นทท.ญี่ปุ่นแห่ไปลาว เพื่อซื้อบริการทางเพศจากเด็ก 10 ขวบ
ในมุมเงียบสงบแห่งหนึ่ง ของกรุงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของประเทศลาว มีสถานที่ธรรมดาๆแห่งหนึ่งซ่อนอยู่ โดยหลังประตูบานหนึ่ง ก็มีห้องเรียนห้องหนึ่ง ที่คล้ายกับห้องเรียนประถมศึกษา ซึ่งเต็มไปด้วยเด็กผู้หญิงที่มีอายุเพียง 10 ขวบ
เจ้าหน้าที่ตำรวจของลาวกล่าวว่า "ผู้ชายชาวต่างชาติ เช่น จีน เกาหลีใต้ แต่ส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น พวกเขามักจะไปสถานที่ดังกล่าว เพื่อมีเซ็กส์กับเด็กผู้หญิงวัยประมาณ 10 ขวบ" และ "การค้าประเวณีเด็ก กลายเป็นปัญหาเร่งด่วนในลาว" และ "จากการตรวจสอบเราพบว่า พวกเขาติดต่อกันแล้วบอกพิกัดสถานที่ตั้ง ผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดีย หรือ บอกกันปากต่อปาก"
เมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้ สถานทูตญี่ปุ่นในลาว ได้ออกคำเตือนบนเว็บไซต์ โดยเรียกร้องให้พลเมืองหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วม ในกิจกรรมที่แสวงหาประโยชน์ โดยอ้างถึงความกังวลที่เกิดขึ้น จากการโพสต์บนโซเชียลมีเดีย
ซึ่งสถานทูตหลายๆประเทศ ก็ได้ออกมากล่าวเตือนว่า "การใช้บริการค้าประเวณีเด็ก ในต่างประเทศ ทุกประเทศมีโทษตามพระราชบัญญัติ ห้ามการค้าประเวณีเด็ก และ สื่อลามกเด็กในประเทศด้วย!!"
เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่น ที่แสร้งเป็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ได้เดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่นัดพบเพื่อการค้าประเวณี ซึ่งได้พบชาวญี่ปุ่นจนนวนหนึ่งอยู่สถานที่ดังกล่าว หลังจากนั้นชายท้องถิ่นคนหนึ่ง ก็ทำหน้าที่เป็นไกด์ พาพวกเขาไปยังห้องหนึ่งก่อน ซึ่งพวกเขาก็พบว่ามีเด็กสาวประมาณ 10 คน ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนกลางรออยู่ แต่นักท่องเที่ยวหลายคน ขอเด็กสาว "ที่อายุน้อยกว่า" ซึ่งไกด์ก็ได้พาพวกเขาแยกออกไป และ พาเข้าไปสถานที่ตั้งของบ้านหลังหนึ่งที่ลึกขึ้น ซึ่งก็มีเด็กผู้หญิงประมาณ 10 คน นั่งหรือนอนอยู่บนฟูกบางๆ โดยเด็กเหล่านี้อายุประมาณ 9-10 ขวบเท่านั้น โดยนักท่องเที่ยวจะเดินเลือกเด็กเหล่านี้ ก่อนพาพวกเธอแยกห้องกันไป เพื่อทำกิจกรรมเข้าจังหวะ...
เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่น กล่าวว่า "มีสถานที่ลักษณะเดียวกันนี้ เปิดดำเนินการในเมืองนี้อย่างน้อย 3 แห่ง" และ "บางแห่งเปิดร้านอาหารบังหน้า" และ "จากการตรวจสอบพบว่า เด็กหญิงส่วนใหญ่ในบริเวณนี้ มาจากชุมชนชนกลุ่มน้อยในชนบท"
หญิงชาวลาวเชื้อสายขมุ ได้บอกเล่าว่า "นายหน้ามักจะนำพวกเด็กๆ จากบ้านเกิดของฉัน ซึ่งอยู่ในภาคกลาง ของลาวมาเป็นประจำ..."
เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่น กล่าวอีกว่า "เด็กๆเหล่านี้ถูกล่อลวงให้ค้าประเวณี ด้วยความยากจน แรงกดดันจากครอบครัว หรือ คำสัญญาอันเป็นเท็จ ว่าจะได้งานที่ถูกต้องตามกฎหมาย..." และ "หมู่บ้านแห่งนี้ ตั้งอยู่ริมทางหลวงสายหลัก ที่เชื่อมต่อจีนและไทย ซึ่งมีคนขับรถบรรทุกเป็นลูกค้าอยู่เป็นประจำ..."
สาววัย 15 ปี กล่าวว่า "ฉันเกิดในหมู่บ้านยากจน ทางตอนเหนือของประเทศลาว" และ "ฉันขายพรหมจรรย์ให้กับชายชาวจีน เพื่อแลกกับเงินจำนวนมาก เมื่อตอนที่ฉันอายุ 12 ปี" และ "เมื่อฉันอายุ 15 ฉันก็ได้รู้จักกับนายหน้าคนหนึ่ง เขาบอกว่ามีงานล้างจานในร้านอาหารให้ทำ ฉันก็เลยไปกับเขา แต่เขากลับพาฉันไปขายตัว" และ "พี่สาวของฉันก็ขายตัวเหมือนกัน ซึ่งมันทำให้ฉันตัดสินใจได้ทันที ว่าจะทำเหมือนกัน..." และ "ฉันไม่อยากให้น้องสาววัย 10 ขวบของฉัน มาทำงานที่นี่เลย ฉันอยากส่งเธอไปโรงเรียน ด้วยเงินที่ฉันหามาได้จากการขายตัว"
คุณแม่รายหนึ่งเล่าว่า "ชายชาวจีนวัยกลางคน มาหาฉันที่บ้านบอกว่าจะมาขอลูกสาวของฉันแต่งงาน" และ "วันหนึ่งจู่ๆ เขาก็แวะมาหาฉัน เพื่อมาพูดคุยเกี่ยวกับการแต่งงาน ซึ่งเขาทำแบบนั้น 2-3 ครั้ง เมื่อฉันรู้สึกว่าเป็นคนดี ฉันก็เลยตกลงยกลูกสาว ให้แต่งงานกับเขา ตอนแรกฉันก็คิดว่าลูกสาวของฉันจะได้มีชีวิตที่ดี มีชีวิตที่สบาย มีครอบครัวที่อบอุ่น แต่ที่ไหนได้... ฉันมารู้ทีหลังว่า พวกเขาจับลูกสาวของฉันไปขายตัว"
นักวิจัยจากสถาบันพัฒนาเศรษฐกิจ "โนริฮิโกะ ยามาดะ" ขององค์การการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการเมืองลาว กล่าวว่า "เด็กสาวกลุ่มชาติพันธุ์ ต้องเผชิญกับโอกาสที่จำกัดเป็นพิเศษ" และ "งานในโรงงานในเมืองนั้น ไม่น่าดึงดูดใจ เนื่องจากต้องทำงานเป็นเวลานาน ค่าจ้างต่ำ และ ตารางเวลาที่เข้มงวด ในขณะเดียวกันความแตกต่างทางวัฒนธรรม และ การเลือกปฏิบัติจากประชากรลาว ส่วนใหญ่ยังสร้างอุปสรรคเพิ่มเติมอีกด้วย" และ "เมื่อเด็กสาวออกจากหมู่บ้านเพื่อหางานทำ พวกเธอมักจะพึ่งพาญาติพี่น้องและเพื่อน ที่อยู่ในเมืองอยู่แล้ว ความสัมพันธ์เหล่านี้มักนำไปสู่ การขายบริการทางเพศ" และ "เด็กสาวคนอื่นๆก็ตามมา ซึ่งนั่นทำให้เกิดวงจรอุบาทเช่นนี้" และ "เด็กสาวบางคนมักคิดว่า พวกเธอจำเป็นต้องทำงานแบบนี้ เพื่อช่วยเหลือครอบครัว"
"โนริฮิโกะ ยามาดะ" กล่าวอีกว่า "ปัญหานี้ทวีความรุนแรงขึ้น ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2000 เมื่อโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากจีน เช่น สวนยางพาราขยายตัวในลาว ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ทำให้ผู้ชายชาวจีนได้ติดต่อกับผู้หญิงลาวมากขึ้น รวมถึงผ่านการแต่งงานที่จัดหาโดยนายหน้า..." และ "ปัญหาเหล่านี้ ไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย แต่การบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดต่างชาติที่เข้มงวดยิ่งขึ้น และ แรงกดดันระหว่างประเทศที่มากขึ้นต่อรัฐบาลลาว สามารถสร้างความแตกต่างได้!!"
อ้างอิง : japantoday
อ้างอิง : japantoday






















