ตลาดถุงยางอนามัยในไทย “ติดลบ” 2 ปีซ้อน

ในอดีต ผู้บริโภคใช้ถุงยางอนามัย "ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์" แต่ปัจจุบันผู้ผลิตต้องสร้างแบรนด์ "ใช้ถุงยางเพิ่มความสุขมากขึ้น"

ตลาดถุงยางอนามัยไทยมีมูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกปี 2568 ยอดขายลดลง “ติดลบ 6%” แม้ว่าปัจจุบันการมีเพศสัมพันธ์เริ่มในกลุ่มคนอายุน้อย แต่การป้องกันท้องไม่พร้อมนิยมกินยาคุมมากกว่า

ไม่ใช่แค่การเลือกคุมกำเนิดด้วยการใช้ยาคุมเท่านั้น แต่การเข้ามาตีตลาดไทยของ"แบรนด์ถุงยางจีน” ซึ่งมี “ราคาต่ำมาก” แค่ 5 บาทต่อชิ้น ก็กระทบต่อยอดขายในประเทศเช่นกัน

ผู้ผลิตต้องพยายามสร้างแบรนด์ด้วยการเพิ่มอรรถประโยชน์การใช้สินค้า เช่น ถุงยางอนามัยเพิ่มยาชาช่วยยืดเกมรักให้นานขึ้น เพิ่มไซส์ที่หลากหลายขึ้น ไม่ใช่ขายไซส์ 52 ไซส์เดียว เพราะขนาด"แต่ละคนไม่เท่ากัน" เล็กไปก็คับ ใหญ่ไปก็หลุด 

ผู้นำตลาดถุงยางอนามัยในไทย อยู่ที่แบรนด์ใหญ่ 3 ราย ดังนี้

# 1 Durex แบรนด์อังกฤษ ส่วนแบ่งตลาด 50% เน้นแบรนด์ระดับโลก ยอดนิยม

# 2 One touch แบรนด์ไทย ส่วนแบ่งตลาด 30% เน้นความคุ้มค่า มีหลายไซส์ เข้าถึงกลุ่ม Mass

# 3 Okamoto แบรนด์ญี่ปุ่น ส่วนแบ่งตลาด 10% เน้นความบาง 0.01, 0.03 นิยมในกลุ่มวัยรุ่น

แม้ตลาดในประเทศจะมีมูลค่า 1,500 ล้านบาท แต่ไทยส่งออกถุงยางอนามัยไปทั่วโลกสูงถึงเกือบ 10,000 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งการส่งออกโลกสูงถึง 44%