ตำนานพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง เรื่องจริงหรือไม่?
โพสท์โดย ยัยแว่นโก๊ะ
ไขปริศนาพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง เรื่องจริงหรือไม่?

เรื่องราวของพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตงมีปรากฏหลักฐานชัดเจนในพระราชพงศาวดารของไทยเกือบทุกฉบับที่ชำระขึ้นในสมัยหลัง ข้อความมีปรากฏตรงกันคือ
“...ครั้นพระเจ้าหงสาวดีแจ้ง จึงให้พระมหาอุปราชาถือพล ๑๐๐,๐๐๐ ให้สุระกำมาเป็นกองหน้า ตามมาเถิงแม่น้ำสะโตงฟากหนึ่ง สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ให้นายทัพนายกองนำพระมหาเถรคันฉองกับครอบครัวรีบไปก่อน แต่พระองค์กับทหารลำลอง ๑๕,๐๐๐ นั้นยังรออยู่ริมฝั่ง จึงทอดพระเนตรไปเห็นสุระกำมากองหน้า ใส่เสื้อแดงขี่ช้างยืนอยู่ริมฟากน้ำ ตรัส ให้ทหารเอาปืนหามแล่น และปืนนกสับคาบชุดยิงระดมไปเป็นอัน มากก็ไม่เถิง จึงสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า ก็ทรงพระแสงปืนนกสับยาวเก้าคืบ ยิงไปต้องสุระกำมาตกจากคอช้างตาย รี้พลรามัญทั้งนั้นเห็นอัศจรรย์ ด้วยแม่น้ำนั้นกว้างเหลือกำลังปืน ก็กลัวพระเดชเดชานุภาพ และพระมหาอุปราชามิอาจจะตามมาได้ ก็เลิกทัพกลับไป...”
ปัญหาที่มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตหรือเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องราวที่เรารับรู้และเชื่อกันมานมนาน เช่น ปืนในสมัยนั้นจะมีพิสัยยิงข้ามแม่น้ำสะโตงซึ่งกว้างราว ๆ ๖๐๐ เมตรได้จริงหรือ และถึงแม้ว่ายิงข้ามแม่น้ำสะโตงได้ ความแม่นยำจะมีมากน้อยเพียงใด
ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “...จึงสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า ก็ทรงพระแสงปืนนกสับยาวเก้าคืบยิงไปต้องสุระกำมาตกจากคอช้างตาย...”
อย่างไรก็ตาม ข้อความนี้น่าจะมีความผิดพลาดอย่างแน่นอน เพราะว่าปืนนกสับคาบศิลานั้นยังไม่มีใช้ ณ เวลานั้น ปืนประเภทนี้ถูกผลิตขึ้นหลังเหตุการณ์นี้ร่วม ๓๐ ปี เมื่อพิจารณาจากความเป็นไปได้แล้ว ข้อสันนิษฐานแบ่งออกได้เป็น ๒ กรณี
กรณีที่ ๑ คือสมเด็จพระนเรศวรอาจจะทรงยิงด้วย “ปืนคาบชุด” เป็นที่แน่นอนว่าในยุคนั้นมีปืนคาบชุดใช้กันแล้วเพราะปืนประเภทนี้เริ่มผลิตก่อนเหตุการณ์นี้ร่วม ๑๐๐ ปี แต่การที่พงศาวดารระบุว่าเป็นปืนนกสับน่าจะเป็นความเข้าใจผิดในการบันทึกในภายหลังเสียมากกว่าโดยเป็นไปได้ว่าเกิดความสับสนในตัวกระเดื่องในปืนคาบชุดกระเดื่องเป็นรูปงู ส่วนในปืนนกสับคาบศิลา กระเดื่องเป็นรูปนกและอาจมองสับสนกันในพงศาวดารจึงเรียกปืนคาบชุดเป็นปืนนกสับไปด้วย
หลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้คือหลังจากพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตงสูญหายไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ทรงโปรดให้มีการจำลองขึ้นใหม่ เพื่อใช้ในราชพิธีและพระแสงปืนจำลองนี้เป็นปืนคาบชุด
หรือในกรณีที่ ๒ สมเด็จพระนเรศวรอาจจะทรงยิงด้วยปืน Snaphaunce เพราะปืนชนิดนี้เริ่มผลิตก่อนเหตุการณ์พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตงประมาณ ๑๔ ปี ลักษณะของกระเดื่องคีบหินเหล็กไฟก็มีลักษณะคล้ายไกหรือนกเช่นเดียวกันและกลไกการทำงานก็ใกล้เคียงกับปืนนกสับคาบศิลามาก จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าปืน Snaphaunce นี้ คือปืนที่สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้ยิงสุระกำมา แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเรื่องปืนโบราณบางท่านได้ให้ความเห็นไว้ว่า เราไม่พบหลักฐานว่ามีปืน Snaphaunce เข้ามาในสยามสมัยนั้น ดังนั้นความเป็นไปได้ที่ใกล้เคียงที่สุดคือสมเด็จพระนเรศวรน่าจะทรงใช้ปืนคาบชุดยิงสุระกำมามากกว่า
ท้ายที่สุด ทีมงานสร้างภาพยนตร์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ได้สร้างปืนจำลองด้วยขนาดและเทคโนโลยีที่เชื่อว่าใกล้เคียงกับ “พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง” มากที่สุด และได้ทดลองยิง ผลปรากฏว่า สามารถยิงได้ไกลในระยะกว่า ๖๐๐ เมตร แต่ทว่า “ความแม่นยำ” นั้น ไม่สามารถหวังผลได้
ด้วยเหตุนี้ ผู้สร้างภาพยนตร์จึงขับเน้นการอธิบายปรากฏการณ์ของพระวีรกรรมนี้ว่าเป็น “พระกฤษดาภินิหารอันบดบังมิได้” ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเจ้าจักรพรรดิราชแห่งกรุงศรีอยุธยา
ขอบคุณข้อมูลจาก :http://www.samkokview.com/main/index.php/2012-02-05-14-25-15/ประวัติศาสตร์เอเชีย/177-พระแสงปืนต้น-แม่น้ำสะโตง
หรือในกรณีที่ ๒ สมเด็จพระนเรศวรอาจจะทรงยิงด้วยปืน Snaphaunce เพราะปืนชนิดนี้เริ่มผลิตก่อนเหตุการณ์พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตงประมาณ ๑๔ ปี ลักษณะของกระเดื่องคีบหินเหล็กไฟก็มีลักษณะคล้ายไกหรือนกเช่นเดียวกันและกลไกการทำงานก็ใกล้เคียงกับปืนนกสับคาบศิลามาก จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าปืน Snaphaunce นี้ คือปืนที่สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้ยิงสุระกำมา แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเรื่องปืนโบราณบางท่านได้ให้ความเห็นไว้ว่า เราไม่พบหลักฐานว่ามีปืน Snaphaunce เข้ามาในสยามสมัยนั้น ดังนั้นความเป็นไปได้ที่ใกล้เคียงที่สุดคือสมเด็จพระนเรศวรน่าจะทรงใช้ปืนคาบชุดยิงสุระกำมามากกว่า
ท้ายที่สุด ทีมงานสร้างภาพยนตร์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ได้สร้างปืนจำลองด้วยขนาดและเทคโนโลยีที่เชื่อว่าใกล้เคียงกับ “พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง” มากที่สุด และได้ทดลองยิง ผลปรากฏว่า สามารถยิงได้ไกลในระยะกว่า ๖๐๐ เมตร แต่ทว่า “ความแม่นยำ” นั้น ไม่สามารถหวังผลได้
ด้วยเหตุนี้ ผู้สร้างภาพยนตร์จึงขับเน้นการอธิบายปรากฏการณ์ของพระวีรกรรมนี้ว่าเป็น “พระกฤษดาภินิหารอันบดบังมิได้” ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเจ้าจักรพรรดิราชแห่งกรุงศรีอยุธยา
ขอบคุณข้อมูลจาก :http://www.samkokview.com/main/index.php/2012-02-05-14-25-15/ประวัติศาสตร์เอเชีย/177-พระแสงปืนต้น-แม่น้ำสะโตง
ที่มา: เพจ ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรสยาม
ขอบคุณข้อมูลจาก :http://www.samkokview.com/main/index.php/2012-02-05-14-25-15/ประวัติศาสตร์เอเชีย/177-พระแสงปืนต้น-แม่น้ำสะโตง
ขอบคุณข้อมูลจาก :http://www.samkokview.com/main/index.php/2012-02-05-14-25-15/ประวัติศาสตร์เอเชีย/177-พระแสงปืนต้น-แม่น้ำสะโตง
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
48 VOTES (4/5 จาก 12 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ












Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด





