“นักฆ่าลุ่มแม่น้ำเขียว”แกรี่ ริดจ์เวย์ (Gary Ridgway )
แกรี่ ริดจ์เวย์ (Gary Ridgway )
มีคนขอมากเหลือเกินสำหรับฆาตกรคนนี้ “นักฆ่าลุ่มแม่น้ำเขียว” ซึ่งผมเคยเขียนเรื่องราวคราวๆ มานานแล้ว สำหรับ ฆาตกรที่เคยอดีตเจ้าของสถิตฆาตกรต่อเนื่องที่สร้างสถิตหลายอย่างที่เป็นที่สุดของอเมริกา
สถิตอันแรกคือแกรี่เป็นฆาตกรผู้ชายที่ฆ่าผู้หญิงมากที่สุดเป็นจำนวนถึง 48 คน หรืออาจจะ 65 คน ซะด้วยซ้ำ สองก็เป็นอดีตฆาตกรที่สังหารเหยื่อมากที่สุดในประวัติศาสตร์ นอกจากนั้นกองกำลังตำรวจที่ไล่ล่าเขายังเป็นกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาอีกด้วย และรู้ไหมว่าเทด บันดี ฆาตกรต่อเนื่องสุดโด่งดังอีกคน ก็เคยร่วมมือกับทางการในการหาข้อมูลทางจิตใจของเขา จนกำเนิดฉากในตำนานกรณีของ ดร.เล็กเตอร์ ที่ให้ความร่วมมือกับ แคลริซ สตาร์ลิ่ง ใน Silence of the lamps เลยก็ว่าได้
เออ..............ขอเสริมหน่อย นอกจากนี้แกรี่ ริดจ์เวย์ ก็มีสถิตอีกอย่างหนึ่งคือเป็นฆาตกรที่เป็นต้นแบบของฆาตกรคนอื่นๆ นำมาเลียนแบบมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีศพใหม่ ศพเก่าปรากฏขึ้นในแม่น้ำสีเขียว ขอบเมืองซีแอตเติล ประเทศอเมริกา อย่างไม่ขาดสาย แสดงให้เห็นว่านอกเหนือแกรี่ ริดจ์เวย์แล้วก็ยังมีนักฆ่าลุ่มแม่น้ำเขียวคนใหม่กำเนิดมาอย่างไม่ลดละไม่หยุดไม่หย่อนเลยทีเดียว
กระแสน้ำแห่งหยาดน้ำตาและเลือด
วันที่ 15 สิงหาคม 1982 โรเบิร์ต ไอน์สเวิร์ท วัย 41 ปี กำลังเดินทางท่องแม่น้ำเขียวที่พาดผ่านบริเวณขอบเมืองซีแอตเติลด้วยแพยาง ในขณะนั้นเองเขาสังเกตเห็นชายสองคนอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำ คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคน ศีรษะล้าน ขณะที่อีกคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้รถปิกอัพ ไอน์สเวิร์ทคิดว่าทั้งสองคนคงมาตกปลก จึงทักทายเล็กน้อย
หลังจากที่ชายทั้งสองจากไป ไอน์สเวิร์ทก็กระทุ้มน้ำเพื่อลอยแพยางของเขา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าถูกจ้องเขม็งจากสายตาคู่หนึ่งจากวัตถุที่ลอยน้ำมา คล้ายกับหุ่นผู้หญิงวัยรุ่นผิวดำสำหรับลองผ้า จ้องเขม็งมาทางเขา จนไอน์สเวิร์ทเกิดความสนใจ จึงเอาไม้เขี่ยดู ทันใดนั้นแพยางเขาก็คว่ำลง
เขาจึงได้รู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นไม่ใช้หุ่น แต่เป็นศพ ศพผู้หญิงที่ขาวซีด!?
ในขณะที่ไอน์สเวิร์ทกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ทันใดนั้นเอง เขาก็เห็นศพผู้หญิงผิวดำในลักษณะกึ่งเปลือยลอยตามน้ำมาอีกศพหนึ่ง!
ไอน์สเวิร์ทรีบว่ายน้ำเข้าฝั่งทันที และขอร้องให้คนขี่จักรยานผ่านมาแจ้งตำรวจ พอตำรวจมาถึงและสอบถามเรื่องราวจากเขาเรียบร้อยจึงเรียกกำลังมาสมทบ
เมื่อกำลังสมทบมาถึงก็ทำการปิดกั้นบริเวณที่ค้นพบศพ เพื่อค้นหาศพผู้หญิงผิวดำสองคนนั้น แต่แทนที่จะพบสองศพดังกล่าวกับพบอีกศพหนึ่ง! ศพนี้อยู่บนผืนหญ้าริมฝั่งห่างจากศพแรกแค่ 30 ฟุตโดยศพนั้นเป็นเด็กสาวเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ เธอถูกรัดคอด้วยกางเกงยืดชั้นในสีฟ้าของผู้ชาย บนร่างมีร่องรอยต่อสู้
จากการสอบสวนทราบชื่อภายหลังว่าคือ โอปาล มิลส์ อายุ 16 ปี
หลังการชันสูตรทั้งหมด ระบุว่า ทั้งสามเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ ส่วนชื่อสาวผิวดำสองคนนั้น จากการสอบสวนจึงทราบว่า ชื่อมาเซีย แช็ปแมน วัย 31 ปี และ ซินเธีย ไฮนด์ วัย 17 ปี ทั้ง 2 มีหินรูปร่างเหมือนพีระมิดอยู่ในช่องคลอด และทั้งคู่ถูกถ่วงด้วยหินลงสู่แม่น้ำ
จากการพบศพทั้งสามนั้น ตำรวจเชื่อว่าอาจเป็นฝีมือฆาตกรคนเดียวกัน และตรวจสอบบันทึกการพบศพในเขตลุ่มแม่น้ำเขียว รัฐวอชิงตัน ตำรวจต้องผงะเพราะก่อนหน้าพบศพทั้งสามยังมีศพอีกหลายรายที่พบบริเวณลุ่มแม่น้ำเขียวเช่นกัน
หลายวันพบศพเดบอราห์ บอนเนอร์ ถูกรัดคอเสียชีวิต ลอยตามน้ำมาเหมือนหมาเน่าก็ไม่ปาน ,ก่อนหน้า 1 เดือน มีการพบศพเด็กสาววัยรุ่นชื่อ เว็นดี้ ลี คอฟฟิลด์ ถูกรัดคอ สภาพศพลอยน้ำมาเหมือนหุ่นชำรุด และย้อนหลังไป 6 เดือน พบศพเพื่อนของคอฟฟิลด์ ชื่อลีนน์ วิลค็อก บริเวณโรงหนังเก่าๆ ห่างจากแม่น้ำหลายไมล์
ทั้งหมดถูกฆ่าใกล้ลุ่มน้ำสีเขียว!
มาถึงตอนนี้ ตำรวจรู้แล้วว่า พวกเขากำลังเผชิญหน้าฆาตกรต่อเนื่องสุดอำมหิต ที่ฆ่าคนง่ายดั่งมดปลวกเข้าให้แล้ว
เมื่อรู้ว่ามีฆาตกรต่อเนื่องเกิดขึ้น รัฐบาลรัฐวอชิงตันก็รีบจัดตั้งกองกำลังตำรวจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมาของเขตคิงหรืออาจมากที่สุดในโลกด้วยซ้ำ(มากกว่าของเทค บันดี) เพื่อล่านักฆ่าลุ่มแม่น้ำเขียว โดยมีผู้พันริชาร์ด คราสเค หัวหน้าแผนกอาชญากรรม และนักสืบเดฟ ไรเชิร์ต เป็นผู้นำทีม พวกเขาขอความสนับสนุนจากนักสืบที่ชำนาญเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องอีกหลายคนจากเอฟบีไอ(นั้นจำนวนนั้นมี จอห์น ดักลาส และบ็อบ เคบเพล ผู้ประสบผลสำเร็จในการตามล่าเทด บันดี เมื่อ 8 ปี ที่แล้วด้วย)
ในระหว่างการสืบคดี ตำรวจพบว่าเหยื่อผู้หญิงทั้งหลายที่ถูกฆ่านั้นต่างรู้จักกัน เนื่องด้วยอาชีพเธอเป็นโสเภณี อาชีพที่ต้องพบปะพูดคุยกันเพื่อหาข่าวสาร ตำรวจเริ่มสอบสวนโสเภณีตามท้องถนนตามที่ต่างๆ เป็นร้อยๆ ครั้ง แต่โสเภณีหลายคนไม่ค่อยให้ความร่วมมือมากนัก เพราะโดยธรรมชาติแล้วโสเภณีไม่ค่อยถูกตำรวจ
แต่กระนั้น ตำรวจก็ได้ข่าวสารที่เป็นประโยชน์จากโสเภณีเหมือนกัน มี 2 ราย เล่าตรงกันว่า มี ชายวัยกลางคน ขับรถปิกอัพสีฟ้าขาวสวนเธอไปเล่นจ้ำจี้ เมื่อมาถึงที่เขาเล็งปืนใส่เธอ และข่มขื่นเธออย่างรุนแรง จากนั้นก็ขับไปส่ง เขาเล่าถึงการฆาตกรรมลุ่มแม่น้ำสีเขียว ก่อนที่จะหนีออกมา น่าแปลกชายคนนั้นไม่มีท่าทีตามมาฆ่าแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ตำรวจเริ่มเจาะจงตามหาตัวชายในปิกอัพสีเขียว เพราะเชื่อว่าเขาน่าจะเป็นคนเดียวกับฆาตกรลุ่มแม่น้ำเขียว
รายแรกที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยคือ ชาร์ล คลินตัน คลาร์ก พ่อค้าขายเนื้อ โดยพยานที่รอดชีวิตจากนักฆ่าเชื่อว่าเขาเป็นคนเดียวที่พวกเธอเห็น
แต่ระหว่างที่นายคลินตัน ถูกควบคุมตัว แมรี่ บริดเจ็ตต์ วัย 19 ปี เธอหายตัวไปอย่างลึกลับบริเวณโรงแรมซิกซ์ ที่ซึ่งใกล้ลุ่มน้ำสีเขียว
เหมือนเป็นการส่งสารจากฆาตกรว่า “มิงจับผิดคนแล้วโว๊ย”
ต่อมาตำรวจเริ่มจับตาดูผู้ต้องสงสัยอีกเป็นอาสาสมัคร อายุ 44 ปี อาชีพแท็กซี่ มีพยานบอกว่าเขามักขับรถไปพื้นที่แม่น้ำสีเขียวบ่อยๆ และในช่วงนี้แองก็เกิดคดีเคส แอนน์ ลี และเทอร์รี่ เรน มิลลิแกน สองโสเภณีหายตัวไปอย่างลึกลับ
วันที่ 26 กันยายน 1982 พบศพเน่าเปื่อยของโสเภณีนามกิเซล เอ. โลฟวอร์น เธอหายสาบสูญไปเมื่อ 2 เดือนก่อน แม้จะไม่ได้พบศพเธอในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเขียว แต่ตำรวจเชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของฆาตกรคนเดียวกัน
เดือนกันยายน 1982 ถึง เมษายน 1983 มีเด็กหญิงราว 14 คนหายตัวไป โดยผู้หญิงส่วนมากอายุระหว่าง 15-23 ปี และเป็นโสเภณี และส่วนใหญ่มีอาชีพเสริมเป็นนักระบำเปลือย ด้านฝ่ายตำรวจ จนบัดนี้การสืบสวนก็ยังไม่คืบหน้า การปฏิบัติการสืบสวนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไม่มีประโยชน์สักนิด งบประมาณสืบสวนเพื่อตามล่าฆาตกรลุ่มแม่น้ำเขียวถูกนำมาใช้อย่างมหาศาลอย่างไม่คาดคิดมาก่อน
เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไม่มีผิด
วันที่ 8 พฤษภาคม 1983 พบศพแครอล แอนน์ คริสเต็นเซ็น อายุ 21 ปี และในระหว่างฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของปี 1983 หญิงสาวที่เป็นโสเภณีหายไป 9 คน ฤดูร้อนก็มีการพบศพเพิ่มอีกหลายร้อยศพ ทั้งในถนนทัวลาตินตะวันตกเฉียงใต้ ใกล้สนามบินซีแท็ค สนามบินซีแท็คทางเหนือ
แม้กระทั้งฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ปี 1983 ฆาตกรก็ไม่หยุดพัก ผู้หญิงจำนวนมากหายตัวไป และมีการพบศพอีกหลายศพในบริเวณใกล้เคียง จนตำรวจต้องขอแรงให้ลูกเสือให้ค้นหาศพที่มีมากมายในบริเวณลุ่มแม่น้ำเขียวแห่งนี้
วันที่ 13 พฤศจิกายน บริเวณสนามบินซีแท็คทางตอนใต้ ใกล้ถนน 192 ใต้ ตำรวจพบศพแมรี่ มีอาห์ และลูก แต่คราวนี้ฆาตกรมาแปลก เพราะเธอกับลูกถูกฝังลงบนดินทั้งร่าง ผิดจากศพอื่นๆ ที่ค้นพบล้วนแล้วถูกฝังเพียงบางส่วน หรือไม่ก็ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยขยะหรือใบไม้
นักวิเคราะห์ สรุปว่า ฆาตกรจะต้องเห็นผู้หญิงเป็น “ขยะมนุษย์” ไม่งั้นมันจะทิ้งศพมนุษย์เหมือนทิ้งขยะทำไมละ
ในปี 1984 การฆาตกรรมและการพบศพยังดำเนินการพบอยู่เนื่องๆ แต่เมื่อถึงเดือนสิงหาคม การฆาตกรรมก็ชะลอตัวลง โดยระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 1984 มีผู้พบศพอีก 2 ศพ และในเดือนมีนาคม 1985 มีการพบศพถูกฝังเพียงครึ่งเดียวอีก 1 ศพ
แม้ฆาตกรจะชะลอการฆ่าลง แต่การสืบสวนหาได้หยุดลงไม่ พอดีช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ใกล้วันประหารฆาตกรต่อเนื่องสุดโด่งดังนาม เทด บันดี พอดี และเทด บันดีได้เสนอตัวขอช่วยเหลือตำรวจวิเคราะห์สภาพจิตฆาตกร เค็บเพลเข้าไปพบ เทด บันดี ในห้องขัง เพื่อตั้งคำถามให้เขาตอบ
บันดีแนะว่าฆาตกรต้องรู้จักเหยื่อของเขา หรือไม่ก็มีความสัมพันธ์ฉันมิตรก่อนจะล่อลวงเหยื่อ
อย่างไรก็ตามระหว่างปี 1986 กองกำลังตำรวจชุดไล่ล่านักฆ่าลุ่มแม่น้ำเขียวถูกสื่อลงความเห็นว่าขาดประสิทธิภาพ เพราะผู้ต้องสงสัยในคดีถูกปล่อยทุกราย สื่อมวลชนตั้งฉายากองนี้ว่า “ตัวตลก”
ปลายปี 1986 เจ้าหน้าที่กองกำลังฯ ถูกลดจำนวนลงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ การสืบสวนก็เริ่มอ่อนลง จนคดีนักฆ่าลุ่มแม่น้ำเขียวถูกลืมไปตามกาลเวลา
คดีนี้เก็บเข้ากรุมานานถึง 20 ปี เต็มๆ คนอื่นแทบจะลืมเลือนกันแล้ว ถ้านักสืบไรเชิร์ตที่ตอนนี้ได้ดีเป็นนายอำเภอเขตคิง (เริ่มสนใจคดีนี้เมื่อ เดือนเมษายน ปี 2001) แต่ยังไม่ลืมความผิดพลาดในอดีต จึงได้รื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ ไรเชิร์ดจัดทีมล่าเพิ่มปริมาณเป็น 30 คน คราวนี้ได้เพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ในเรื่องการพิสูจน์ดีเอ็นเอ นิติเวช เข้าไปด้วย
หลักฐานทุกชิ้นเกี่ยวกับฆาตกรถูกนำไปตรวจสอบในห้องแล็ปใหม่อีกครั้ง ตำรวจนำตัวอย่างน้ำกามที่พบในตัวศพของมิลส์ แช็ปแมน และคริสเต็นเซ่น เข้าไปตรวจพร้อมกับน้ำกามที่เก็บจากผู้ต้องสงสัยมาตรวจสอบด้วย
ด้วยการตรวจ วิเคราะห์ นิติเวชสมัยใหม่ ในวันที่ 10 กันยายน 2001 ตำรวจได้ข่าวดีที่น้ำกามที่พบในศพนั้นเข้ากับตัวอย่างที่เก็บจากผู้ต้องสงสัยคนหนึ่ง
ผู้ต้องสงสัยคนนั้นชื่อ แกรี่ ริดจ์เวย์
ความจริง ริดจ์เวย์ ไม่ใช้ผู้ต้องสงสัยใหม่แต่อย่างใด ชื่อของเขาอยู่ในบัญชีผู้ต้องสงสัย มาตั้งแต่ก่อนเกิดคดีนักฆ่าลุ่มแม่น้ำสีเขียวเสียด้วยซ้ำ เมื่อปี 1980 เขามีประวัติรัดคอโสเภณีไม่ทราบชื่อคนหนึ่ง บริเวณสนามบินซีแท็ค แต่คราวนั้นเขาอ้างว่าถูกผู้หญิงกัด เขาทำเพื่อป้องกันตเขาทำเพื่อป้องกันตัว จึงได้รับการปล่อยตัวออกมา
ปี 1932 แกรี่ ริดจ์เวย์ถูกตำรวจด่านสกัดขณะขับรถพาโสเภณีไปในรถบรรทุก แต่ก็ถูกปล่อยตัวไปอีกครั้ง
ปี 1983 (ปีที่เกิดคดีแรก) ชื่อของ แกรี่ ริดจ์เวย์ ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ โดยเขาเกี่ยวข้องกับการหายตัวของแมรี่ มอลเวอร์ หนึ่งในเหยื่อของนักฆ่าลุ่มแม่น้ำเขียว เมื่อเพื่อนชายของมอลเวอร์ให้การว่า คืนที่เธอหายไปมีชายในรถบรรทุกสีเข้มเป็นแขกของเธอ เขารู้สึกว่าชายคนนี้น่าสงสัย เขาลองขับรถบรรทุกนั้นไป แต่คาดสายตา และตอนเช้าจึงรู้ข่าวเรื่องมอลเวอร์หายตัวไปพร้อมกับเจอรถบรรทุกว่างเปล่า เขาจึงโทรเรียกตำรวจ แต่ในขณะนั้นตำรวจไม่มีหลักฐานเอาผิดกับริดจ์เวย์มากนัก อย่างมากก็แค่สอบสวนพอเป็นพิธี เสร็จแล้วก็ปล่อยริดจ์เวย์กลับบ้าน
30 พฤศจิกายน 2001 ริดจ์เวย์ถูกตำรวจสกัดจับไว้ และถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมผู้หญิง 4 ราย
ตอนนั้นแหละที่ ริดจ์เวย์ เอ่ยปากสารภาพว่า ตนนี้แหละคือ นักฆ่าลุ่มแม่น้ำเขียว ตัวจริง!
............................................................................
ริดจ์เวย์ถือกำเนิดที่เมืองซอลต์เลก รัฐยูทาห์ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1949 ขณะถูกจับเขาทำงานอยู่ในบริษัทคอมพิวเตอร์ โดยช่วงที่เขาฆ่าผู้หญิงอยู่นั้น เขาทำงานเป็นลูกจ้างทาสีรถบรรทุกในเรนตัน วอชิงตัน ซึ่งมีผลให้เขามีรถขับในช่วงนั้นหลายคัน หลายยี่ห้อ
ริดจ์เวย์มีภรรยาเก่าถึง 3 คน และหย่าเป็นที่เรียบร้อย พวกเธอและแฟนเก่าทั้งหลายต่างบอกว่า ริดจ์เวย์มีความมักมากในกามที่ผิดปกติ เป็นพวกกระหายเซ็กซ์ที่ต้องการร่วมเพศวันละหลายๆ ครั้ง นอกจากนี้หลายคนก็รู้ว่าเขาเป็นคนชอบใช้บริการโสเภณีเพื่อมีเซ็กซ์ชนิดตัวยงที่เดียว
แต่ในขณะเดียวกันจากคำบอกเล่าภรรยาคนหนึ่งของเขา ริดจ์เวย์ยังเป็นคนเคร่งศาสนาเช่นกัน เขาจงรักภักดีต่อศาสนา เรียกได้ว่าคลั่งไคล้ด้วยซ้ำ บ่อยครั้งเขามักร้องไห้ในขณะสวดมต์และอ่านคัมภีร์ไบเบิล
ริดจ์เวย์จึงมีทั้งความรักและความเกลียดชังโสเภณีในขณะเดียวกัน
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2003 แกรี่ ริดจ์เวย์ วัย 54 ปี ยอมรับสารภาพเพื่อหลีกเลี่ยงโทษประหารในเขตคิง โดยมีข้อตกลงกับทางการว่า เขาต้องให้ความร่วมมือในการปิดคดีเหล่านี้โดยปราศจากทัณฑ์บน
เขาสารภาพว่าเขาสังหารผู้หญิงทั้งหมด 48 คน นับว่าเป็นการสังหารเหยื่อโดยบุคคลคนเดียวที่มากที่สุดในอเมริกา เขาสังหารเหยื่อตั้งแต่ปี 1982-1984
“ผมฆ่าโสเภณีก็เพราะผมคิดว่าผมสามารถฆ่าเท่าที่ผมจะฆ่าได้โดยไม่ถูกจับ”
“ผมเกลียดโสเภณีมาก ผมไม่อยากจ่ายเงินเพราะมีเซ็กซ์กับหล่อน” ริดจ์เวย์กล่าว “ผมเลือกเฉพาะโสเภณีที่เป็นเหยื่อก็เพราะพวกเธอไปด้วยได้ง่าย โดยไม่มีใครสังเกตเห็น และเป็นง่ายที่ไม่มีใครสนใจว่าพวกเธอหายตัวไป”
ถึงแม้ริดจ์เวย์จะสารภาพว่าเขาสังหารผู้หญิงไปทั้งหมด 48 คนแล้วก็ตาม แต่ในปี 1982-84 ตำรวจพบศพผู้หญิงเกือบเท่าจำนวนนี้ แล้วยังพบศพอื่นๆ อีก หลังจาก ปี 1984 ซึ่งเกินจำนวนที่ริดจ์เวย์สารภาพ แสดงให้เห็นว่าริดจ์เวย์อาจฆ่าผู้หญิงมากกว่านั้นหรือไม่ก็มีฆาตกรลุ่มน้ำเขียวคนอื่นๆ อีก
ปัจจุบัน ก็ยังมีรายงานการพบศพในลุ่มน้ำเขียว มาเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบ จักสิ้น เสมือนหนึ่งว่า นักฆ่าลุ่มแม่น้ำเขียวยัง อยู่ ที่นี้ ไม่ได้หายไปไหน และมันจะฆ่าผู้หญิงอีกจนกว่าตัวมัน(พวกมัน)จะถูกจับและคดีนี้ก็เป็นคดีปริศนาตลอดกาล







