ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมการบริโภคเนื้อสุนัข: การสำรวจข้ามทวีปและยุคสมัย
ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมการบริโภคเนื้อสุนัข: การสำรวจข้ามทวีปและยุคสมัย
ความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างมนุษย์กับสุนัขในฐานะอาหาร
การศึกษาการบริโภคเนื้อสุนัข หรือที่เรียกว่า "cynophagy" ในเชิงมานุษยวิทยา เผยให้เห็นความสัมพันธ์อันซับซ้อนและหลากหลายระหว่างมนุษย์กับสุนัข การปฏิบัตินี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่จำกัดอยู่แค่ในภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง แต่มีรากฐานที่หยั่งลึกในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทั่วโลก ทว่ากลับถูกมองในมุมที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ในขณะที่บางวัฒนธรรมมองว่าเนื้อสุนัขเป็นอาหารอันโอชะตามประเพณีหรือเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม ในอีกหลายวัฒนธรรมกลับมองว่าการบริโภคสุนัขเป็นข้อห้ามทางสังคมที่รุนแรง การศึกษาเรื่องนี้จึงเป็นเสมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่า บรรทัดฐาน และความเชื่อที่แตกต่างกันของมนุษยชาติ ในปี 2014 มีการประมาณการว่ามนุษย์บริโภคสุนัขมากถึง 25 ล้านตัวต่อปีทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขนาดและความสำคัญของการปฏิบัตินี้ในยุคสมัยใหม่ บทความนี้จะสำรวจปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างรอบด้าน ตั้งแต่รากฐานทางประวัติศาสตร์ในอารยธรรมโบราณ บริบทของการบริโภคเพื่อความอยู่รอดในยามวิกฤต พลวัตทางวัฒนธรรมและข้อถกเถียงในยุคปัจจุบัน ไปจนถึงสถานะทางกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างถ่องแท้ จำเป็นต้องย้อนกลับไปสำรวจรากเหง้าของการปฏิบัติที่หยั่งลึกอยู่ในอารยธรรมยุคแรกเริ่มของมนุษยชาติ
1. รากฐานทางประวัติศาสตร์ในอารยธรรมโบราณ
การตรวจสอบบันทึกทางโบราณคดีและเอกสารทางประวัติศาสตร์เผยให้เห็นว่า บทบาทของสุนัขในฐานะแหล่งอาหารนั้นถูกบูรณาการอย่างลึกซึ้งเข้ากับโครงสร้างทางโภชนาการ พิธีกรรม และสังคมของอารยธรรมโบราณหลายแห่งทั่วโลก การบริโภคเนื้อสุนัขจึงไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตมนุษย์ที่สุนัขมีบทบาทหลากหลาย ไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนคู่ใจในการล่าสัตว์ แต่ยังเป็นสัตว์ในพิธีสังเวยและเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญอีกด้วย
1.1 อารยธรรมเมโสอเมริกา
ในภูมิภาคเมโสอเมริกา หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่าการบริโภคเนื้อสุนัขเป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมมายาและแอซเท็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุนัขพันธุ์เม็กซิกันแฮร์เลส (Mexican Hairless Dog) หรือที่รู้จักกันในชื่อ โซโลอิตซ์คูอินทลี (Xoloitzcuintli) ซึ่งถูกเพาะพันธุ์ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการบริโภคโดยเฉพาะ เอร์นัน กอร์เตส ผู้พิชิตชาวสเปนซึ่งเป็นศัตรูของจักรวรรดิแอซเท็ก อ้างว่า เขาได้บันทึกไว้ในจดหมายเมื่อเดินทางถึงเมืองหลวงเตนอชติตลันในปี 1519 ว่าเขาได้พบเห็น "สุนัขตัวเล็กที่ถูกตอนเพื่อเลี้ยงไว้เป็นอาหาร" วางขายอยู่ในตลาดของเมือง อย่างไรก็ตาม ไม่มีแหล่งข้อมูลอื่นใดที่ยืนยันถึงการปฏิบัติดังกล่าวนี้
1.2 ชนพื้นเมืองอเมริกันเหนือ
วัฒนธรรมการบริโภคเนื้อสุนัขในหมู่ชนพื้นเมืองอเมริกันเหนือมีความแตกต่างกันไปในแต่ละชนเผ่า บางชนเผ่าในแถบเกรตเพลนส์ เช่น ซู (Sioux) และไชแอน (Cheyenne) นิยมบริโภคเนื้อสุนัขและมองว่าเป็นอาหารอันโอชะที่เสิร์ฟในโอกาสพิเศษ ในทางตรงกันข้าม ชนเผ่าอื่น ๆ เช่น โคแมนชี (Comanche) กลับมองว่าเนื้อสุนัขเป็นอาหารต้องห้าม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและบรรทัดฐานที่แตกต่างกัน แม้จะอยู่ในภูมิภาคเดียวกันก็ตาม
1.3 ยุโรปโบราณ
ในทวีปยุโรป บันทึกของนักเขียนชาวละตินหลายคน เช่น โอวิด (Ovid) พลูทาร์ก (Plutarch) และพลินี (Pliny) ได้กล่าวถึงการใช้ลูกสุนัขในพิธีกรรมสังเวยเทพเจ้า โดยเฉพาะเทพเจ้าแห่งยมโลก และเพื่อเป็นการบวงสรวงขอความคุ้มครองพืชผลทางการเกษตร หลังจากเสร็จสิ้นพิธีกรรม เนื้อของลูกสุนัขเหล่านั้นก็จะถูกนำมาปรุงและบริโภคต่อไป ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการบริโภคสุนัขในยุโรปโบราณมักผูกพันกับความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนา
1.4 ออสโตรนีเซียและโอเชียเนีย
สำหรับชาวออสโตรนีเซียนที่อพยพข้ามหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก บทบาทของสุนัขได้เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม บนเกาะขนาดเล็กในพอลินีเชียซึ่งมีทรัพยากรจำกัด สุนัขได้สูญเสียความสำคัญในฐานะสัตว์ช่วยล่าสัตว์และกลายเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญแทน ในบันทึกของกัปตันเจมส์ คุก เมื่อครั้งเดินทางมาถึงตาฮิติในปี 1769 เขาได้บันทึกไว้ในสมุดบันทึกว่า "...มีพวกเราเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่ยอมรับว่าสุนัขทะเลใต้มีรสชาติเป็นรองแค่เนื้อแกะอังกฤษ" (“...few were there of us but what allow'd that a South Sea Dog was next to an English Lamb...”) มุมมองนี้สะท้อนให้เห็นว่าในสายตาของนักสำรวจชาวยุโรปยุคแรก การบริโภคเนื้อสุนัขในบริบททางวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไปเป็นสิ่งที่พบเห็นได้
การบริโภคสุนัขในยุคโบราณจึงมักเกิดจากความจำเป็นทางโภชนาการและเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นบริบทที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการบริโภคเพื่อความอยู่รอดในยามวิกฤต
2. สุนัขในฐานะอาหารเพื่อความอยู่รอด: บริบทแห่งความขัดสนและการสำรวจ
นอกเหนือจากการบริโภคตามประเพณีวัฒนธรรมแล้ว ประวัติศาสตร์ยังบันทึกเหตุการณ์มากมายที่มนุษย์ต้องหันมาบริโภคเนื้อสุนัขในฐานะแหล่งอาหารสุดท้ายเพื่อความอยู่รอด สถานการณ์เหล่านี้มักเกิดขึ้นในภาวะสงคราม ความอดอยาก หรือระหว่างการเดินทางสำรวจที่ยากลำบาก ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวของมนุษย์เมื่อเผชิญกับความขัดสนอย่างรุนแรง และเป็นบริบทที่แตกต่างจากการบริโภคเชิงวัฒนธรรมโดยสิ้นเชิง
2.1 สงครามและความอดอยาก
ในประวัติศาสตร์ยุโรป การบริโภคเนื้อสุนัขกลายเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในยามสงครามหรือภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง เช่น ในเยอรมนีตั้งแต่สมัยพระเจ้าฟรีดริชมหาราช เนื้อสุนัขถูกบริโภคในทุกวิกฤตการณ์สำคัญและมักถูกเรียกขานด้วยชื่อ "เนื้อแกะแห่งการปิดล้อม" (blockade mutton) การปฏิบัตินี้ยังคงดำเนินต่อไปในช่วงการล้อมกรุงปารีส (1870–1871) และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 เนื่องจากภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนัก
2.2 การสำรวจและสถานการณ์ฉุกเฉิน
การเดินทางสำรวจดินแดนที่ไม่คุ้นเคยและห่างไกลมักเต็มไปด้วยความเสี่ยงต่อการขาดแคลนเสบียง ทำให้คณะสำรวจหลายกลุ่มต้องพึ่งพาสุนัขที่ร่วมเดินทางเป็นอาหารเพื่อความอยู่รอด
• คณะสำรวจของลิวอิสและคลาร์ก (1803–1806): ในระหว่างการสำรวจพื้นที่ฝั่งตะวันตกของอเมริกา สมาชิกในคณะสำรวจ (ยกเว้นวิลเลียม คลาร์ก) ได้บริโภคเนื้อสุนัขเป็นประจำ
• การสำรวจขั้วโลก: เรื่องราวของการสำรวจขั้วโลกใต้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
◦ โรอัลด์ อามุนด์เซน: นักสำรวจชาวนอร์เวย์วางแผนอย่างรอบคอบในการใช้สุนัขลากเลื่อนเป็น "เสบียงเคลื่อนที่" เขาจะฆ่าสุนัขที่อ่อนแอกว่าเพื่อเป็นอาหารให้แก่สุนัขตัวอื่นและสมาชิกในทีม กลยุทธ์นี้ช่วยลดน้ำหนักของสัมภาระและเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาเดินทางไปถึงขั้วโลกใต้ได้สำเร็จเป็นคนแรก
◦ ดักลาส มอว์สัน: เรื่องราวของนักสำรวจชาวออสเตรเลียกลับกลายเป็นโศกนาฏกรรม หลังจากสูญเสียเสบียงส่วนใหญ่ไป มอว์สันและเพื่อนร่วมทีมต้องบริโภคสุนัขลากเลื่อนที่เหลืออยู่ แต่การบริโภคตับของสุนัขซึ่งมีวิตามินเอในปริมาณสูงมาก ได้นำไปสู่ภาวะวิตามินเอเกิน (Hypervitaminosis A) ซึ่งทำให้เพื่อนร่วมทีมของเขาเสียชีวิต และตัวเขารอดกลับมาได้อย่างหวุดหวิด
ในขณะที่การอยู่รอดเป็นตัวกำหนดการบริโภคในสถานการณ์ที่รุนแรงเหล่านี้ หลักคำสอนทางศาสนาที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมอื่น ๆ ได้สร้างอุปสรรคอันแข็งแกร่งต่อการปฏิบัติดังกล่าว ซึ่งหล่อหลอมกฎหมายด้านอาหารและข้อห้ามทางสังคมมาเป็นเวลานับพันปี
3. มุมมองทางศาสนาและข้อบัญญัติ
ศาสนาหลักบางศาสนามีบทบาทสำคัญในการกำหนดทัศนคติทางวัฒนธรรมต่อการบริโภคเนื้อสัตว์บางชนิด รวมถึงเนื้อสุนัข ซึ่งส่งผลให้เกิดข้อห้ามที่ยึดถือปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางในหมู่ผู้นับถือศาสนาเหล่านั้น ข้อบัญญัติเหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของบรรทัดฐานทางสังคมและกฎหมายในหลายประเทศ
• ศาสนายูดาห์: ตามหลักคัชรุต (Kashrut) หรือกฎหมายอาหารของชาวยิว สัตว์บกที่สามารถบริโภคได้จะต้องเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องและมีกีบเท้าแยก สุนัขไม่เข้าข่ายคุณสมบัติดังกล่าว ดังนั้นเนื้อสุนัขจึงถือเป็นสิ่งต้องห้าม (treif) และไม่โคเชอร์
• ศาสนาอิสลาม: โดยทั่วไปแล้ว เนื้อสุนัขและสัตว์กินเนื้อที่มีเขี้ยวจะถูกจัดว่าเป็น ฮะรอม (Haram) หรือสิ่งต้องห้ามบริโภคตามหลักกฎหมายอิสลาม อย่างไรก็ตาม มีความเห็นที่แตกต่างกันในบางสำนัก โดยสำนักมาลิกี (Maliki) มองว่าการบริโภคเนื้อสุนัขเป็นเพียง มักรูฮ์ (Makruh) ซึ่งหมายถึงสิ่งที่น่ารังเกียจหรือไม่พึงประสงค์ แต่ไม่ถึงกับเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด
ข้อบัญญัติทางศาสนาเหล่านี้เป็นรากฐานของข้อห้ามทางวัฒนธรรมในหลายสังคม แต่ในยุคสมัยใหม่ ทัศนคติและกฎหมายเกี่ยวกับการบริโภคเนื้อสุนัขมีความหลากหลายและซับซ้อนยิ่งกว่านั้นมาก
4. การปฏิบัติในยุคสมัยใหม่: พลวัตทางวัฒนธรรมและสถานะทางกฎหมาย
ในศตวรรษที่ 21 การบริโภคเนื้อสุนัขได้กลายเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงอย่างกว้างขวางและมีความซับซ้อนสูง โดยสะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างแนวคิดสัมพัทธภาพทางวัฒนธรรม (cultural relativism) กับบรรทัดฐานสวัสดิภาพสัตว์ที่เป็นสากล (globalized animal welfare norms) พลวัตของการปฏิบัตินี้แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ตั้งแต่การเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่ฝังแน่นในวัฒนธรรม ไปจนถึงการถูกต่อต้านอย่างรุนแรงและถูกสั่งห้ามโดยกฎหมาย
4.1 เอเชีย
ทวีปเอเชียเป็นศูนย์กลางของข้อถกเถียงเรื่องการบริโภคเนื้อสุนัข โดยมีแนวโน้มและสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเทศ
• จีนแผ่นดินใหญ่: เทศกาลกินเนื้อสุนัขที่เมืองยู่หลินยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่แนวโน้มการบริโภคโดยรวมกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายในบางพื้นที่ เช่น เมืองเซินเจิ้นและจูไห่ได้ออกกฎหมายห้ามการบริโภคเนื้อสุนัขและแมวในปี 2020
• คาบสมุทรเกาหลี: ในเกาหลีเหนือ เนื้อสุนัขที่เรียกว่า ทังโกกี (dangogi) หรือ "เนื้อหวาน" ยังคงเป็นอาหารที่นิยม ในทางตรงกันข้าม เกาหลีใต้ซึ่งเคยบริโภค โพชินทัง (boshintang) หรือ "ซุปบำรุงร่างกาย" ที่ทำจากเนื้อสุนัข (แกโกกี) ตามความเชื่อ อียอลชียอล ("ใช้ความร้อนรักษาความร้อน") เพื่อปรับสมดุลพลังงาน 'ชี่' ในช่วงฤดูร้อน ได้มีการบริโภคลดลงอย่างมาก และล่าสุดในเดือนมกราคม 2024 รัฐสภาได้ผ่านร่างกฎหมายห้ามการเพาะพันธุ์ การฆ่า และการจำหน่ายเนื้อสุนัขเพื่อการบริโภค ซึ่งจะมีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ในปี 2027
• เวียดนาม: ยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการบริโภคเนื้อสุนัขมากที่สุดในโลก โดยมีความเชื่อทางวัฒนธรรมว่าการบริโภคเนื้อสุนัขจะนำมาซึ่งโชคดี อย่างไรก็ตาม ปัญหาการลักขโมยสัตว์เลี้ยงเพื่อนำไปขายในตลาดค้าเนื้อได้กลายเป็นปัญหาสังคมที่รุนแรง
• เอเชียตะวันออกเฉียงใต้:
◦ ฟิลิปปินส์: มีกฎหมายห้ามการฆ่าและจำหน่ายเนื้อสุนัขมาตั้งแต่ปี 1998 โดยมีข้อยกเว้นสำหรับการประกอบพิธีกรรมของชนพื้นเมือง
◦ อินโดนีเซีย: การบริโภคมีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่ม เช่น บาตัก (Batak) และมีนาฮาซา (Minahasa) ซึ่งมีอาหารจานเด่นอย่าง ซักซัง "B1" (โดย "Biang" เป็นภาษาบาตักแปลว่าสุนัข) และ ริกา-ริกา "RW" (โดย "RW" ย่อมาจาก "Rintek Wuuk" ภาษาถิ่นมีนาฮาซาที่แปลว่า "ขนละเอียด" เพื่อเลี่ยงการกล่าวถึงโดยตรง)
◦ ไทย: ได้ผ่านพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 ซึ่งทำให้การค้าและการบริโภคเนื้อสุนัขเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
• อินเดียและไต้หวัน:
◦ อินเดีย: การบริโภคเกิดขึ้นในบางรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น นาคาแลนด์ ซึ่งเคยมีคำสั่งห้ามจำหน่ายเนื้อสุนัข แต่ศาลสูงได้มีคำสั่งยกเลิกในปี 2023 โดยให้เหตุผลว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งของฝ่ายบริหาร "โดยไม่มีกฎหมายใดที่ผ่านโดยสภานิติบัญญัติ" และระบุว่าการปฏิบัตินี้เป็น "บรรทัดฐานและอาหารที่ยอมรับกันในหมู่ชาวนาคาแลนด์"
◦ ไต้หวัน: กลายเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกที่ออกกฎหมายห้ามการบริโภค การซื้อ และการขายเนื้อสุนัขและแมวอย่างเป็นทางการในปี 2017
4.2 แอฟริกา ยุโรป และอเมริกา
• แอฟริกา: ในบางประเทศ เช่น ไนจีเรียและกานา การบริโภคเนื้อสุนัขยังคงมีอยู่ โดยมักเชื่อมโยงกับความเชื่อด้านยาและพิธีกรรมทางวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่ม
• ยุโรปและอเมริกา:
◦ สวิตเซอร์แลนด์: การจำหน่ายเนื้อสุนัขในเชิงพาณิชย์เป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่กฎหมายอนุญาตให้ประชาชนสามารถฆ่าและบริโภคสุนัขของตนเองได้เป็นการส่วนตัว
◦ สหรัฐอเมริกา: ในปี 2018 ได้มีการออกกฎหมาย Dog and Cat Meat Trade Prohibition Act ซึ่งห้ามการฆ่า ซื้อขาย และขนส่งสุนัขและแมวเพื่อการบริโภคของมนุษย์ในระดับสหพันธรัฐ โดยมีข้อยกเว้นสำหรับพิธีกรรมทางศาสนาของชนพื้นเมืองอเมริกัน
ประเทศ/ดินแดน |
การฆ่าและจำหน่าย |
การบริโภค |
จีน |
ถูกกฎหมาย (ยกเว้นเซินเจิ้นและจูไห่) |
ถูกกฎหมาย (ยกเว้นเซินเจิ้นและจูไห่) |
ผิดกฎหมายตั้งแต่ปี 2027 |
ผิดกฎหมายตั้งแต่ปี 2027 |
|
ฟิลิปปินส์ |
ผิดกฎหมาย (ยกเว้นพิธีกรรมของชนพื้นเมือง) |
ไม่ได้ถูกระบุไว้ในกฎหมายโดยตรง |
ไทย |
ผิดกฎหมาย |
ผิดกฎหมาย |
ไต้หวัน |
ผิดกฎหมาย |
ผิดกฎหมาย |
สวิตเซอร์แลนด์ |
ผิดกฎหมาย (เชิงพาณิชย์) |
ถูกกฎหมาย (ส่วนบุคคล) |
ผิดกฎหมาย (ยกเว้นพิธีกรรมของชนพื้นเมืองอเมริกัน) |
โดยนัยแล้วผิดกฎหมายผ่านการห้ามค้า |
นอกเหนือจากความซับซ้อนของการบริโภคเนื้อแล้ว ประวัติศาสตร์ของ cynophagy ยังเป็นเรื่องราวของการคัดเลือกสายพันธุ์เพื่อวัตถุประสงค์ทางอาหารโดยเฉพาะ และการใช้ผลิตภัณฑ์จากสุนัขในทางการแพทย์แผนโบราณ ซึ่งเผยให้เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสุนัขที่กว้างขวางยิ่งขึ้น
5. สายพันธุ์สุนัขและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ
ตลอดประวัติศาสตร์ มีการเพาะพันธุ์สุนัขบางสายพันธุ์ขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการบริโภคโดยเฉพาะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสุนัขถูกมองในฐานะปศุสัตว์เช่นเดียวกับสัตว์ชนิดอื่น ๆ นอกจากนี้ ส่วนต่าง ๆ ของสุนัขยังถูกนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่น ๆ นอกเหนือจากการเป็นอาหารโดยตรงอีกด้วย
5.1 สายพันธุ์สุนัขที่ใช้เพื่อการบริโภค
มีสุนัขหลายสายพันธุ์ที่ถูกเพาะพันธุ์ขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งอาหารโดยเฉพาะในวัฒนธรรมต่าง ๆ:
• นู렁이 (Nureongi): เป็นสุนัขพันธุ์พื้นเมืองของเกาหลีที่มักถูกเลี้ยงในฟาร์มเพื่อนำเนื้อมาบริโภคโดยเฉพาะ
• โซโลอิตซ์คูอินทลี (Xoloitzcuintli): หรือสุนัขพันธุ์เม็กซิกันแฮร์เลส เป็นแหล่งอาหารสำคัญในสมัยจักรวรรดิแอซเท็ก
• สุนัขพันธุ์ฮาวายเอี้ยนปอย (Hawaiian Poi Dog): เป็นสุนัขพันธุ์พื้นเมืองของฮาวายที่ถูกเลี้ยงไว้เป็นอาหาร แต่ปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปแล้ว
• เชาเชา (Chow Chow): ในประเทศจีน สุนัขพันธุ์เชาเชาเคยถูกเลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหาร โดยเฉพาะ "สุนัขขนสีดำซึ่งเป็นที่นิยมเนื่องจากรสชาติที่ดีเมื่อนำไปทอด"
5.2 ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ จากสุนัข
• ไขมันสุนัข: ในบางพื้นที่ของเอเชียกลางและโปแลนด์ มีการใช้ไขมันสุนัขเป็นยาพื้นบ้าน โดยเชื่อว่ามีสรรพคุณในการรักษาวัณโรค
• แกโซจู (Gaesoju): หรือที่เรียกว่า "ไวน์สุนัข" เป็นเครื่องดื่มจากเกาหลีใต้ที่ได้จากการนำสุนัขไปเคี่ยวกับสมุนไพรจีน มีชื่อเสียงในฐานะ "ยาบำรุงสมรรถภาพทางเพศที่ทรงพลังสำหรับผู้ชาย" และยังใช้เป็นยาพื้นบ้านเพื่อรักษาโรคหวัด
6. บทสรุป: การทบทวนปรากฏการณ์ข้ามวัฒนธรรม
การบริโภคเนื้อสุนัขเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่มีหลายมิติและซับซ้อนอย่างยิ่ง โดยมีแรงผลักดันที่แตกต่างกันไปตามบริบททางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศาสนา และความจำเป็นในการอยู่รอด จากหลักฐานในอารยธรรมโบราณที่สุนัขเป็นทั้งแหล่งโปรตีนและสัตว์ในพิธีกรรม ไปจนถึงการเป็นอาหารสุดท้ายในยามสงครามและความอดอยาก การปฏิบัตินี้ได้หยั่งรากลึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในหลากหลายรูปแบบ
ในยุคสมัยใหม่ แนวโน้มทั่วโลกชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางทัศนคติและกฎหมายอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสุนัข จากเดิมที่สุนัขถูกมองเป็นสัตว์ใช้งานหรือปศุสัตว์ มาสู่การเป็นสัตว์เลี้ยงและสมาชิกคนสำคัญในครอบครัวมากขึ้น ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดระหว่างการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมกับจริยธรรมที่เป็นสากล ซึ่งได้รับอิทธิพลจากกระแสโลกาภิวัตน์ การออกกฎหมายห้ามการบริโภคในไต้หวัน เกาหลีใต้ และบางเมืองในจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นเครื่องยืนยันถึงแนวโน้มดังกล่าว
ท้ายที่สุด การศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมการบริโภคเนื้อสุนัขไม่ได้เป็นเพียงการสำรวจพฤติกรรมการกินที่แตกต่าง แต่เป็นการทำความเข้าใจความซับซ้อนของค่านิยม บรรทัดฐาน และวิธีที่มนุษย์สร้างความสัมพันธ์กับโลกของสัตว์รอบตัว ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สะท้อนคุณค่าทางวัฒนธรรมอันหลากหลายของมนุษยชาติที่ยังคงเปลี่ยนแปลงและพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดนิ่ง
อ้างอิงจาก: Korean Journal of Food and Nutrition 12 397 – 408 (1999), "Vietnam's dog meat tradition". BBC News. 31 December 2001, Schwabe, Calvin W. (1979). Unmentionable cuisine. University of Virginia Press. p. 168. ISBN 978-0-8139-1162-5, "ธุรกิจเนื้อสุนัขอยู่รอดแม้จะมีการคัดค้าน" . Cambodianess . 25 สิงหาคม 2021.














