หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ประวัติ คลินต์ อีสต์วูด เเละผลงานการกำกับการเเสดง

โพสท์โดย สุมาอี้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            วันที่ 31 พฤษภาคม 2010 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ไม่ใช่วันสำคัญอะไร นอกจากเป็นวันที่นักแสดงและผู้กำกับร่างโย่งนาม คลินต์ อีสต์วูด มีอายุครบ 80 ปีบริบูรณ์

            คลินต์ อีสต์วูด เริ่มสวมหมวกปีก ขี้ม้า คาบซิการ์ให้เห็นบนจอกันมาตั้งแต่ 46 ปีที่แล้ว

            คลินต์ อีสต์วูด เขยิบมายืนหลังจอมิเตอร์แล้วตะโกนสั่ง ‘แอ็คชั่น’ มานานถึง 39 ปีแล้ว

            มาวันนี้ ถึง คลินต์ อีสต์วูด จะกำกับหนังไปแล้ว 30 เรื่อง แต่สุขภาพและสมองยังแข็งแรงพอจะทำเรื่องที่ 31 คือ Hereafter ต่ออย่างไม่มีทีท่าเหน็ดเหนื่อย หรือวางแผนจะเกษียณเลย

 

 

 

 

The Man With No Name Trilogy


A Fistful of Dollars (1964), For a Few Dollars More (1965), The Good, The Bad and the Ugly (1966)

            “เขาเลือกผมไปเล่นเพราะค่าตัวผมถูก”

            คลินต์ อีสต์วูด เล่าขำๆ ถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตขณะอายุ 34 ปี เมื่อการขี่ม้าสวมหมวกปีกเป็นคาวบอยคนซื่อในทีวีซีรีส์ Rawhide ช่วยให้เขาถูกผู้กำกับ

            แซร์โจ เลโอเน จ้างไปรับบท ‘คาวบอยนิรนาม’ ในหนังร่วมทุนสร้างอิตาลี-เยอรมัน-สเปน The Magnificent Stranger ซึ่งนำหนังซามูไรเรื่องดังของ อาคิระ คูโรซาวะ และ โตชิโร มิฟูเน่ อย่าง Yojimbo มาตัดแต่งพันธุ์กรรมใหม่จาก ซามูไรเถื่อน เป็น คาวบอยไร้ชื่อ ผู้เดินทางมาช่วยยุติสงครามกลางเมืองระหว่างสองแก๊งอิทธิพลใหญ่ ด้วยกลยุทธหนอนบ่อนไส้
“แซร์โจพูดภาษาอังกฤษได้ไม่กี่ประโยค ส่วนผมก็พูดอิตาเลี่ยนไม่ได้ พอผมไปถึงโรม เราเลยต้องคุยกันผ่านล่ามผสมกับภาษามือ” อีสต์วูดเล่าถึงความทุลักทุเลในการทำงานร่วมกับผู้กำกับอิตาเลียน ที่ริอ่านถ่ายทำหนังคาวบอยเป็นครั้งแรก ด้วยทีมงานและนักแสดงหลายเชื้อชาติหลากภาษา ณ หมู่บ้านชนบทเล็กๆ แห่งหนึ่งในสเปน

            “ตอนนั้นแซร์โจเพิ่งทำหนังมา เรื่องเดียว แต่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาดังมากในโรม เป็นจ้าวแห่งอารมณ์ขัน แค่ลองอ่านบทหนัง ผมก็รู้แล้วว่าเขาตลก จังหวะตอนนั้นดีด้วย เพราะผมเล่น Rawhide มาหลาย ซีซั่นจนเริ่มเบื่อแล้ว ผมไม่ได้ชอบเล่นหนังคาวบอยเป็นพิเศษหรอกนะ แต่คิดว่าน่าสนุกดี อีกเหตุผลหนึ่งคือผมเคยดู Yojimbo มานานแล้ว และคิดว่ามันน่าจะเป็นบทหนังคาวบอยที่ดีได้ แต่ไม่มีใครกล้าทำ โชคดีที่แซร์โจกล้า”

            แซร์โจ เลโอเน ยังปล่อยให้อีสต์วูดตีความคาวบอยปริศนาคนนี้อย่างอิสระ และเลือกเสื้อผ้าที่จะสวมเข้าฉากเอง จนอีสต์วูดเดินเข้ามาในกองถ่ายในชุดกางเกงยีนส์สีดำ สวมหมวกปีก คาดผ้าคลุมไหล่ และถุงย่ามหนังแบบอินเดียน “ผมออกไปซื้อซิการ์มาด้วย เพราะคิดว่ามันน่าจะดูเข้าท่าดีในหนังคาวบอย โดยไม่รู้ว่ารสชาติมันเจื่อนมาก แต่ผมก็ซื้อมาแล้ว เลยเอาไปให้ทีมงานใช้เป็นอุปกรณ์ประกอบฉาก เราต้องตัดมันเป็นท่อนๆ ก่อน เพราะมันเป็นซิการ์แบบแท่งยาวชื่อ เวอร์จิเนีย ผมพกมันไว้หลายแท่ง มีหลายขนาดให้เข้ากับฉากต่างๆ”

            “ผมพยายามเล่นบทนี้ด้วยการ ใช้คำพูดให้น้อยที่สุด และแสดงความรู้สึกผ่านสีหน้าและท่าทางการเคลื่อนไหว” อีสต์วูดเล่าถึงตัวละครแอนตี้ฮีโร่ ที่กลายเป็นภาพจำ ของเขาต่อไปอีกหลายสิบปี “ผมคิดภาพตัวละครแบบนี้มานานแล้ว เพราะเริ่มเบื่อกับบทของตัวเองใน Rawhide ผมคิดว่ายิ่งเขาพูดน้อยเท่าไหร่ เขาจะยิ่งดูแกร่ง และเปิดช่องว่างให้คนดูได้จินตนาการได้มากขึ้นเท่านั้น”

            จนเมื่อหมดคิวถ่ายทำ และเดินทางกลับมาใช้ชีวิตปกติในอเมริกา ข่าวคราวจากทีมงาน The Magnificent Stranger ก็พลันเงียบหาย “หลังจากนั้นผมก็อ่านบทความในนิตยสาร Variety ที่พูดถึงหนังเรื่องนึงที่กระแสตอบรับดีมากในโรมและเนเปิลส์ มันชื่อ For a Fistful of Dollars ผมไม่คุ้นเลย คนเขียนชมว่าหนังดีอย่างโน้น อย่างนี้ ผมก็อ่านไปเรื่อย จนผ่านไปสองสัปดาห์ ผมจึงค่อยฉุกคิดได้ว่า มันเขียนว่า ‘For a Fistful of Dollars นำแสดงโดยคลินต์ อีสต์วูด’ นี่นา ...โอ้พระเจ้า มันคือ หนังเรื่องนั้นนี่เอง ผมลืมมันไปเลย มันไม่ได้ลงชื่อผู้กำกับว่าแซร์โจ เลโอเนด้วย เขาเปลี่ยนในเครดิตเป็น บ็อบ โรเบอร์สัน เพราะอยากได้ชื่อที่ฟังดูเป็นคนอังกฤษหรืออเมริกันหน่อย ผมไม่รู้เรื่องนี้เลย กระทั่งพวกเขาโทรมาชวนไปเล่นเรื่องที่สองต่อ”

            หนังเรื่องที่ว่าคือ For a Few Dollars More ที่อีสต์วูดยังคงรับบทคาวบอยนิรนาม ผู้ตามล่าค่าหัวโจรปล้นธนาคารที่รับบทโดย ลี แวน คลิฟ ก่อนที่ทั้งคู่จะกลับมาฝ่าความโกลาหลของสงครามกลางเมือง ไปหักเหลี่ยมเฉียนคม ตามล่าขุมทองแข่งกับขุนโจรเม็กซิกัน (อีไล วาลลาช) ใน The Good, The Bad and the Ugly ที่ถูกเรียกรวมกันเป็น ‘ไตรภาคคาวบอยนิรนาม’ ที่ช่วยสร้างแบรนด์หนังคาวบอยอิตาลี หรือ ‘สปาเก็ตตี้เวสเทิร์น’ ให้ขจรขจายไปทั่วโลก

            “ผมจำตอนไปถ่ายทำ White Hunter Black Heart ในแอฟริกาได้ เรามีนักแสดงอังกฤษหลายคนมาเข้าฉาก และเกือบทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่า ให้ตายสิ! ผมอยากเล่นหนังคาวบอยกับคุณจริงๆ ผมโตมากับหนังสปาเก็ตตี้เวสเทิร์นของคุณนะ”

On Sergio Leon

       “แซร์โจมีวิธีการทำงานที่ น่าสนใจ เขาผูกโยงทุกอย่างได้ดี ผมเคยเล่นแต่หนังสเกลเล็ก แต่เขาชอบถ่ายภาพสเกลใหญ่ เขาเป็นแฟนตัวกลั่นของ จอห์น ฟอร์ด เช่นเดียวกับผม”
อีสต์วูดบรรยายสรรพคุณของผู้กำกับอิตาเลียน ที่ช่วยเปิดหูเปิดตาให้เขาได้เห็นกระบวนการทำหนังทุนต่ำสไตล์ยุโรป และหลังจบไตรภาคคาวบอยนิรนาม เลโอเนก็นั่งเครื่องบินมาแอลเอ เพื่อชวนเขากลับไปสวมหมวกปีกอีกครั้งใน Once Upon the Time in the West แต่อีสต์วูดตอบปฏิเสธไป เพราะไม่ว่าง และกลัวว่ากระแสหนังคาวบอยจะตก จนฉุดชื่อเสียงเขาให้ร่วงกราวไปด้วย (สุดท้าย ชาร์ลส์ บรอนสัน ก็มารับบทแทนเขา)

       หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้ ติดต่อกันอีกเลย จนกระทั่งปี 1988 เมื่ออีสต์วูดเดินทางไปโปรโมทหนังเรื่อง Bird ของตัวเองในกรุงโรม อิตาลี อันเป็นถิ่นพำนักของเลโอเน ทั้งคู่จึงนัดทานมื้อเที่ยงร่วมกันพร้อมกับ ลีนา เวิร์ทมูลเลอร์ (ผู้กำกับ Swept Away) และเมื่ออีสต์วูดถามเลโอเนว่าจะทำอะไรต่อ ผู้กำกับร่างท้วมก็ตอบว่า อยากทำหนังเกี่ยวกับเลนินกราด ที่เคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนทำ The Good, The Bad and the Ugly แล้ว แต่สุดท้าย ทุกอย่างก็เป็นแค่ความฝัน เพราะไม่กี่เดือนถัดมา เลโอเนก็เสียชีวิตในเดือนเมษายน 1989 ด้วยวัย 59 ปี

       “มันเหมือนกับเขากล่าวคำ อำลาผม” อีสต์วูดเล่าถึงบรรยากาศในการพูดคุยครั้งสุดท้ายของเขากับเลโอเน “เหมือนเขารู้สึกว่าตัวเองเหลือเวลาไม่มากแล้ว”

 

 
 

Where Eagles Dare (1968)

       “เอ เจนต์ผมคิดว่าน่าจะดี ถ้าให้ผมจับคู่กับนักแสดงที่อาวุโสกว่า ในกรณีนี้คือ ริชาร์ด เบอร์ตัน” อีสต์วูดเล่าถึงหนังสงครามล้างบางนาซี ของผู้กำกับ ไบรอัน จี ฮุสตัน ที่กระหน่ำฉากแอ็คชั่นไล่ล่ากันกลางหิมะขาวโพลน “ความท้าทายของหนังไม่ได้อยู่ที่บทบาทที่ผมเล่น แต่ผมต้องเดินทางไปถ่ายทำที่ออสเตรีย และทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานใหม่ๆ ผมกระหายประสบการณ์แบบนั้น”

       อีสต์ วูดยังพูดถึงนักแสดงรุ่นพี่ว่า “ริชาร์ดเข้าถึงตัวละครมาก ตอนนั้นเขายังควงกับคุณ (อลิซาเบธ) เทเลอร์ อยู่ ส่วนผมก็เป็นคนหนุ่มที่ไม่มีเรื่องให้วิตกกังวลอะไรมาก”

 

Paint Your Wagon (1969)

       “ผม บ้าพอที่จะลองทำอะไรหลายอย่าง” อีสต์วูด เล่าถึงประสบการณ์ครั้งแรกและครั้งเดียว ที่หลุดเข้าไปอยู่ในหนังเพลง! “ผมสนใจเรื่องเพลงมาตลอด พ่อผมเป็นนักร้อง ผมเลยพอมีพื้นความรู้บ้าง ถึงผมจะไม่ได้ร้องเพลงในหนังเลยก็ตาม” แต่สิ่งที่อีสต์วูดทำก็คือการพูดตามจังหวะเพลง โดยมี อลัน เจย์ เลอร์เนอร์ คอยคุมโทนเสียงให้ แต่น่าเสียดายที่บทหนังถูกแก้ไขหลายรอบ จนประเด็นเรื่องความรักข้ามเชื้อชาติที่อีสต์วูดชอบ ถูกตัดทิ้งไป เหลือเพียงเรื่องรักสามเส้าไร้แก่นสาร “หนังเบาสมองมาก ไม่มีแรงขับอย่างที่มีในบทหนังดั้งเดิมเลย” อีกทั้งปัญหาการถ่ายทำล่าช้า จนทุนสร้างบานปลาย ก็ทำให้อีสต์วูดออกปากในอีก 40 ปีให้หลังว่า “มันเป็นประสบการณ์ที่ผมไม่ค่อยอยากจำสักเท่าไหร่”

 

Kelly’s Heroes (1970)

       “บท หนังมีความคมคายมากทีเดียว แต่น่าเสียดายที่มันถูกถอดทิ้งไปหมด เพราะสตูดิโอต้องการขายแต่ความบันเทิง” อีสต์วูดพูดถึงการร่วมงานกับผู้กำกับไบรอัน จี ฮูสตัน เป็นครั้งที่สองในหนังสงครามที่เปลี่ยนโทนเป็นจารกรรมขำขัน เมื่อทหารอเมริกันกลุ่มหนึ่ง แข่งกันตามแกะรอยขุมทองของพวกนาซี โดยมี โดนัลด์ ซัทเธอร์แลนด์ และ เทลลี ซาวาลาส ร่วมแสดงด้วย “พวกเราไปถ่ายทำกันในยูโกสลาเวีย มีคนบ้าๆ บอๆ ทั้งจากอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี และยูโกสลาเวีย พูดภาษาท้องถิ่นกันมั่วไปหมดระหว่างการถ่ายทำ มันเหมือนกลับไปอยู่ในกองถ่ายหนังของแซร์โจเลย’

 

Dirty Harry Series


Dirty Harry (1971), Magnum Force (1973), The Enforcer (1976), Sudden Impact (1983), The Dead Pool (1988),

            “ผู้ชายคนนี้โดดเดี่ยว มีชีวิตที่ว่างเปล่า แต่เขาก็อุทิศตัวให้กับการกำจัดอาชญากรให้หมดไปจากท้องถนน”

            คลินต์ อีสต์วูดพูดถึง นักสืบ แฮรี่ คัลลาแฮน หรือ ‘มือปราบปืนโหด’ แห่งซานฟรานซิสโก เจ้าของปืน .44 แม็กนั่ม สมิธ แอนด์ เวสสัน โมเดล 29 ใน Dirty Harry ที่เป็นอีกหนึ่งบทบาทสร้างชื่อของเขาในยุค 70 ต่อจากคาวบอยนิรนาม

            แต่ใครจะคิดว่าบทหนังที่มี ชื่อดั้งเดิมว่า Dead Right ของ จูเลียน และ ริต้า ฟินค์ เรื่องนี้ จะเคยผ่านมือนักแสดงทั้ง พอล นิวแมน, สตีฟ แม็คควีน, จอห์น เวยน์ และ แฟรงค์ ซีเนตรา กับผู้กำกับอีกหลายคน ซ้ำยังถูกปรับโน่นแก้นี่นับครั้งไม่ถ้วน

            “แต่มันเป็นบทหนังที่ดีนะ” อีสต์วูดเล่าว่า สุดท้ายบทหนังตำรวจโหดล่าฆาตกรต่อเนื่องสุดโฉดเรื่องนี้ ก็กลับมาตั้งบนโต๊ะทำงานของเขาอีกครั้ง หลังจากที่เคยเห็นมันครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน “พวกเขามีบทหนังให้ผมอ่านห้าร่าง แต่ผมยังชอบบทแรกมากที่สุด แล้วพวกเขาก็ถามผมต่อว่า อยากทำหนังเรื่องนี้กับ ดอน ซีเกล ไหม”

            “ดอนชอบมีปัญหากับโป รดิวเซอร์บ่อยๆ ทั้งที่บางคนก็นิสัยดีนะ” อีสต์วูดเล่าต่อถึงผู้กำกับรุ่นใหญ่ที่รู้ใจกันดี “ตอนจะทำ Dirty Harry ผมบอกดอนว่า ผมมีบทหนังเรื่องหนึ่งที่อยากให้คุณกำกับ เขาได้อ่านบทแล้วก็ชอบ เราคุยกันเรื่องวิธีการทำงาน แล้วเขาก็ถามว่า ใครจะเป็นโปรดิวเซอร์ ผมตอบว่าคุณไง คุณจะเป็นทั้งผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ คุณจะได้ไม่ต้องอารณ์เสียกับใครอีก”

            ถึงบางคนจะตราหน้านักสืบคัล ลาแฮน ผู้นิยมใช้ความรุนแรงจัดการวายร้ายแบบถึงลูกถึงคน ว่าเป็นแอนตี้ฮีโร่หัวเอียงขวา (นักวิจารณ์หญิง พอลลีน เคล เรียกเขาว่า พวกเหยียดผิว) แต่อีสต์วูดก็ยังยืนยันคำเดิมว่า “คนชอบด่วนสรุปโดยไม่วิเคราะห์ตัวละครให้ถี่ถ้วนก่อน พวกเขาพยายามติดป้ายหัวเอียงขวาให้ตัวละครนี้ ทั้งที่เราไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นเลย แฮร์รี่ คัลลาแฮนเป็นคนซับซ้อน ปล่อยให้เขาเป็นแบบนั้นต่อไปเถอะ”

            หากตัดประเด็นเรื่องการเมือง ทิ้งไป Dirty Harry ก็ยังเป็นหนังตำรวจแนวใหม่ที่ทรงพลัง และขึ้นทำเนียบคลาสสิก อย่างปราศจากข้อกังขา ยิ่งเมื่อหนังทำรายได้ดี การสร้างภาคต่ออย่าง Magnum Force จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่าคราวนี้นักสืบคัลลาแฮนจะเจอกับตำรวจที่เหี้ยมเกรียมยิ่งกว่าตัวเขา

            “ผมคิดว่าเข้าท่าดีถ้าจะมอง เรื่องในมุมอื่นบ้าง” อีสต์วูดที่ลงเอยด้วยการผูกขาดบทมือปราบปืนโหดถึงห้าภาคเล่าว่า “ปีแล้วปีเล่าที่สตูดิโอวอร์เนอร์จะโทรมาถามผมว่า สนใจจะทำภาคต่อไปไหม ผมจะตอบว่าไม่ แล้วจู่ๆ ก็จะมีคนคิดไอเดียเด็ดๆ ออกมาได้ สุดท้ายผมเลยเล่นจนเป็นซีรีส์เลย”

            และก็เป็นภาค 4 คือ Sudden Impact ที่อีสต์วูดควบหน้าที่ผู้กำกับเองด้วย “มาถึงจุดหนึ่ง ผมก็คิดว่าควรกำกับมือปราบปืนโหดสักภาคก่อนจะอำลาซีรีส์ชุดนี้ไป

            “ผมคิดว่า Dirty Harry ภาคแรกเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมมาก การทำภาคต่อจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ปกติหนังภาคต่อมักดีสู้ภาคแรกไม่ได้ แต่ Sudden Impact ก็ออกมาดีนะ แต่ทำยากหน่อย ผมไม่ได้ดูซ้ำมานานมากแล้ว เลยเปรียบเทียบไม่ได้ว่ามันดีกว่าภาคอื่นๆ ตรงไหน”

On Don Siegel

       “เฮนรี่ บัมสเตด โปรดักชั่นดีไซเนอร์ของผมพูดบ่อยๆ ว่า ‘ผมได้ปริญญาจากกองถ่าย และครูของผมคือดอน ซีเกล’”

       คลินต์ อีสต์วูด พูดถึงสายสัมพันธ์กับผู้กำกับรุ่นใหญ่ ที่เป็นทั้งครูและเพื่อนสนิทของเขา จากผลงาน 5 เรื่องที่ทำร่วมกัน (Coogan’s Bluff, Two Mules For Sister Sara, The Beguiled, Dirty Harry และ Escape From Alcatraz) “นานๆ เราจะเถียงกันสักครั้ง แต่ส่วนใหญ่เราทำงานเข้าขากันดีนะ เราชอบนั่งแลกเปลี่ยนไอเดียกัน เขาเป็นคนที่เยี่ยมยอดมาก เป็น ผู้กำกับที่เก่ง ผมได้เรียนรู้หลายอย่างจากเขา”

       “ทันทีที่เริ่มทำหนัง เขาจะอุทิศตัวให้หนัง เขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และพยายามถ่ายทำอย่างรวดเร็วเสมอ ไม่เคยลังเล แต่จะเดินออกไปถ่ายช็อตที่ต้องการเลย พอเห็นอะไรที่ชอบก็จะบอกว่า ‘เอานี่แหละ ปรินต์ออกมาเลยนะ’ แล้วเขาก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นต่อ ในขณะที่คนส่วนใหญ่จะคิดแล้วคิดอีก แต่เขาจะตัดสินใจเร็วมาก”

       “ดอนไม่เคยโกรธที่ผมแยกตัว ไปทำหนังเองแล้วประสบความสำเร็จ เขาดีใจมากกว่าที่ผลักดันผมไปกำกับหนังได้” อีสต์วูดเล่าว่าในงานกำกับชิ้นแรกของเขาคือ Play Misty For Me ซีเกลยังมีน้ำใจมาแสดงเป็นบาร์เทนเดอร์ให้ “ผมต้องกล่อมเขาอยู่นานเลย เขาบอกว่าผมคิดผิดแล้ว ผมน่าจะหานักแสดงเก่งๆ มาเล่นบทนี้ ผมตอบว่า ไม่ๆๆ คุณต้องเล่นบทนี้ มันจะช่วยให้คุณรักนักแสดงมากขึ้น และถ้าผมเกิดมีปัญหาขึ้นมาในวันแรกของการถ่ายทำ ผมก็ยังมั่นใจว่ามียอดผู้กำกับอยู่แถวนั้นคนนึง”

       ทั้งคู่เจอกันครั้งสุดท้าย ตอนที่ซีเกลอยู่ในเซนต์หลุยส์ แคลิฟอร์เนีย หลังแต่งงานกับ แครอล ไรดัลล์ อดีตเลขาฯของอีสต์วูด และกำลังป่วยเป็นมะเร็ง โดยอีสต์วูดนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปเยี่ยม แล้วทานมื้อเที่ยงกับสังสรรค์กัน และต่อมาไม่นานนัก ซีเกลก็เสียชีวิตในวันที่ 20 เมษายน 1991 ด้วยวัย 79 ปี

 

 
 

Coogan’s Bluff (1968)

       หนังเรื่องแรกที่ ชักนำ คลินต์ อีสต์วูด มาพบกับผู้กำกับรุ่นใหญ่วัย 50 ปีเศษอย่าง ดอน ซีเกล (Invasion of the Bodysnatchers) ในบทบาทที่เป็นเสมือนรอยต่อระหว่าง คาวบอยนิรนาม กับ มือปราบปืนโหด นั่นคือ วัลต์ คูแกน นายอำเภอเลือดเดือดจากอริโซนา ผู้เดินทางมานิวยอร์ก เพื่อตามจับฆาตกรโหด

       “ผมโทรหาเพื่อนนัก แสดงที่เคยร่วมงานกับ ดอน ซีเกล มาก่อน พวกเขาบอกผมว่า ‘ดอนเก่งมาก นายจะเริ่มถ่ายทำเมื่อไหรล่ะ’ ผมตอบว่า ‘อีกเดือนหนึ่ง แต่เรายังไม่มีผู้กำกับเลย’ เพื่อนผมบอกว่า ‘โอเค งั้นดอนคือคนเดียว ที่ทำงานแข่งกับเวลาได้ผลงานดีที่สุดแล้ว ผมจึงไปเจอกับดอน ปรากฏว่าเราคุยกันถูกคอ ผมไล่ดูงานเก่าๆ ของเขาที่ผมไม่เคยดูมาก่อน ส่วนเขาก็ไล่ดูหนัง คาวบอยอิตาเลียนของผม แล้วเราก็ตกลงทำงานร่วมกัน”

 

The Beguiled (1971)

       การ ร่วมงานครั้งที่สามของคลินต์ อีสต์วูด กับดอน ซีเกล ในหนังที่ว่าด้วยเซ็กซ์ ความรุนแรง และการล้างแค้น เมื่ออีสต์วูดรับบทเป็นทหารที่ได้บาดเจ็บจากสงครามกลางเมือง แล้วได้รับความช่วยเหลือจากเด็กสาวในโรงเรียนสตรี ก่อนจะหว่านโปรยเสน่ห์ใส่ทุกคนไม่เลือกหน้า จนเกิดเป็นแรงริษยาอาฆาตรุนแรง

       “เรา ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้มันซื่อตรงกับบทประพันธ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้” อีสต์วูดเปรียบเทียบหนังกับนิยายต้นฉบับของ โธมัส คัลลิแนน “บทหนังมีฉากจบที่มองโลกในแง่ดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย มันดูเย้ยหยันขึ้นเมื่อเทียบกับต้นฉบับเดิม”

 

Escape from Alcatraz (1979)

       “ตอน นั้นผมสนิทกับดอนมากแล้ว เลยไม่ต้องเสียเวลาคุยกันนาน เราชอบอะไรคล้ายๆ กัน เลยไม่มีปัญหาอะไรเลย” คลินต์ อีสต์วูด เล่าถึงหนังเรื่องที่ห้า และเป็นเรื่องสุดท้ายระหว่างเขากับดอน ซีเกล ที่อิงจากเหตุการณ์จริงในปี 1962 เมื่อ แฟรงค์ มอร์ริส กับพรรคพวกอีกสองคนสามารถแหกคุกอัลคาทราซสำเร็จ ด้วยการใช้ช้อนส้อมขุดอุโมงค์ไปถึงท่อระบายน้ำ แล้วใช้เสื้อกันฝนทำเป็นแพหนีออกจากเกาะ โดยเจ้าหน้าที่เชื่อว่าพวกเขาน่าจะจมน้ำตาย แต่ก็ไม่มีใครพบศพ

       “เรา รู้จากคนที่อยู่ข้างในคุกว่า แผนการถูกวางขึ้นยังไง เราสามารถแกะรอยเรื่องราวทั้งหมดได้ แต่เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาหลังออกจากเกาะไปแล้ว คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้”

 

The Outlaw Josey Wales (1976)

            “เวลาที่ใครแวะทักผมตามถนน ส่วนใหญ่พวกเขาจะพูดถึง โจซี่ เวลส์ ดูเหมือนหลายคนจะชอบหนังเรื่องนี้มากนะ ผมเพิ่งเช่ามันมาดูไม่นาน และคิดว่าหนังยังดีอยู่เลย”

            มาถึงวันนี้ก็ยังหาข้อสรุป ไม่ได้ว่า The Outlaw Josey Wales หรือไตรภาคคาวบอยนิรนาม คือหนังคาวบอยที่ดีที่สุดของอีสต์วูดกันแน่ แต่ในสายตาของอีสต์วูด ที่ทั้งแสดงนำและกำกับเรื่องเรื่องแรกเองกับมือ ก็มองว่า “หนังคาวบอยสปาเก็ตตี้มีสไตล์ที่โดดเด่นมาก มันทำให้คนหันมาสนใจหนังคาวบอย และเป็นจุดเริ่มต้นของผม แต่ The Outlaw Josey Wales เป็นบทหนังเรื่องแรกที่ผมรู้สึกชอบมากจริงๆ”

            บทหนังที่ว่าเขียนโดย ฟิลลิป คอฟฟ์แมน (ที่เกือบจะนั่งเก้าอี้ผู้กำกับเองอยู่แล้ว ถ้าอีสต์วูดไม่เข้ามาเสียบแทนในนาทีสุดท้าย) จากนิยาย Gone to Texas ของ ฟอร์เรสต์ คาร์เตอร์ ที่เล่าเรื่องราวของชาวนาในมิซซูรี (อีสต์วูด) ที่กลายเป็นมือปืนผู้คลั่งแค้น หลังลูกเมียถูกสังหารโหดในช่วงปลายสงครามกลางเมือง โดยผสมโทนของหนังคาวบอยกับหนังสงครามเข้าด้วยกัน

            “หนังมีสไตล์โดดเด่นมาก เหมือนกัน คุณสัมผัสได้เลยว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้บนจอ” อีสต์วูดพูดถึงหนังที่มีทั้งอารมณ์ขันแบบแซร์โจ เลโอเน และบรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนใจแบบดอน ซีเกล “มันเป็นหนังที่ผมตกหลุมรัก”

            และถึงนักวิจารณ์หลายคนจะฟัน ธงว่าเรื่องราวในหนัง สะท้อนถึงสงครามเวียดนามที่เกิดขึ้นจริงในยุคนั้น แต่อีสต์วูดกลับมองว่า “ใช่ หนังทำขึ้นในยุคสงครามเวียดนาม ผมก็เห็นนะว่ามันเชื่อมโยงกันได้ แต่มันพูดถึงสงครามกลางเมืองมากกว่า มันคือหนึ่งในเหตุการณ์ที่นองเลือดและส่งผลกระทบมากที่สุดในประวัติศาสตร์ อเมริกา เพราะคนอเมริกันจับอาวุธมาฆ่าแกงกันเอง มันเป็นเรื่องของชายที่ผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม”

 

Play Misty For Me (1971)

            “ในช่วงชีวิตของทุกคนต้องเคย เจอกับความสัมพันธ์ที่น่ากระอักกระอ่วนใจแบบนี้ เมื่อคนหนึ่งคิดอย่างหนึ่ง แต่อีกคนดันคิดไปอีกอย่าง”

            คลินต์ อีสต์วูด เล่าถึงการรับบทเป็นดีเจหนุ่ม ที่ไปมีสัมพันธ์สวาทแบบวันไนท์สแตนด์กับแฟนคลับสาว (เจสสิก้า วอลเตอร์) แล้วถูกเธอตามคุกคามรังควานจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ในหนังที่พิเศษกว่าเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาตรงที่ เขาได้ทำงานหลังกล้อง เป็น ผู้กำกับเองครั้งแรก จากบทหนังที่อดีตเลขาฯ ของเขา เขียนขึ้นจากประสบการณ์จริง (ที่ไม่รุนแรงเท่ากับที่เห็นในหนัง)

            มันเป็นหนังทุนต่ำ ผมเลยไปคุยกับ ลิว เวสเลอร์แมน ที่ยูนิเวอร์แซลว่า ‘ผมอยากเป็นผู้กำกับเอง!’ เขามองหน้าผมแล้วตอบว่า ก็เอาสิ” อีสต์วูดเล่าว่า เขาสามารถบีบทุนสร้างให้ต่ำเพียงเจ็ดแสนเหรียญ ด้วยการถ่ายทำกันแถวบ้านในมอนทรีออล พร้อมยอมลดค่าตัว และรับเป็นเปอร์เซนต์จากรายได้ของหนังแทน “เอเจนต์ผมผิดหวังมาก แต่ผมเข้าใจเขานะ ผมอาจทำหนังพังยับเยินก็ได้ เขาให้โอกาสผมได้พิสูจน์ตัวเอง”

            อีสต์วูดยังบอกว่า การได้นั่งเก้าอี้ผู้กำกับคือฝันที่เป็นจริง “หลังจาก 17 ปีที่เดินเตร่ในกองถ่าย ได้ลองเสนอความเห็นเรื่องมุมกล้อง หรือนั่งดูนักแสดงหลายคนเผชิญกับหายนะโดยช่วยอะไรไม่ได้ และทำงานร่วมกับผู้กำกับเก่งๆ และห่วยๆ ผมก็มาถึงจุดที่อยากทำหนังของตัวเองแล้ว ผมโยนสิ่งที่เคยทำพลาดทิ้งไป และตักตวงสิ่งดีๆ ที่ได้เห็น ได้เรียนรู้มาเก็บไว้ จนตอนนี้ผมก็รู้วิธีควบคุมโปรเจกต์ และดึงสิ่งที่ต้องการออกจากตัวนักแสดงแล้ว”

            สิ่งที่อีสต์วูดพูดถือว่าไม่ เกินจริง เมื่อพิจาณาจากเสียงตอบรับของ Play Misty For Me ที่จัดว่าดีทีเดียวในยุคนั้น “หลายคนตื่นเต้นกับหนังนะ จอห์น แคสสาเวตส์ (ผู้กำกับหนังอินดี้ชื่อดัง) บอกว่า ความผิดของหนังมีอย่างเดียวคือ มันไม่มีชื่อ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก แปะบนโปสเตอร์”

 

Bird (1988)

            “ผมรักเพลงแจ๊สยุค 40 มันมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในวงการเพลงยุคนั้น”

            คลินต์ อีสต์วูด เล่าว่าเขาปลื้มเพลงแจ๊สมาตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นแล้ว และการได้มากำกับหนังชีวิตราชาเพลงแจ๊ส ชาร์ลี พาร์เกอร์ (ที่เสียชีวิตตั้งแต่อายุเพียง 34 ปีเพราะผลการใช้เฮโรอีนติดต่อกันนานหลายปี) ก็เหมือนฝันที่เป็นจริง

            “ศิลปินคนแรกที่ผมได้ดูการ แสดงสดคือ ดิซซี่ กิลเลสพี ที่มาพร้อมวงใหญ่เครื่องดนตรี 14 ชิ้น หลังจากนั้นผมก็ได้ดูชาร์ลี พาร์เกอร์, เลสเตอร์ ยัง, โคลแมน ฮอว์คคิน และใครอีกหลายคนในยุคนั้น แต่ชาร์ลี พาร์เกอร์สร้างแรงบันดาลใจให้ผมมากที่สุด เมื่อไหร่ก็ตามที่เขามาเล่นในฝั่งเวสต์โคต ผมจะหาโอกาสไปนั่งฟังทุกครั้ง

            “ผมไม่เคยรู้เรื่องราวชีวิตส่วนตัวของเขามาก่อน แต่บทหนังอิงจากภรรยาที่ใช้ชีวิตร่วมกับเขา เรื่องมันดีมาก”

            นั่นทำให้ถึงโปรเจกต์หนังจาก บทของ โจเอล โอเลียนสกี้ เรื่องนี้จะตั้งไข่ที่สตูดิโอโคลัมเบีย และวางตัว ริชาร์ด ไพร์เออร์ เอาไว้แล้ว แต่อีสต์วูดก็ใช้กำลังภายในขับเคลื่อน โปรเจกต์มาอยู่ใต้ชายคาวอร์เนอร์ แลกกับการยอมยกโปรเจกต์ Revenge (ที่วอร์เนอร์วางตัวเขาเป็นผู้กำกับ) ให้กับโคลัมเบียไปเป็นการยื่นหมูยื่นแมวกัน

            “ผมไม่รู้ว่าหนังจะทำเงินไหม แต่ผมรู้ว่าสามารถทำหนังที่ดีจากเรื่องนี้ได้ สิ่งที่ผมสัญญากับสตูดิโอได้คือ ผมจะทำหนังให้ออกมาดีที่สุด และอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นก็สุดแต่บุญแต่กรรมแล้วละ”

            สุดท้ายถึง Bird จะไม่ทำเงินอย่างที่สตูดิโอหวังไว้ แต่อีสต์วูดก็ได้รางวัลลูกโลกทองคำสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม, รางวัลออสการ์สาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยม เป็นการปลอบใจ ขณะที่ ฟอเรสต์ วิเทเกอร์ ก็ได้รับรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์

 

 
 

Thunderbolt and Lightfoot (1974)

       “มีคนบอกผมว่า คนเขียนบทหนังเรื่องนี้อยากขอกำกับหนังเอง” คลินต์ อีสต์วูดพูดถึง ไมเคิล ชิมิโน ที่เพิ่งเขียนบทหนังมือปราบปืนโหด Magnum Force และอยากเลื่อนขั้นมากำกับหนังจารกรรมสุดชุลมุนเรื่องนี้เองดูบ้าง “ผมตอบว่า ได้ ให้โอกาสเขาทำเลย เขาเขียนเรื่องได้มีสีสันดี และน่าจะกำกับได้มีสีสันขึ้นไปอีก”

       โชคดีที่ Thunderbolt and Lightfoot เป็นหนังไม่กี่เรื่องของชิมิโน ที่ทำเสร็จทันตามกำหนดและงบไม่บานปลาย “ทุกคนที่นั่นทำงานแบบสมเหตุสมผล ชิมิโนเริ่มใช้เงินทุนฟุ่ยเฟือยขึ้นในหนังหลายเรื่องหลังจากนี้ ไม่มีคำแก้ตัวสำหรับการทำงานล่าช้าเกินกำหนด ผมไม่คิดว่าเราจะเดินเข้าไปถ่ายฉากหนึ่งหลังกินมื้อเที่ยง และอีกฉากหนึ่งตอนหกโมงเย็น แล้วก็นั่งรถกลับบ้านหรอกนะ ผมชอบถ่ายไปเรื่อยๆ”

 

Every Which Way But Loose (1978)

       “มันเป็นสิ่งที่ทุก คนคาดไม่ถึง” คลินต์ อีสต์วูด พูดถึงการเปลี่ยนแนวมาเล่นหนังคู่กับลิงอุรังอุตัง! “แต่ไม่มีใครตื่นเต้นกับมันเลย เพราะมันไม่ใช่ มือปราบปืนโหด”

       หนังตลกของผู้กำกับ เจมส์ ฟรังโก (ที่เคยร่วมงานกันใน The Enforcer) ว่าด้วยมิตรภาพระหว่างนักมวยเถื่อนกับลิงแสนรู้เรื่องนี้ เคยวางตัว เบิร์ต เรย์โนลด์ มารับบทนำ ก่อนที่อีสต์วูดจะเข้ามาเสียบแบบค้านสายตาคนดู “ทุกครั้งที่มีใครบอกผมว่า กระแสตอนนี้คืออย่างนั้นอย่างนี้นะ ผมจะเลือกเดินในทิศทางตรงข้าม ผมมองหนังเรื่องนี้เป็นการพักร้อน บทหนังมีบางอย่างน่าสนใจ เกี่ยวกับชีวิตในสังคมชายขอบ’

       น่าเสียดายที่หนัง ต้องหลบไปเข้าฉายตามเมืองเล็กๆ เพราะวอร์เนอร์ต้องเคลียร์ทางให้หนังทุนสูงอย่าง Superman แต่ข้อดีของมันคือ เป็นครั้งแรกที่ลูกเล็กเด็กแดงจะได้เห็นหน้าของอีสต์วูดชัดๆ สักที “มันกลายเป็นหนังเรท PG (ทั่วไป) ไป มันเข้าถึงกลุ่มคนดูที่ผมไม่เคยเข้าถึงมาก่อน”

 

In the Line of Fire (1993)

       “ผมเพิ่งทำ Unforgiven เสร็จ และอยากพักสักหน่อยก่อนจะกำกับหนังเรื่องถัดไป แต่ผมก็ชอบบทหนังที่เพิ่งอ่านจบไปมากด้วย” คลินต์ อีสต์วูดเล่าที่มาของหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ ที่เขารับบทบอดี้การ์ดประจำตัวประธานาธิบดี ที่ต้องมาหักเหลี่ยมกับยอดมือสังหารซึ่งรับบทโดย จอห์น มัลโควิช

       “ผม เลยบอกว่า เอางี้นะ ผมจะเล่น ถ้าคุณให้สิทธิ์ผมเลือกผู้กำกับเอง ตอนนั้นผมเพิ่งดู Shattered ของวูล์ฟกัง ปีเตอร์เซน ไป ผมคิดว่าตัวเองถูกโฉลกกับการให้ผู้กำกับยุโรปมาทำหนังที่พูดประเด็นของคน อเมริกัน และแน่นอนว่า Das Boot ก็เป็นหนังที่ดีมาก”

 

Unforgiven (1992)

            “ผมคิดว่านี่ คือหนังแนวที่ผมรู้ตื้นลึกหนาบางดีอยู่แล้ว มันเหมาะจะเป็นหนังคาวบอยเรื่องสุดท้ายของผมมาก และมันก็ออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆ”

            อีสต์วูดพูดถึงงานซึ่งมีชื่อ ดั้งเดิมว่า The William Munny Killing ที่เขาซื้อบทหนังมาเก็บไว้เป็นสิบปี เพื่อรอเวลาให้สังขารร่วงโรย จนใกล้เคียงกับตัวละครนำในเรื่องคือ วิลเลี่ยม มันนี่ อดีตมือปืนในตำนาน (ที่ดูคล้ายคาวบอยนิรนามหรือโจซี่ เวลส์วัยชรา) ที่อำลาวงการไปใช้ชีวิตเป็นชาวไร่กับลูกเมีย ก่อนจะตัดสินใจกลับมาถือปืนแทนจอบเสียม เพื่อล้างแค้นให้กับโสเภณีกลุ่มหนึ่ง ไปพร้อมกับไถ่ถอนบาปกรรมในอดีต

            “ตอนแรกผู้กำกับคนอื่นกำลัง พัฒนาบทหนังเรื่องนี้อยู่ แต่เขาหาทางสร้างมันเป็นหนังไม่ได้ ผมเลยไปฉกมาโยนเก็บใส่ลิ้นชัก เพื่อรอวันเวลาที่เหมาะสม ผมจำวันที่โทรไปหาคนเขียนบท (เดวิด พีเพิล) ได้ เขาคิดว่าบทหนังเรื่องนี้ตายไปนานแล้ว ผมขอให้เขาช่วยปรับแก้นิดหน่อยตามคำแนะนำของผม”

            “ผมคุยกับเดวิด พีเพิลว่าอยากได้นี่ได้นั่น ผมจะเขียนฉากเพิ่มลงไปสองฉาก และปรับแก้อะไรนิดหน่อย แต่ยิ่งแก้ก็ยิ่งพบว่าต้นฉบับเขียนมาดีมาก และสิ่งที่ผมจะเปลี่ยนก็ทำลายโครงสร้างของมัน สุดท้ายผมเลยโทรไปหาเขากลางดึก บอกให้เขาลืมเรื่องที่ผมเคยบอกว่า จะแก้บทไปซะ ผมกลับไปใช้บทเดิม และทำหนังอย่างที่มันเขียนบรรยายไว้ แต่ผมก็เปลี่ยนชื่อหนังเพราะไม่ชอบมาตั้งแต่แรกแล้ว”

            และ Unforgiven ก็กลายเป็นงานที่ตรงข้ามกับหนังคาวบอยในอดีตของอีสต์วูดหรือผู้กำกับทุกคน อย่างสิ้นเชิง เมื่อปรัชญาตะวันตกอันสวยหรู และการผจญภัยอันโลดโผน สง่างามสมชายชาตรี ถูกแทนที่ด้วยความจริงอันมืดหม่น สกปรก โหดร้ายทารุณ และน่าสะเทือนใจ

            “ผมไม่อยากเรียกมันว่าหนังแอ นตี้ตะวันตก แต่อยากเรียกว่าหนังทำลายมายาคติตะวันตกมากกว่า เพราะมันทำลายตำนานเกี่ยวกับตะวันตกที่สั่งสมกัน มานาน บทหนังเขียนให้มีนักข่าวที่พยายามสร้างตำนานตะวันตกและทำลายมันลงไปพร้อมกัน ผมคิดว่านี่ทำให้บทหนังดูฉลาดมาก”

            และการกลับมาสวมหมวกปีกสะพาย ปืนอีกครั้งในวัยหกสิบกว่า ก็ทำให้อีสต์วูดประสบความสำเร็จถึงขั้นคว้ารางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับและ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาครองอย่างองอาจ (เสียที)

            “ผมดีใจมาก เพราะหนังคาวบอยไม่เคยได้รับรางวัลออสการ์มาก่อน หนังคาวบอยดีๆ หลายเรื่องถูกมองข้ามไป พอคิดมุมนี้ก็ยิ่งน่ายินดีเป็นสองเท่า”

            หนังยังมีถ้อยคำอุทิศว่า ‘แด่ แซร์โจ และ ดอน” เป็นการบ่งบอกชัดเจนว่า เพื่อนและอาจารย์คู่นี้มี บุญคุณที่ลืมไม่ลงมากเพียงใด

            “Unforgiven ไม่เหมือนหนังที่ผมเคยทำกับแซร์โจ (เลโอเน) และไม่เหมือนหนังที่ผมเคยทำกับดอน (ซีเกล)” แต่ผมรู้สึกเหมือนมีสองคนนี้ยืนรอผมอยู่ตรงปลายทางมาตั้งแต่ต้น แซร์โจยืนอยู่เพื่อหนังคาวบอย ดอนยืนอยู่เพื่อหนังย้อนยุคทุกแนว ตอนนั้นทั้งสองคนเพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานนัก ผมเลยอยากคารวะพวกเขาสักหน่อย ผมคิดว่ามันเป็นงานที่ดีที่สุดของผมในตอนนั้น และอยากส่งสารทักทายคนที่มาก่อนผม”

 

 
 

A Perfect World (1993)

       การโคจรมาพบกันของ สองผู้กำกับ/นักแสดงรางวัลออสการ์ ที่รุ่งจากหนังคาวบอยทั้งคู่ คือ เควิน คอสเนอร์ และ คลินต์ อีสต์วูด ที่สตูดิโอหวังโกยเงินจากแฟนคลับต่างรุ่นของทั้งคู่ ทว่ากลับต้องผิดหวังอย่างแรง เมื่ออีสต์วูดเลือกทำหนังออกมาเป็นโรดมูฟวี่ฟอร์มเล็ก เล่าเรื่องราวของโจรลักพาตัวเด็ก (คอสเนอร์) กับหน่วยเท็กซัสแรงเจอร์ชรา ที่แทบไม่ได้ร่วมซีนเดียวกันเลย

       “ผมแค่คิดถึงเรื่อง สโคปเล็กๆ และคนที่น่าสนใจ” คลินต์ อีสต์วูด ยืนยันว่าไม่เสียใจที่ทำเรื่องนี้ออกมา “ผมคิดว่ามันเป็นบทที่น่าสนใจสำหรับเควิน คอสเนอร์นะ เป็นอะไรที่เขาไม่เคยเล่นมาก่อน เป็นคนขี้โกงนิดๆ เขาอยากเล่นบทนี้มาก และผมก็คิดว่าเขาทำได้ดีทีเดียว”

 

The Bridges of Madison County (1995)

       เรื่องรักต้องห้าม ระหว่างช่างภาพหนุ่มใหญ่กับสาวชาวไร่ จากนิยายของ ริชาร์ด ลากราวีนีส ที่กว่าจะออกมาบาดลึกอารมณ์อย่างที่เห็นกันนั้น คลินต์ อีสต์วูด ต้องนั่งแก้บทกับ สตีเวน สปีลเบิร์ก ที่เป็นโปรดิวเซอร์ และกับตัวเจ้าของนิยายอยู่หลายรอบทีเดียว

       “ผมไม่มีปัญหา เรื่องการพยายามเปรียบเทียบหนังกับหนังสือ เพราะผมไม่ได้ตั้งใจจะแข่งกับหนังสือ ผมคิดว่าหนังสือน่าสนใจ มันไม่มีใครเสียชีวิตด้วยโรคร้ายหรืออะไรน้ำเน่าพรรค์นั้น ผมชอบวิธีที่เรื่องโรมานซ์เกิดขึ้นมา หนังสือจะเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของผู้ชาย แต่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของผู้หญิงมากกว่า ผมปรับเรื่องเพราะคิดว่ามันไม่สมจริงพอ” อีสต์วูดบรรยายสิ่งที่เปลี่ยนไปจากหนังสือ

       “เราให้นางเอกเป็น คนเล่าเรื่อง ซึ่งต่างกับหนังสือที่เริ่มต้นเรื่องที่วอชิงตัน แล้วติดตามพระเอกขับรถกระบะข้ามประเทศมาจนถึงฟาร์มแห่งนี้ และเจอกับเมียเจ้าของไร่ มันไม่น่าจะเหมาะกับหนัง เราอยากให้มันเล่าผ่านมุมของผู้หญิงฝ่ายเดียว”

 

Mystic River (2003)

       “ไม่มีใครตื่นเต้น กับ Mystic River เลย ทุกคนคิดว่ามันมืดเกินไป คงทนดูไม่ไหวแน่” คลินต์ อีสต์วูด พูดถึงหนังที่ดัดแปลงจากนิยายของ เดนนิส ลีเฮน ซึ่งหนุนให้ ฌอน เพนน์ ได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากบทอันธพาลในเมืองเล็กๆ ที่หัวใจสลายจากการพบว่าลูกสาวของตัวเองถูกฆาตกรรมปริศนา และตำรวจที่มาสืบคดีนี้ก็คือเพื่อนเก่า (เควิน เบคอน) ที่เคยมีความทรงจำเลวร้ายร่วมกัน

       มันเป็นหนังที่ตี แผ่สังคมอเมริกัน ตำรวจ และ อาชญากรได้มืดมนที่สุดของอีสต์วูดแล้ว “คุณไม่ควรแก้ตัวให้กับสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปแล้ว ผมอ้างยกเหตุผลร้อยแปด มาอธิบายได้ว่าทำไมหนังจึงไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผมก็มีหน้าที่ที่จะต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเองด้วยเหมือนกัน”

 

Million Dollar Baby (2004)

            “พอได้ลองอ่านบทหนัง ผมก็ชอบทันที ผมเลยโทรหา พอล แฮกกิส (คนเขียนบท) แล้วบอกว่า ผมอยากกำกับและแสดงนำในเรื่องนี้ ถ้าคุณช่วยปรับมันได้ ผมก็พร้อมเริ่มงานทันที”

            คลินต์ อีสต์วูด เล่าถึงงานที่ทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่สอง รวมทั้งยังหลุดเข้าไปชิงชัยในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากบทเทรนเนอร์มวยชรา ที่ต้องหนุนนักชกหญิงดาวรุ่ง (ฮิลลารี สแวงค์) ให้ประสบความสำเร็จบนสังเวียนผ้าใบให้ได้

            แต่กว่าที่หนังซึ่งอิงจาก เรื่องสั้นของ เอฟ.เอ็กซ์. ทูล เรื่องนี้จะได้เปิดกล้อง อีสต์วูดก็ต้องสู้ยิบตา แม้แต่กับผู้บริหารวอร์เนอร์ ที่สงสัยมากว่า หนังเรื่องนี้มีดีตรงไหน

            “พวกเขาบอกว่า ตอนนี้หนังนักมวยไม่เป็นที่นิยม ยิ่งเป็นนักมวยหญิงก็ยิ่งเจอทางตันเลยล่ะ ผมเลยบอกพวกเขาว่า จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่หนังนักมวยนะ แต่เป็นเรื่องรักระหว่างผู้หญิงที่ไม่มีพ่อ กับพ่อที่ไม่มีลูกสาว สองคนนี้โดดเดี่ยวเดียวดายบนโลก”

            “แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าผู้ บริหารสตูดิโออื่นก็คิดแบบเดียวกัน” อีสต์วูดเล่าว่าเขาลองนำโปรเจกต์ไปเสนอสตูดิโออื่นเหมือนกัน แต่ก็ได้รับคำตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ ก่อนจะวกกลับมาที่วอร์เนอร์ ที่เห็นแก่มิตรภาพอันยาวนาน อนุมัติทุนสร้างมาให้ 30 ล้านเหรียญ “ถึงแม้หลายคนจะบอกว่าอยากร่วมงานกับผม แต่ผมก็พูดตรงๆ ว่า เฮ้! ผมไม่ใช่คนที่ใส่ชุดรัดรูปแล้วดูดี หรือเล่นเป็น ซูเปอร์ฮีโร่ได้แล้วนะ ถ้าพวกคุณไม่อยากทำหนังเรื่องนี้ ไม่อยากทำหนังดราม่า แล้วคุณเข้ามาในธุรกิจภาพยนตร์ทำไมกัน”

 

Flags of Our Fathers (2006)
Letters From Iwo Jima (2006)

            หนังคู่แฝด จากเหตุการณ์สงครามบนเกาะอิโวจิมา ที่เล่าผ่านมุมมองของทหารอเมริกันและญี่ปุ่น เรื่องแรกอิงจากหนังสือของ เจมส์ แบรดลีย์ บุตรชายของ 1 ใน 6 ทหารอเมริกัน ที่อยู่ในภาพถ่ายการปักธงชาติสหรัฐบนยอดเขาซูริบาจิ ส่วนเรื่องหลังอิงจากจดหมายที่นายพล ทาดามิจิ คูริบายาชิ เขียนถึงครอบครัว “คนญี่ปุ่นดูเหมือนจะพอใจกับหนังนะ” คลินต์ อีสต์วูดพูดถึงเสียงตอบรับจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตเกียว “หลังสงครามสงบ ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นก็แน่นิ่ง ไม่มีการพูดถึงสงคราม ไม่มีการสอนเรื่องนี้ในโรงเรียน ไม่มีนักแสดงใน Letter from Iwo Jima คนไหนรู้รายละเอียดของการสู้รบบนเกาะอิโวจิมาเลย ผมจึงคิดว่าการถ่ายทอดประวัติศาสตร์ในวันนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เฉพาะกับคนญี่ปุ่นที่เป็นผู้สูญเสีย แต่สำหรับทุกคนทั่วโลก เพราะทุกคนควรตระหนักว่าสงครามคือสิ่งไร้สาระที่สุด เมื่อคนเราพยายามฆ่าแกงกันเอง ทั้งที่หากอยู่ในสถานการณ์อื่น เราอาจเป็นเพื่อนกันได้ ไม่ใช่เรื่อดีสักเท่าไหร่ที่มนุษยชาติยังคงทำสงครามประหัตประหารกันมาจนถึง ทุกวันนี้ แต่สงครามก็อยู่คู่กับมนุษยชาติมาตั้งแต่ต้น ผมไม่มีคำตอบเรื่องนี้ มีแค่ความรู้เล็กน้อยที่อยากแบ่งปัน

 

Changeling (2008)

            “มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นใน ลอสแองเจลิสปี 1928 เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งพบว่าลูกชายหายตัวไป เธอจึงพยายามให้ตำรวจ ซึ่งทุจริตคอร์รัปชั่นมากในยุคนั้น ตั้งใจทำงานให้มากขึ้น” คลินต์ อีสต์วูด เล่าถึงงานที่อิงเนื้อหาหลวมๆ จากเหตุการณ์จริงในลอสแองเจลิสปี 1928 เมื่อแม่พบว่าเด็กที่ตำรวจนำมาคืนไม่ใช่ลูกตัวเอง “แต่ตำรวจกลับหาว่าเธอบ้า และสร้างความสับสนกับเธอ ให้เธอคิดว่าเธอเพ้อไปเอง จำหนังเรื่อง Gaslight ได้ไหม ผมอยากได้อารมณ์แบบนั้น มันดราม่ามาก”

            หนังฟิล์มนัวร์ย้อนยุค แทรกประเด็นการเรียกร้องสิทธิสตรีเรื่องนี้ ยังโดดเด่นด้วยการแสดงของ แองเจลินา โจลี ในบทแม่หญิงใจเด็ด ที่อีสต์วูดชมเปาะว่า “เธอยอดเยี่ยมมาก ผมเชื่อเลยว่า เธอเป็นผู้หญิงที่อยู่ในหนังยุค 40 จริงๆ ผมไม่ได้บอกว่าผู้หญิงยุคนี้ไม่ดีนะ แต่ ผู้หญิงยุคนั้นเป็นตัวของตัวเองมากกว่าผู้หญิงยุคนี้ แค่ใบหน้าก็ไม่เหมือนกันแล้ว หน้าพวกเธอไม่ได้โบท็อกซ์มาพิมพ์เดียวกันหมด แอง เจลินามีเอกลักษณ์มาก ทั้งหน้าตาและสไตล์ เธอยังเป็นนักแสดงที่เก่งมาก ผมคิดว่าถ้าเธอเกิดยุคนั้นคงดังพอๆ กับ แคทเธอรีน เฮป เบิร์น, เบตตี้ เดวิส หรือ อิงกริด เบิร์กแมน”

 

Gran Torino (2009)

            “หลังจาก Million Dollar Baby ผมก็คิดว่าพอแล้ว ผมไม่อยากแสดงหนังอีกแล้ว แต่บทนี้เหมาะกับผมมาก” คลินต์ อีสต์วูดยอมรับว่าเขาร่ำๆ จะเกษียณจากงานแสดง มาทำงานหลังกล้องอย่างเดียวมาหลายรอบแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้สักที “โปรดิวเซอร์ ร็อบ ลอเรนซ์ อ่านบทแล้วคิดว่ามันน่าสนใจเลยให้ผมลองอ่านดู ผมก็อ่าน แล้วมันก็โดนใจผมอีกแล้ว มันเข้ามาถูกจังหวะด้วย ตอนนั้นผมกำลังอยู่ในขั้นสุดท้ายของ Changeling กำลังทำดนตรีประกอบอยู่ ผมไม่อยากนั่งรอเฉยๆ”

            บทที่ว่าคือ วอลต์ โวลันสกี้ อดีตทหารผ่านศึกสงครามเกาหลี ที่ต้องผูกมิตรกับเด็กชาวม้งข้างบ้าน ที่แอบมาขโมยรถฟอร์ด แกรนโตริโนคันงามของเขา “ผมเล่นเป็นคนที่เหยียดเชื้อชาติ แต่เขาก็ได้รับบทเรียน มันแสดงให้เห็นว่าคุณไม่แก่เกินกว่าจะเรียนรู้และเข้าใจคนรอบข้าง ที่คุณอาจไม่เข้าใจพวกเขาในตอนแรก”

            ถึง Gran Torino จะไม่ติดโผผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์เลยสักสาขา แต่หนังกลับประสบความสำเร็จบนบ็อกซ์ออฟฟิศ ถึงขั้นทำรายได้สูงสุดเท่าที่เคยมีมาของอีสต์วูด “ผมคิดว่าคนสูงอายุเข้าไปดูหนัง แล้วเห็นว่าความสัมพันธ์ในหนังก็คล้ายกับในครอบครัวตัวเอง ส่วนเด็กวัยรุ่นก็ชอบวอลต์ เพราะเขาหัวรั้นดี ผมคิดว่าทุกคนอยากเป็นเขาสักสิบนาที เขาเป็นตัวละครที่น่าสนใจ สามารถจุดประกายบางอย่างในตัวทุกคนได้ หนังยังแทรกสารดีๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับโบสถ์ กับเพื่อน วัฒนธรรม และอคติ”

            “การที่อายุ 78 แล้วยังมีหนังที่ประสบความสำเร็จขนาดนี้เป็นความรู้สึกที่ดีนะ มันทำเงินมากกว่า Million Dollar Baby อีก แต่ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมหรือเพราะอะไร มันเป็นแรงกระตุ้นให้เรายังทำหนังต่อไป ยังมีสิ่งที่เป็นปริศนา และเราก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทุกวัน”

 

Invictus (2009)

            “โลกทุกวันนี้อยากฟังเรื่อง ราวแบบนี้ ทุกคนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง เหมือนประเทศเรากำลังป่วยด้วยพิษเศรษฐกิจตกต่ำหรืออะไรก็ตามที ผมคิดว่านักการเมืองของเราจะได้เรียนรู้จากแมนเดล่าเยอะเลย”

            คลินต์ อีสต์วูด เล่ามูลเหตุที่อยากทำหนังเกี่ยวกับชีวิตของ เนลสัน แมนเดล่า ในช่วงที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ แล้วอยากร้อยดวงใจคนทั้งชาติให้เป็นหนึ่ง ด้วยการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรักบี้เวิลด์คัพ 1995

            “แมนเดล่าต่างกับเรามาก เขาเชิญผู้คุมประจำคุกที่เขาเคยอยู่ มาร่วมงานสาบานตัวรับตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยนะ เขาติดคุกอยู่นานถึง 27 ปี เลยมีเวลาคิดเรื่องต่างๆ เหลือเฟือ เขาเป็นนักปรัชญา เขาออกมาจากคุกด้วยมุมมองแบบที่พระคริสต์พึงมี หากพระองค์ยังคงมีชีวิตอยู่ คือเป็นคนที่ยอมอภัยให้ทุกสิ่งทุกอย่าง”

 

Eastwood on Eastwood

บทบาทในอดีต

            ผมคิดว่า โอ้พระเจ้า! เมื่อก่อนผมผมดกดำขนาดนี้เลยเหรอ (หัวเราะ) จริงๆ แล้วผมไม่ค่อยได้ดูหนังเก่าๆ ที่ตัวเองเล่นสักเท่าไหร่ เพราะผมเล่นหนังไว้หลายเรื่องมาก ถ้าต้องนั่งไล่ดูให้ครบ คงแก่อีกรอบพอดี ผมได้ดู The Outlaw Josey Wales เพราะเขาทำปรินท์ใหม่ และทำเสียงดิจิตอล 5.1 ผมตั้งใจจะดูแค่ห้านาที แต่สุดท้ายก็นั่งดูจนจบเรื่อง แต่ภรรยาผม (ไดนา รุยซ์ อดีตนักข่าวและผู้ประกาศข่าวทีวี) ไม่เคยดู Dirty Harry (มือปราบปืนโหด) ตอนเธอไปทำงานกับเอ็นบีซีในมอนเทอเรย์ เคาน์ตี้ เลยถูกเพื่อนร่วมงานในห้องข่าวทุกคนแซวว่า ‘เธอไม่เคยดู Dirty Harry มาก่อน แล้วก็ไปออกเดทกับคลินต์ อีสต์วูดเนี่ยนะ’ เธอตอบว่า ‘ฉันดูหนังของเขาหลายเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้’ วันหนึ่งผมเลยหา Dirty Harry มาให้เธอดู และผมก็นั่งดูด้วย มันเลยเป็นหนังเรื่องล่าสุดที่ผมได้ดู ปรากฏว่าเมียผมชอบนะ แต่ไม่รู้ว่าเธอแกล้งพูดเอาใจผมหรือเปล่า

ตัวจริงกับภาพมายา

            ขนาดผมยังเคยสับสนกับบทบาท ของตัวเองบนจอเลย มันเป็นสิ่งที่คนดูต้องการนะ เหมือนกับเด็กที่โตมากับการดูมือปราบปืนโหดก็จะรู้สึกผิดหวังที่ผมไม่หยิบ แม็กนั่ม .44 มาโชว์หราอีกแล้ว ส่วนคนที่ไม่ชอบสิ่งที่ผมทำ แล้วพยายามโยงมันเข้ากับเรื่องการเมืองก็ผิดหวังอีก เมื่อพบว่าผมไม่ได้สุดโต่งขนาดนั้น แต่คุณทำให้ทุกคนพอใจหมดไม่ได้อยู่แล้วนี่นา แล้วจะไปสนใจมันทำไมล่ะ ผมเป็นแค่นักแสดงที่รับบทบาทเป็นตัวละครต่างๆ ถ้าเราเล่นได้เข้าถึงจิตวิญญาณของตัวละคร คนดูบางคนจะเชื่อว่าเราคือเสือปืนไวที่นั่งอยู่บนหลังม้าจริงๆ มันคือแฟนตาซี แต่เป็นแฟนตาซีที่คนดูอยากเชื่อ

บทบาทสุดท้าย

            “ทุกครั้งที่ผ่านมา ผมตั้งใจให้มันเป็นเรื่องสุดท้ายจริงๆ นะ (ยิ้ม) ผมสนุกกับงานแสดงนะ แต่พอถึงจุดหนึ่งของชีวิต คุณก็ควรผ่อนคลายบ้าง ผมเคยคิดว่าจะแสดงอย่างเดียวหลายเรื่อง แต่กลับลงเลยด้วยการกำกับเองหมดเลย หลายคนอาจคิดว่าผมอยากทำแบบนั้น แต่เปล่าเลย บางครั้งก็มีการเปลี่ยนตัวทีมงานกะทันหัน ผมเลยต้องระมัดระวังหน่อย เพราะมันยากอยู่แล้วที่ต้องทำหนังโดยไม่มีใครมาเดินคุม”

กองถ่าย

            ทีมงานที่ทำงานร่วมกับผมจะ ตื่นตัว พร้อมทำงานตลอดเวลา ผมไม่จำเป็นต้องสั่งแอ็คชั่นหรือเดินกล้อง แค่ผมหันไปมองหน้าตากล้อง เขาก็กดสวิทช์ถ่ายทำแล้ว

กล้าตัดสินใจ

            ผมรู้ว่าตัวเองอยากเห็นภาพ แบบไหน ถ้าเจออะไรที่ใช่ล่ะก็... บางทีข้อดีของผมคงอยู่ที่การกล้าตัดสินใจ ไม่ว่ามันจะผิดหรือถูก ผมรู้ว่าควรให้น้ำหนักกับอะไรมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นถ้าผมเจอกับนักแสดงที่มีประสบการณ์ และอยากทำงานตามสัญชาตญาณอย่าง แองเจลินา โจลี ผมก็จะปล่อยให้พวกเขาทำงานตามแบบที่พวกเขาชอบ แต่ถ้าใครมีปัญหากับวิธีการทำงานแบบนั้น และอยากซ้อมหลายๆ รอบมากกว่า ผมก็จะให้เขาซ้อมหลายรอบ ผมพยายามกำกับหนังด้วยวิธีที่ตัวผมสมัยเป็นนักแสดงอยากถูกกำกับแบบนั้นบ้าง ผู้กำกับหลายคนที่ผมชอบ ก็โตมาแบบนี้นะ เดวิด ลีน ขึ้นชื่อเรื่องทำงานช้า โรเบิร์ต มิชชั่มเคยเล่าให้ผมฟังว่าตอนทำ Ryan’s Daughter ทีมงานต้องปีนขึ้นไปบนหน้าผา เพื่อถ่ายฉากที่เขาต้องยืนตระหง่านหน้าพระอาทิตย์ตกดิน อะไรประมาณนั้น แต่พวกเขาต้องรอกัน 3-4 วัน ฝนก็ตกทั้งวันทั้งคืน จนมิชชั่มบ่นว่า ‘ให้ตาย ตกลงเขาจะถ่ายไหมเนี่ย’ แล้วจู่ๆ ลีนก็บอกว่า ‘โอเค ออกไปถ่ายกันตอนนี้เลย’ แล้วเขาก็ถ่ายจริงๆ เขาแค่รอบรรยากาศ จอห์น ฟอร์ด, ฮาเวิร์ค ฮอว์ค หรือ ผู้กำกับรุ่นนั้นเข้าใจเรื่องนี้ดี เวลาพวกเขาเห็นอะไรที่ใช่ ก็จะบอกเลยว่า ‘โอเค เอาแบบนี้’ นะ

ผู้กำกับชรา

            ผมเสียดายทุกครั้ง เวลาเห็นผู้กำกับเก่งๆ หลายคนถูกทอดทิ้งตอนอายุ 60 อย่าง บิลลี่ ไวเดอร์ ที่อยู่นานถึง 90 ปี แต่พออายุ 60 ก็หางานทำไม่ได้แล้ว ผมเชื่อว่ายิ่งคุณอายุมากขึ้น ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ในหัวสมองคุณก็ยิ่งทับถมกันมากมาย ถ้ามันไม่ถึงกับระเบิด คุณก็สามารถหยิบมันมาใช้ได้มากมาย

คนดัง

            ในช่วงยุค 1940-70 ดาราหนังดูเหมือนจะมีที่ทางของตัวเอง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนเราจะดังขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไรก็ได้ เช่นการเป็นหลานสาวเจ้าของโรงแรมหรู หนังสือแท็บลอยด์สนใจคนแบบนั้น ต่อมาก็มีสื่ออื่นที่สนใจคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน สมัยก่อนคนอย่าง เบตตี้ เดวิส, โจน ครอว์ฟอร์ด, อิงกริด เบิร์กแมน, ฮัมฟรี่ โบการ์ต และ เจมส์ แค็กนี่ย์ เป็นคนพิเศษที่มีพรสวรรค์ ผมชอบแค็กนี่ย์มาก เขาใจถึง และกล้าทำหลายอย่างทั้งที่รู้ว่ามันจะไม่ประสบความสำเร็จ

เพื่อนดารา

            บางครั้งภรรยาผม ที่อายุอ่อนกว่าผมเยอะ ก็นึกครึ้มอกครึ้มใจถามผมว่า ‘ที่รักคะ คุณรู้จัก เอลวิส เพรสลี่ย์ หรือเเปล่า’ ผมตอบว่า ‘รู้จักสิ’ ‘แล้ว เจมส์ ดีน ล่ะคะ’ ‘รู้จัก’ ‘บ็อบบี้ ดาริน ล่ะ’ ‘รู้จัก’ เราเข้าวงการพร้อมกันในยุค 50 ดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อหวังจะสร้างชื่อเสียงในแอลเอ ..แต่เอลวิสอาจเป็นข้อยกเว้นนะ ผมเล่นทีวีซีรีส์ Rawhide ขณะที่คนอื่นก็ขึ้นเวทีอื่นรอบเมือง คนหนุ่มเป็นเพื่อนกันง่ายอยู่แล้ว ผมคิดว่าคนหนุ่มบางคนในยุคนี้ก็เป็นเหมือนเรานะ

งานและชีวิตส่วนตัว

            เวลาที่ไม่ได้ทำงาน ผมจะขึ้นไปอยู่ที่มอนเทอ เรย์หรือคาร์เมล ไปตีกอล์ฟ สังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรืออ่านบทเพื่อค้นหาว่าจะทำอะไรต่อ ผมชอบอยู่กับครอบครัว ดีนะที่ผมหาจุดสมดุลน่ะ

คาร์เมล

            ผมอยู่ที่นั่นมานานแล้ว ผมตกหลุมรักมอนเทอ เรย์ เพนินซูล่ามาตั้งแต่ปี 1951 และคิดว่าถ้ามีเงินก็จะย้ายมาอยู่ที่นี่ให้ได้ สมัยนั้นมันยังไม่ใหญ่โตอย่างทุกวันนี้ ตัวผมเองก็ยังไม่มีอาชีพมั่นคง เป็นแค่จีไอ ยังไม่รู้อนาคตในวันข้างหน้า แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน ผมก็จะย้อนกลับมาที่นั่นเสมอ ผมรักที่นั่น มันเหมาะกับผม มันคือบ้าน

วอร์เนอร์ บราเธอร์ส

            ตอนปี 1970 วอร์เนอร์ชวนผมไปทำ Dirty Harry และเราก็ได้ทำจริงๆ ในปี 1971 ตอนนั้นผมยังทำงานในสังกัดยูนิเวอร์แซลอยู่ แต่ผมก็กลับไปทำภาคต่อของ Dirty Harry ให้วอร์เนอร์อยู่เรื่อยๆ หลังจากทำไปได้ 3-4 ภาค ผมก็มีโปรเจกต์หนังคาวบอย The Outlaw Josey Wales อยู่ในมือ ผมชอบมันมาก เลยโทรถามวอร์เนอร์ว่า ผมอยากทำหนังเรื่องนี้ ถ้าคุณให้ผมทำ ผมจะย้ายไปอยู่กับคุณ และผมก็ได้ทำ มันเป็นหนังเรื่องแรกของผมหลังย้ายไปอยู่วอร์เนอร์ และผมก็อยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้ ผมชอบสตูดิโอนี้ พวกเขาให้อิสระผมเต็มที่

รางวัล

            ผมไม่เคยประเมินอาชีพตัวเอง ผมแค่ทำในสิ่งที่รู้สึกว่าต้องทำ การถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลไม่เคยเป็นแรงผลักดันอะไรสำหรับผมเลย พอคุณทำหนังเสร็จแล้ว มันก็ไม่ได้เป็นของคุณอีกต่อไป มันกลายเป็นของคนดู พวกเขามีสิทธิที่จะตีความหรือเลือกว่าจะให้มันได้เข้าชิงรางวัลอะไรบ้าง คุณจะทำหนังโดยคิดถึงแต่รางวี่รางวัลไม่ได้หรอก คุณแค่ต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น อะไรที่นอกเหนือไปจากนั้นก็อย่าไปคิดถึงมันให้เปล่าประโยชน์เลย 

 

 

 

 

 

ฮ่ะ !!! ปูจะกู้เพิ่มอีก !!!!!

 

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
สุมาอี้'s profile


โพสท์โดย: สุมาอี้
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
20 VOTES (4/5 จาก 5 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เตือนคนชอบสะสมเปลือกหอย หญิงสาวเกือบตายเพราะเก็บเปลือกหอยสวยงามบนชายหาด!ห้องนอน "ฮุนเซน" ดังว่อนโซเชียล..หลายคนแห่แซวห้องก็ใหญ่ แต่ทำไมแอร์นิดเดียว"Skor Krob" เจ้าแม่สายเคลม ชุดประจำชาติใหม่โผล่อีก! โซเชียลไทยแซะยับ "เขมรโบราณกี่โมง?""อุ๊งอิ๊งยิ้มเจื่อน! เปิดห้องพัก 'อังเคิล' แอร์ 9,000 BTU – ชุดที่นอนแอปดังแค่พันเดียว"ฮุนเซนเตรียมขอสัญชาติกัมพูชาให้หลวงตาสุจ เพราะเคารพศรัทธาในคำสอนป้อง ณวัฒน์ เปิดใจ! เผยสถานะอดีตพระเอกยุค 90 หลังถูกมองว่าชีวิตตกอับเลขเด็ด "ปฏิทินคำชะโนด" งวดวันที่ 1 กรกฎาคม 68..เลขไหนมาแรง ส่องดูกันเลย!!ชาวเน็ตไทยสุดเจ๋ง! แต่งห้องใหม่ให้ "ฮุนเซน"..มีทุกแนว แซวทุกช็อตจับตา "อิหร่าน" โจมตี "อิสราเอล" ทางไซเบอร์!ฮือฮา! พ่อแม่ไต้หวันจ้างสาวเต้นรูดเสา ฉลองลูกชายเรียนจบหน้าโรงเรียนกระทรวงวัฒนธรรมกัมพูชาแถลงการณ์บอกว่าวัดภูม่านฟ้า จ.บุรีรัมย์ สร้างเลียนแบบนครวัดของกัมพูชาเลขเด็ด เลขมาเเรง เลขดัง "รวมหวยเด็ดสำนักดัง vol.3" งวดวันที่ 1 กรกฎาคม 2568
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ริวิวร้านเล็กเล็ก พุทธศักราช๒๕๕๖ (จังหวัดมหาสารคาม)กระทรวงวัฒนธรรมกัมพูชาแถลงการณ์บอกว่าวัดภูม่านฟ้า จ.บุรีรัมย์ สร้างเลียนแบบนครวัดของกัมพูชาไทยนำเข้ามันสำปะหลังมาทำอะไร?"Skor Krob" เจ้าแม่สายเคลม ชุดประจำชาติใหม่โผล่อีก! โซเชียลไทยแซะยับ "เขมรโบราณกี่โมง?"ทลายยับ! โรงงานยาแก้ไอปลอม 5 จุด มูลค่ากว่า 22 ล้าน ดับฝันสาย 4X100วิจัยชี้ "วัว" มีความสุขเมื่ออยู่กับเพื่อนสนิท ช่วยเพิ่มน้ำนม-ลดความเครียด
ตั้งกระทู้ใหม่