที่เราเคยซื้อมามาก จะทำให้เราอยากเข้าซื้อมากเกินไป เราอาจตั้งซื้อสูงกว่าที่ควรจะเป็น
- อย่าซื้อขายหุ้นมากตัวเกินไป การซื้อขายหุ้นมากตัวเกินไปอาจทำให้คุณผิดพลาดในการควบคุมดูแล และคุณอาจเกิดความสับสนและตั้งสติไม่ทันกับ“ความโกลาหล” ในการซื้อขายหุ้น ถ้าจะกล่าวไปแล้วคุณก็คงเข้าใจได้ว่าภาวะตลาดในแต่ละวันนั้นแตกต่างกันไป บางวันน่าซื้อนิดหน่อย บางวันน่าซื้อมาก บางวันไม่น่าซื้อเลยแต่น่าขาย รวมทั้งบางวันไม่น่าซื้อและไม่น่าขายเลยควรอยู่เฉยๆ เพราะ
ฉะนั้น คุณจึงควรซื้อขายหุ้นตามภาวะตลาดที่เป็นจริง ไม่ควรซื้อขายหุ้นตามอารมณ์คึกคะนอง หรือประเภทอดไม่ได้คันไม้คันมือซื้อขายหุ้นโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ใจความสำคัญของกฎข้อนี้ก็คือ ไม่ให้คุณซื้อขายหุ้นโดยไม่จำเป็น คือไม่จำเป็นที่จะต้องเสี่ยงเหมือนเล่นการพนัน
- ต้องรู้จักหยุดยั้งการขาดทุน (Stop loss) หากมีความจำเป็นต้องขายตัดการขาดทุน (Cut loss) อย่าทำผิดพลาดเหมือนนักลงทุนส่วนใหญ่ที่มักจะขายหุ้นที่มีกำไรออกก่อน และเก็บหุ้นที่ขาดทุนไว้เพราะตัดใจขายไม่ได้ ที่จริงควรขายหุ้นที่วิเคราะห์แล้วว่าจะมีอัตราการลงมากที่สุดก่อน เพราะหุ้นเหล่านี้จะทำให้เราเสียหายมากกว่าหุ้นที่ยังมีกำไร ซึ่งมักเป็นหุ้นที่มีความแข็งแกร่งมากกว่า และหุ้นที่มีความแข็งแกร่งกว่าเวลาตลาดปรับตัวลงก็จะลงเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยกว่า
- ต้องรู้จักสะสมกำไร (let profit run) เมื่อซื้อหุ้นเพราะวิเคราะห์แล้วว่าหุ้นนั้นมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ควรปล่อยให้แนวโน้มนั้นทำกำไรให้เราจนกว่าจะเห็นว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มจึงขายหุ้นออกให้หมด
- อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน ถ้าราคาหุ้นในมือของคุณสูงขึ้นจนคุณมีกำไร เช่น ราคาหุ้นปรับจาก 50 บาทเป็น 62 บาท มีกำไรต่อหุ้น 12 บาท แล้วยังมีแนวโน้มขึ้นต่อ คุณก็ควรกำหนดว่าต้องการกำไรเท่าใด หากต้องการกำไรไม่น้อยกว่า 10 บาท คุณก็ควรกำหนดว่าหากราคากลับลงมาที่ 60 บาทให้ขายทันที หากโชคดีคุณก็อาจมีกำไรมากกว่านั้นมาก หากโชคไม่ดีหุ้นกลับลงมาคุณก็จะมีกำไรอย่างน้อย 10 บาท เป็นการปิดทางที่คุณจะได้กำไรน้อยกว่า 10 บาทออกไปด้วย
และโอกาสที่คุณขาดทุนก็จะหมดไปอย่างสิ้นเชิง ในทางกลับกัน ถ้าคุณไม่ถือกฎเกณฑ์นี้ หากหุ้นกลับลงมาก็อาจทำให้กำไรที่มีอยู่กลับขาดทุนได้เมื่อราคาหุ้นลดลงมาเรื่อยๆ จาก 62 บาท และในที่สุดอาจเหลือเพียง 46 บาท กำไรที่คุณเคยได้รับเป็นตัวเลขไม่น้อยกว่า 10 บาท ก็กลายเป็นขาดทุนหุ้นละ 4 บาทได้ ดังนั้นควรพอใจในการทําก้าไรที่ได้รับระดับหนึ่ง
- อย่าซื้อขายหุ้นโดยไม่มองแนวโน้มตลาด เมื่อคุณไม่แน่ใจในภาวะตลาดจงออกจากตลาด และอย่าเข้าตลาดหากคุณไม่มั่นใจ การเล่นหุ้นเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ตลาดหุ้นมีความผันแปรเปลี่ยนแปลงชนิดนาทีต่อนาที ตามปัจจัยทั้งที่มีคนควบคุมและปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ดังนั้นถ้าไม่มั่นใจก็ไม่ควรเข้าตลาด หรือหากคุณมีหุ้นอยู่ในพอร์ตแล้วเกิดความไม่แน่ใจในภาวะตลาด ก็ควรออกจากตลาดโดยการขายหุ้นล้างพอร์ตไปเสียก่อน หรืออย่างน้อยก็ควรลดพอร์ตลงบางส่วน
- ไม่ควรทุ่มเทเงินทั้งหมดลงไปในหุ้นเพียงตัวใดตัวหนึ่ง ควรกระจายความเสี่ยงไปกับหุ้นในแต่ละกลุ่มที่มีแนวโน้มที่ดีในจำนวนที่เราสามารถควบคุมดูแลได้อย่างไม่หนักใจ ถ้าคุณเป็นนักเล่นหุ้นที่รอบคอบ ก็ไม่ควรเล่นหุ้นเพียงตัวใดตัวหนึ่งโดยใช้เงินทุนทั้งหมด เพราะหุ้นเพียงตัวเดียวนั้นถ้าราคาปรับลดลงคุณก็จะเสียหายเต็มที่ แต่หากคุณกระจายความเสี่ยงโดยแบ่งเงินลงทุนในหุ้น 3 ถึง 5 ตัวและกระจายกลุ่มด้วย คุณก็จะไม่เสี่ยงมากจนเกินไป เพราะในขณะที่หุ้นบางตัวตก แต่หุ้นบางตัวอาจปรับขึ้น ก็อาจชดเชยความเสียหายได้บ้างไม่ต้องเสียหายทั้งหมด
- อย่ากำหนดค่าสั่งซื้อขายของคุณไว้ตายตัว จงซื้อขายตามภาวะตลาด นักเล่นหุ้นบางคนมักจะกำหนดเป้าหมายราคาซื้อหรือราคาขายหุ้นไว้แบบตายตัว ไม่ยืดหยุ่นไปตามภาวะตลาดที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ ซึ่งจะทำให้เสียโอกาสในการซื้อหรือขายหุ้นไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งนี้เพราะโดยนิสัยของนักเล่นหุ้นทั่วไปมักกลัวซื้อของแพง จึงมักตั้งราคาซื้อไว้ค่อนข้างต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หรืออยากได้กำไรมากๆ จึงมักจะตั้งราคาขายไว้สูงกว่าที่ควรจะเป็น แต่ภาวะตลาดที่เป็นจริงนั้นจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้เสมอไป ดังนั้นโดยเหตุผลแล้วคุณจึงควรยืดหยุ่นไปตามภาวะตลาดมากกว่าจํากัดตายตัวลงไป
- หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ไม่ดีก็มีวันของมัน หุ้นทุกตัวย่อมมีวันของมันทั้งนั้น อย่าดูถูกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ไม่ดี เพียงแต่การเข้าซื้อขายอาจมีความเสี่ยงมากกว่าหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ไม่ดีเมื่อถึงเวลาของมัน หุ้นเหล่านี้ก็มีสิทธิที่ราคาจะวิ่งขึ้นได้ดีกว่าหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีแต่ยังไม่ถึงเวลา แต่ต้องระวังเมื่อตลาดเป็นขาลง ราคาหุ้นก็มักตกลงมากกว่าตัวอื่นๆ
- อย่าผูกพัน ชอบ หรือเกลียดหุ้นใดหุ้นหนึ่งจนเกินไป เช่น เคยซื้อหุ้นนั้นแล้วขาดทุน ก็พยายามหาจังหวะแก้แค้น ซึ่งมักจะทำให้เราเสียเวลามากเป็นพิเศษและมักมีอคติกับหุ้นตัวนั้น ทำให้การวิเคราะห์ไม่เป็นกลางเกิดความผิดพลาดได้ง่าย ควรจะวิเคราะห์หาหุ้นที่น่าจะทำกำไรได้โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นหุ้นตัวนั้นๆ
- อย่าซื้อเฉลี่ยในตลาดขาลงหรือซื้อเฉลี่ยการขาดทุนหากคุณติดหุ้นในราคาสูง เมื่อราคาหุ้นได้ลดลงมามากแล้วคุณคิดจะซื้อเพื่อเฉลี่ย จะเท่ากับคุณได้เพิ่ม พอร์ตหุ้นที่คุณขาดทุนมากขึ้น ในขณะที่ต้นทุนเฉลี่ยของคุณจะยังคงสูงกว่าราคาตลาด แทนที่จะเป็นการแก้ปัญหา กลับทำให้คุณนำเงินทุนเข้าไปติดกับดักสภาพคล่องมากขึ้น เป็นข้อห้ามที่หลายๆ ตำราได้กล่าวไว้ว่า การแก้ปัญหานั้นต้องวิเคราะห์ว่าหุ้นนั้นๆ มีแนวโน้มเป็นอย่างไร หากหุ้นนั้นไม่มีวี่แววว่าจะเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาขึ้นก็น่าจะขายทิ้ง แล้วนำเงินไปลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มขาขึ้น เป็นการสร้างโอกาสที่จะทำกำไรจะดีกว่า
- ควรปรับพอร์ตเป็นระยะเพื่อให้หุ้นในพอร์ตมีความแข็งแกร่งกว่าตลาดรวม เมื่อหุ้นใดในพอร์ตมีแนวโน้มราคาลดลง ก็ควรขายทิ้ง และเมื่อวิเคราะห์ว่าหุ้นใดมีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้นก็อาจซื้อเข้าพอร์ต แต่ไม่ควรมีหุ้นในพอร์ตมากเกินกว่าจะดูแลได้
- ควรหาวิธีลงทุนให้ปราศจากความกลัวและมีความสุข ถ้ามองกันให้ดีเราทุกคนล้วนเป็นนักลงทุน เพียงแต่จะลงทุนในเรื่องอะไรเท่านั้น แม้แต่การฝากเงินในธนาคารก็เป็นการลงทุนเช่นกัน ดังนั้นจะเห็นว่าในชีวิตของแต่ละคนมีมากกว่าครึ่งหนึ่งที่เราต้องลงทุน และการลงทุนให้ปราศจากความกลัว (trading without fear) และมีความสุขก็ไม่ยากอย่างที่คิด
คนเรามีความกลัวในสิ่งใดก็เพราะความไม่รู้ในสิ่งนั้น การลงทุนในหลักทรัพย์ให้ปราศจากความกลัวก็ควรจะศึกษาการวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้ถ่องแท้ ศึกษาถึงความน่าจะเป็น ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นไปตามที่เราวิเคราะห์ เพียงแต่เดินตามทางของโอกาสที่มีมากกว่าเท่านั้น ส่วนเรื่องลงทุนอย่างไรให้มีความสุขนั้น ความสุขเกิดได้จากความพอใจ หากเรามีความพอใจ เราก็มีความสุข เราจะมีความพอใจได้ก็ต้องรู้จักมองสรรพสิ่งตามสภาพที่เป็นจริง อย่าหวังอะไรเกินจริง เราก็จะพอใจในผลของการลงทุนได้







