งานเลี้ยงหงเหมิน งานเลี้ยงลอบสังหาร จุดเปลี่ยนแห่งประวัติศาสตร์สู่การสถาปนาราชวงศ์ฮั่น
ปลายยุคราชวงศ์ฉินคือช่วงเวลาแห่งความโกลาหล การปกครองอันโหดร้ายและการขูดรีดราษฎรอย่างทารุณได้กลายเป็นเชื้อไฟที่โหมกระพือให้เกิดการลุกฮือขึ้นทั่วแผ่นดิน นำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์และเปิดฉากยุคแห่งการแย่งชิงอำนาจของเหล่าขุนศึก การทำความเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์อันตึงเครียดนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการไขความหมายและนัยสำคัญของ "งานเลี้ยงหงเหมิน" ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เป็นมากกว่างานเลี้ยง แต่คือเวทีประลองสติปัญญาที่ชี้ชะตาอนาคตของจีน
ในบรรดาผู้นำกองกำลังที่ลุกขึ้นต่อต้านราชวงศ์ฉิน มีสองมหาบุรุษที่โดดเด่นและแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว คือ เซี่ยงหยี่ (หรือ ฌ้อปาอ๋อง) และ หลิวปัง (หรือ เล่าปัง) คุณลักษณะและแนวทางการเป็นผู้นำของทั้งสองได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางของประวัติศาสตร์
• เซี่ยงหยี่: ขุนพลผู้เกรียงไกรจากตระกูลสูงศักดิ์ เขาเป็นนักรบผู้หาญกล้า ชนะศึกสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าเบื้องหลังความสำเร็จในสนามรบนั้นแฝงไว้ด้วยนิสัยเย่อหยิ่ง แข็งกร้าว และไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้ใด ความเชื่อมั่นในกำลังของตนเองอย่างสูงส่งได้กลายเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนที่อันตราย
• หลิวปัง: เริ่มต้นจากการเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ในท้องถิ่น เขาอาจไม่มีฝีมือการรบที่โดดเด่นเท่าเซี่ยงหยี่ แต่กลับมีความเฉลียวฉลาด เจ้าเล่ห์ และมีความสามารถเป็นเลิศในการมองคนออกและใช้คนให้ถูกกับงาน แม้จะมีนิสัยขี้ระแวง แต่ความสามารถในการซื้อใจผู้คนคืออาวุธที่ทรงพลังที่สุดของเขา
ท่ามกลางการสู้รบอันดุเดือด ทั้งสองได้ทำข้อตกลงสำคัญร่วมกันว่า "ใครเข้ายึดเสี้ยนหยาง [เมืองหลวงของราชวงศ์ฉิน] ได้ก่อน ผู้นั้นได้ครองอาณาจักรฉินทั้งหมด" ข้อตกลงนี้ได้วางรากฐานแห่งการแข่งขันที่เข้มข้น และแปรเปลี่ยนสถานะจากพันธมิตรในการโค่นล้มราชวงศ์ฉินให้กลายเป็นคู่แข่งที่มุ่งหวังในอำนาจเดียวกัน
ด้วยบุคลิกภาพที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดินและเป้าหมายเดียวกันคือบัลลังก์แห่งฉิน การแข่งขันเพื่อยึดเมืองหลวงจึงเป็นเพียงชนวนที่รอวันปะทุ ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์เผชิญหน้าที่ตัดสินด้วยเล่ห์เหลี่ยมและสติปัญญามากกว่ากำลังทหาร
การแข่งขันสู่เสี้ยนหยาง: ชัยชนะที่แตกต่าง
ยุทธศาสตร์ในการบุกโจมตีอาณาจักรฉินของเซี่ยงหยี่และหลิวปังนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เส้นทางและวิธีการที่พวกเขาเลือกไม่เพียงแต่สะท้อนถึงอุปนิสัยของแต่ละคน แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อสถานการณ์ทางการเมืองและดุลอำนาจที่กำลังจะพลิกผันไปตลอดกาล
เซี่ยงหยี่ เลือกใช้กำลังทหารเข้าห้ำหั่นโดยตรง ในสมรภูมิจวี้ลู่ (ปัจจุบันคือเมืองผิงเซี่ยง มณฑลเหอเป่ย) เขาได้สร้างตำนานแห่งความกล้าหาญด้วยการนำทัพที่มีกำลังพลเพียง 20,000 นาย เข้าปะทะและมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือกองทัพหลวงของราชวงศ์ฉินที่มีกำลังพลมหาศาลถึง 200,000 นาย ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของเขากระฉ่อนไปทั่วแผ่นดิน กองทัพของขุนศึกคนอื่นๆ ต่างยอมอ่อนน้อม ทำให้เขากลายเป็นผู้มีกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนั้นอย่างไม่มีใครเทียบได้
ในทางกลับกัน หลิวปัง เลือกใช้กลยุทธ์ที่ชาญฉลาดกว่า เขาฉวยโอกาสที่กองกำลังหลักของฉินกำลังติดพันอยู่กับเซี่ยงหยี่ นำทัพของตนบุกเข้ายึดเมืองเสี้ยนหยางที่แทบจะไร้การป้องกัน ทำให้สามารถยึดเมืองหลวงได้โดยง่าย แต่ชัยชนะที่แท้จริงของเขาคือการเอาชนะใจประชาชน หลิวปังประกาศยกเลิกกฎหมายอันโหดร้ายของฉิน ไม่แตะต้องทรัพย์สินในท้องพระคลัง และประกาศใช้ "บัญญัติ 3 ประการ" คือ “ฆ่าคนต้องชดใช้ชีวิต, ทำร้ายร่างกายผู้อื่น และลักขโมยล้วนมีความผิด” นโยบายนี้ทำให้เขากลายเป็นผู้ปลดปล่อยในสายตาของชาวเมืองและได้รับการสนับสนุนจากผู้มีความสามารถมากมาย
การยึดครองพื้นที่ของทั้งสองฝ่ายจึงนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน:
บุคคล |
ผลลัพธ์ทางทหารและการเมือง |
เซี่ยงหยี่ |
มีชัยชนะทางทหารอย่างเด็ดขาด ได้รับการยอมรับจากกองทัพอื่น ๆ และมีกำลังพลมากที่สุด |
หลิวปัง |
ยึดเมืองหลวงได้โดยง่าย ได้ใจประชาชนและผู้มีฝีมือ สร้างฐานอำนาจทางการเมือง |
แม้เซี่ยงหยี่จะเป็นผู้ชนะในสนามรบ แต่หลิวปังกลับเป็นผู้ชนะในทางการเมือง ชัยชนะของหลิวปังในการเข้ายึดเมืองหลวงก่อนได้สร้างความโกรธแค้นอย่างรุนแรงให้แก่เซี่ยงหยี่ผู้ถือว่าตนเป็นผู้ทำคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และนี่คือต้นตอของวิกฤตการณ์ ณ ด่านหานกู่กวนที่กำลังจะเกิดขึ้น
วิกฤตการณ์ ณ ด่านหานกู่กวน: ชนวนเหตุแห่งงานเลี้ยงสังหาร
สถานการณ์ทวีความตึงเครียดถึงขีดสุด เมื่อกองทัพอันเกรียงไกรของเซี่ยงหยี่เดินทางมาถึงด่านหานกู่กวนและพบว่าถูกกองทัพของหลิวปังกีดกันไม่ให้เข้าเมือง เหตุการณ์นี้เปรียบเสมือนการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ มันได้เปลี่ยนความไม่พอใจที่คุกรุ่นอยู่ในใจของเซี่ยงหยี่ให้กลายเป็นความโกรธแค้นและความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะกำจัดหลิวปังให้สิ้นซาก
ลำดับเหตุการณ์ที่นำไปสู่การตัดสินใจจัดงานเลี้ยงสังหารดำเนินไปอย่างรวดเร็ว:
ความโกรธของเซี่ยงหยี่: เมื่อพบว่าด่านถูกปิดกั้น เซี่ยงหยี่โกรธจัดและสั่งให้ทหารบุกเข้าโจมตีด่านทันที ด้วยกำลังพลที่เหนือกว่าอย่างเทียบไม่ติด ด่านจึงแตกพ่ายอย่างง่ายดาย
คำเตือนของฟ่านเจิง: ฟ่านเจิง ที่ปรึกษาคนสำคัญของเซี่ยงหยี่ ได้วิเคราะห์สถานการณ์และเตือนนายเหนือหัวของตนว่าหลิวปังไม่ใช่คนธรรมดา เขามีความทะเยอทะยานสูงส่งและต้องถูกกำจัดโดยเร็วที่สุด
การรั่วไหลของข่าว: แผนการโจมตีหลิวปังในวันรุ่งขึ้นได้รั่วไหลออกไปโดย เซี่ยงป๋อ ซึ่งเป็นอาแท้ๆ ของเซี่ยงหยี่ เนื่องจากเขาเคยติดค้างหนี้ชีวิตของ จางเหลียง ที่ปรึกษาของหลิวปัง เซี่ยงป๋อจึงลอบเดินทางไปแจ้งข่าวเพื่อเตือนให้จางเหลียงหลบหนี
กลยุทธ์ทางการทูตของหลิวปัง: เมื่อทราบข่าว หลิวปังและจางเหลียงตระหนักดีว่าไม่อาจสู้รบซึ่งหน้าได้ ด้วยกำลังพลที่แตกต่างกันลิบลับถึง 100,000 ต่อ 400,000 นาย หลิวปังจึงใช้ความเฉลียวฉลาดทางการทูตเข้าแก้ไขวิกฤต เขารีบเชิญเซี่ยงป๋อมาพบ รินเหล้าให้ด้วยตนเอง และเสนอยกลูกสาวของตนให้เป็นสะใภ้ของเซี่ยงป๋อ พร้อมทั้งอธิบายว่าการส่งทหารไปเฝ้าด่านก็เพื่อป้องกันโจรผู้ร้าย ไม่ได้มีเจตนาทรยศต่อเซี่ยงหยี่เลยแม้แต่น้อย
ความพยายามของหลิวปังได้ผล เซี่ยงป๋อหลงเชื่อและกลับไปเกลี้ยกล่อมหลานชายตนเอง ความโกรธของเซี่ยงหยี่ลดลงกว่าครึ่ง และเขาได้เปลี่ยนแผนจากการบุกโจมตี เป็นการส่งเทียบเชิญให้หลิวปังมาพบที่ "งานเลี้ยงหงเหมิน" (ปัจจุบันคือหมู่บ้านหงเหมิน ตำบลซินเฟิง อำเภอหลินถง เมืองซีอาน มณฑลส่านซี) ซึ่งเป็นฉากหน้าที่งดงามที่ซ่อนเร้นแผนการลอบสังหารอันเลือดเย็นเอาไว้
กลอุบายในงานเลี้ยงหงเหมิน: การต่อสู้ด้วยสติปัญญาและเล่ห์เหลี่ยม
งานเลี้ยง ณ ค่ายหงเหมินคือฉากประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง เบื้องหน้าคือภาพของงานเลี้ยงฉลองชัยชนะฉันมิตร แต่เบื้องหลังกลับอบอวลไปด้วยไอสังหารและความตึงเครียด ในงานเลี้ยงนั้น เซี่ยงหยี่และเซี่ยงป๋อดื่มกินกันอย่างสนุกสนานเต็มที่ ขณะที่หลิวปังกลับอกสั่นขวัญหาย คอยระวังตัวตลอดเวลา เพราะทุกคำพูด ทุกการกระทำ และทุกสายตาที่จับจ้อง คือการชิงไหวชิงพริบทางสติปัญญาที่มีชีวิตของเขาเป็นเดิมพัน
เหตุการณ์ภายในงานเลี้ยงดำเนินไปอย่างน่าระทึกใจเป็นลำดับขั้น:
การเผชิญหน้า
เมื่อเดินทางมาถึง หลิวปังแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างที่สุดต่อเซี่ยงหยี่ เขาพยายามอธิบายอย่างนอบน้อมว่าเหตุการณ์ที่ด่านหานกู่กวนเป็นเรื่องเข้าใจผิดที่เกิดจากคำยุยงของคนต่ำทราม เพื่อลดความบาดหมางและความโกรธของเซี่ยงหยี่ลง
สัญญาณที่ถูกเพิกเฉย
ขณะที่งานเลี้ยงดำเนินไป ฟ่านเจิง ที่ปรึกษาผู้มองการณ์ไกล พยายามส่งสัญญาณให้เซี่ยงหยี่ลงมือสังหารหลิวปังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เซี่ยงหยี่กลับทำเป็นมองไม่เห็นหรือไม่ใส่ใจ ท่าทีลังเลใจของเขาแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งภายในระหว่างความโกรธแค้นและความเย่อหยิ่งที่ไม่ต้องการใช้วิธีลอบกัด
ระบำดาบสังหาร
เมื่อเห็นว่าเซี่ยงหยี่ล้มเลิกความคิดที่จะลงมือ ฟ่านเจิงจึงตัดสินใจดำเนินแผนการด้วยตนเอง เขาสั่งให้ เซี่ยงจวง ญาติของเซี่ยงหยี่ เข้าไปแสดงการรำดาบ โดยมีเป้าหมายแฝงคือการหาจังหวะลอบสังหารหลิวปัง แต่แผนการนี้ก็ถูกขัดขวางโดย เซี่ยงป๋อ ผู้มีบุญคุณกับฝ่ายหลิวปัง เขารีบคว้าดาบของตนออกมารำประชันด้วย โดยใช้ร่างกายของตนคอยป้องกันหลิวปังจากคมดาบของเซี่ยงจวงอย่างแนบเนียน
การปรากฏตัวของฝานไคว่
สถานการณ์มาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อ ฝานไคว่ องครักษ์คนสนิทของหลิวปัง บุกฝ่าทหารยามเข้ามาในงานเลี้ยงด้วยท่าทีเดือดดาล เขาจ้องมองเซี่ยงหยี่อย่างไม่เกรงกลัวและกล่าวตำหนิอย่างตรงไปตรงมา:
"หลิวปังบุกเข้าเมืองเสี้ยนหยางก่อน แต่เขาไม่ได้ยึดเมืองหรือตั้งตนเป็นกษัตริย์ กลับไปเฝ้าดูแลที่ชานเมืองรอคอยท่านมาเป็นกษัตริย์...หลิวปังสร้างคุณูปการขนาดนี้ ท่านไม่ปูนบำเหน็จ แต่กลับไปฟังคำยุยงของคนต่ำทราม คิดจะสังหารเขา นี่ก็ไม่แตกต่างอะไรจากฉินหวัง นี่คงไม่ใช่แผนการของท่านใช่ไหม"
คำพูดอันแหลมคมและกล้าหาญของฝานไคว่ทำให้เซี่ยงหยี่หมดสิ้นข้อโต้แย้ง แผนการลอบสังหารจึงต้องหยุดชะงักลงโดยสิ้นเชิง
หลิวปังฉวยโอกาสนี้อ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะหลบหนีออกจากค่ายไปในทันที โดยทิ้งให้จางเหลียงอยู่ถ่วงเวลาเพื่อกล่าวลาและมอบของขวัญแทน
การหลบหนีที่สำเร็จของหลิวปังคือจุดสิ้นสุดของแผนการสังหาร และเป็นจุดเริ่มต้นของคำทำนายอันแม่นยำของฟ่านเจิง ที่ตระหนักในทันทีว่าโอกาสทองในการกำจัดเสี้ยนหนามได้หลุดลอยไปแล้ว
ผลลัพธ์และมรดกทางประวัติศาสตร์: ชัยชนะของหลิวปังและสำนวน "งานเลี้ยงหงเหมิน"
เหตุการณ์งานเลี้ยงหงเหมินไม่ใช่เป็นเพียงการรอดชีวิตของหลิวปังเท่านั้น แต่คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่กำหนดทิศทางของประวัติศาสตร์จีนในยุคต่อมาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ความล้มเหลวในการกำจัดคู่แข่งคนสำคัญของเซี่ยงหยี่ได้เปิดทางให้หลิวปังสามารถรวบรวมกำลังและกลับมาต่อกรกับเขาได้ในภายหลัง นอกจากนี้ เหตุการณ์ครั้งนี้ยังได้ทิ้งมรดกทางวัฒนธรรมที่ล้ำค่าไว้ในรูปของสำนวนซึ่งยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
เมื่อจางเหลียงมอบหยกที่หลิวปังนำมาเป็นของขวัญให้เซี่ยงหยี่ ฟ่านเจิงซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธและผิดหวังได้โยนหยกนั้นทิ้งลงกับพื้น ใช้ดาบฟันจนแหลกละเอียด พร้อมกับกล่าวคำทำนายอนาคตด้วยความคับแค้นใจว่า:
"...คนที่จะมายึดครองประเทศนี้ในอนาคตจะต้องเป็นหลิวปังอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็วพวกเราจะต้องกลายเป็นเชลยของเขา!"
คำทำนายของฟ่านเจิงกลายเป็นความจริงในเวลาต่อมา เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็น "จุดเปลี่ยน" ที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันคือโอกาสสุดท้ายที่เซี่ยงหยี่จะสามารถกำจัดหลิวปังได้อย่างง่ายดาย การปล่อยให้หลิวปังรอดชีวิตไปได้ เปรียบเสมือนการปล่อยเสือเข้าป่า และในที่สุด หลิวปังก็สามารถเอาชนะเซี่ยงหยี่ในสงครามฉู่-ฮั่น และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิฮั่นเกาจู่ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นอันยิ่งใหญ่
เรื่องราวของงานเลี้ยงที่แฝงเจตนาร้ายนี้ได้กลายเป็นที่จดจำและถูกเล่าขานต่อมา จนเกิดเป็นสำนวนจีนว่า "งานเลี้ยงหงเหมิน" (鸿门宴) ซึ่งกลายเป็นคำพูดติดปากที่ใช้เตือนใจให้ระมัดระวังการเชื้อเชิญที่อาจมีเจตนาร้ายแอบแฝง หรือสถานการณ์ที่ดูเหมือนเป็นมิตรแต่แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยอันตรายและการทรยศหักหลัง
โดยสรุปแล้ว งานเลี้ยงหงเหมินไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวของการลอบสังหารที่ล้มเหลว แต่เป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของสติปัญญา การรู้จักใช้คน และการควบคุมอารมณ์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เซี่ยงหยี่ผู้หยิ่งทะนงขาดไป แต่กลับเป็นสิ่งที่หลิวปังผู้รอบคอบและเจ้าเล่ห์มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม และในท้ายที่สุด คุณสมบัติเหล่านี้เองที่ได้นำพาเขาให้รอดพ้นจากความตายและกรุยทางขึ้นสู่บัลลังก์จักรพรรดิองค์แรกแห่งราชวงศ์ฮั่นได้สำเร็จ
อ้างอิงจาก: ไซ่ฮั่น มหาสงครามล้างปฐพี เป็นเรื่องราวหลักของสงครามชิงอำนาจระหว่าง หลิวปัง กับ เซี่ยงอวี่ ที่มีฉาก งานเลี้ยงหงเหมิน เป็นจุดไคลแม็กซ์สำคัญ, ประวัติศาสตร์จีน, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ พ.ศ. 2538

















