สัตว์โลกน่ารัก-จริงๆนะ
1.หมู - จู๋บิดเป็นเกลียวและการหลั่งที่กินเวลานานหลายสิบนาที
อวัยวะเพศผู้ของหมูมีความยาวถึงเกือบ ฟุตครึ่ง และแทนที่หัวองคชาติด้วยลักษณะที่บิดเป็นเกลียว เมื่อหมูตัวผู้ทำการขี่หมูตัวเมีย มันจะเริ่มต้นด้วยการขยับในลักษณะวงกลม จนกระทั่งเกลียวของเพศผู้ได้ลงล๊อคกับโครงสร้างเกลียวของมดลูกหมูเพศเมีย ซึ่งนับว่า "ลึก" กว่ามนุษย์ที่แค่สอดเข้าไปในบริเวณช่องคลอดมาก และสาเหตุที่หมูต้องใช้เวลานับสิบนาทีในการหลั่ง อาจจะเป็นเพราะว่าในการหลั่งหนึ่งครั้ง หมูสามารถหลั่งเชื้ออสุจิได้มากถึงเกือบครึ่งลิตร
2.ทากกล้วย - กะเทยโหดกัดกะปู๋ขาดสะบั้น
ทากกล้วยเป็นทากที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก ตัวเต็มวัยมีขนาดใหญ่ได้ถึง 25 ซม. และเช่นเดียวกับสัตว์ตระกูลทากทั่วไป ทากกล้วยทุกตัวเป็น "กะเทย" (Hemaphrodite) แต่กำเนิด นั่นหมายความว่าทากกล้วยทุกตัวมี "จู๋" และก็มีรังไข่ และจู๋ของทากกล้วยก็สามารถยาวได้เท่ากับขนาดของลำตัวมันเลยทีเดียว เมื่อทากสองตัวจะผสมพันธุ์กัน มันจะวนรอบๆกันเป็นสัญลักษณ์หยิน-หยางเพื่อเปรียบเทียบขนาดลำตัวและความเหมาะสม (ในภาพ) และเมื่อทากกะเทยทั้งสองถูกใจกันแล้ว พวกมันก็จะแลกเปลี่ยนกันเอาจู๋ของพวกมัน ทิ่มออกมาจากบนหัวไปยังทากอีกตัว สลับกันแลกเปลี่ยนสเปิร์ม ปฏิสนธิกับไข่ซึ่งกันและกัน
เรื่องที่ประหลาดที่สุดของทากกล้วย เริ่มต้นหลังจากที่ทากกล้วยทำการผสมพันธุ์ซึ่งกันและกันเสร็จแล้ว ในหลายๆ ครั้ง พวกมันจะเริ่มหันมาเขมือบจู๋ของทากอีกตัวขาดสะบั้นอย่างไม่ปราณี และทากอีกตัวก็จะตอบสนองด้วยความดุดันไม่แพ้กัน ในทางชีววิทยาเราเรียกปรากฎการณ์ "กินจู๋" นี้ว่า "Apophallation" - ทากที่โดนกัดจู๋ไปแล้ว จะไม่สามารถงอกอันใหม่ขึ้นมาทดแทนได้ และจะกลายเป็นทากขันธีไปตลอดชีวิต
3.แมว - จู๋มีหนาม
มนุษย์บางคนถึงกับต้องไปสรรหาสิ่งแปลกปลอมมา "ฝัง" เอาไว้ในอวัยวะของตัวเองเพื่อเพิ่มความท้าทายและความเร้าอารมณ์ แต่สำหรับแมวแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่จำเป็นเลย เพราะว่าแมวนั้นมีฝัง "หนามจู๋" เอาไว้โดยธรรมชาติแต่เกิดอยู่แล้ว การขูดกันของหนามจู๋กับผนังช่องคลอดของแมวนี้นั้น อาจจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้แมวตัวเมียเกิดการตกไข่ได้ดีขึ้น นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมแมวตัวเมียจึงมักร้องเสียงดัง และร้องเสียบ่อยครั้ง ในช่วงที่มันติดสัด นักวิทยาศาสตร์พบว่า การมีหนามนั้น มีผลช่วยพัฒนาความรู้สึกให้ไวต่อสัมผัสมากขึ้น และช่วยลดเวลาในการหลั่ง (สำหรับตัวผู้) ส่วนสำหรับแมวตัวเมียนั้น การที่ตัวผู้มีหนามนั้นทำให้ตัวเมียรู้สึกดีขึ้นหรือไม่ คงมีแต่แมวตัวเมียเท่านั้นที่สามารถตอบได้...
4.จระเข้ - กระปู๋แข็งตลอดเวลา พร้อมพับเก็บได้เอง
เราพบว่ากระปู๋ของจระเข้นั้น ประกอบขึ้นด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันแข็งๆ จำนวนมาก และแข็งตัวอยู่ตลอดเวลา แม้เวลาที่เก็บเอาไว้ไม่ได้ใช้ และกระปู๋ของจระเข้จะถูกดึงเอาไว้ด้วยเส้นเอ็น ที่คอยดึงเก็บเอาไว้อยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลาใช้งานจะมีกล้ามเนื้อที่คอยดึงให้กระปู๋ที่แข็งรอเอาไว้ พับออกมา และเมื่อกล้ามเนื้อนี้หยุดทำงาน เส้นเอ็นก็จะดึงเก็บกลับมาเองอัตโนมัติ และกระปู๋จระเข้นั้นก็ยังมีความพิเศษตรงที่ว่า ภายในกระปู๋ไม่ได้มีท่อ แต่ว่ามี "ร่อง" อยู่ด้านใต้ของกระปู๋ ที่ปล่อยให้น้ำเชื้ออสุจิไหลย้อยไปตามร่องกระปู๋
ถึงแม้กระปู๋ของจระเข้จะประกอบด้วยเนื้อเยื่อแข็ง แต่บริเวณปลายก็ยังมีเนื้อเยื่ออ่อนๆ ที่สามารถแข็งตัวได้เมื่อปั๊มเลือดเข้าไป และนักวิทยาศษสตร์ยังสันนิษฐานว่าบริเวณร่องอาจจะพับตัวขึ้นมาเพื่อประกอบเป็นท่ออย่างหยาบๆ ในช่วงการผสมพันธุ์ นั่นเท่ากับว่ากระปู๋จระเข้เป็นกระปู๋แบบไฮบริดอย่างแท้จริง คือมีทั้งส่วนที่แข็งและส่วนที่อ่อน และมีทั้งท่อ ที่ไม่ใช่ท่อ!
งานนี้พูดได้แค่สองคำว่า... "yed.เข้"
5.สิงโต - :ซั่มมาราธอนวันละร้อยครั้ง
คิดว่าสำหรับมนุษย์ วันละกี่ครั้งถึงจะเรียกว่า "บ่อย?" ห้าครั้ง? สิบครั้ง? แต่สำหรับสิงโตแล้วนั้น สิงโตในช่วงติดสัดสามารถผสมพันธุ์กันได้บ่อยถึงวันละร้อยครั้ง! สิงโตเป็นสัตว์ที่ไม่มีฤดูผสมพันธุ์ตายตัว และสามารถติดสัดได้ตลอดทั้งปี (polyestrous) เมื่อสิงโตตัวเมียติดสัด ซึ่งกินเวลาประมาณ 3-4 วัน สิงโตตัวเมียสามารถผสมพันธุ์กับตัวผู้ได้มากกว่าหนึ่งตัว (ถ้าจ่าฝูงยอม) และผสมพันธุ์กันซ้ำแล้วซ้ำแล้วกว่าร้อยครั้งในแต่ละวัน ถึงแม้ว่าดูเผินๆ แล้วเราจะรู้สึกว่าสิงโตนี่ "อึด" เสียจริงๆ
แต่จริงๆ แล้วการผสมพันธุ์แต่ละครั้ง กินเวลาแค่นาทีถึงสองนาทีเท่านั้นเอง (ถุยยยย)
6. หมี - จอมโม๊ค
"ในทุกๆครั้งหมีผู้ "ให้" จะเป็นผู้เริ่มก่อน โดยเข้าไปหาหมีผู้ "รับ" ที่กำลังนอนหงาย ตะแคงข้าง หรือเปิดช่องท้องอยู่ ถ้าผู้รับไม่ได้เปิดช่องท้อง หมีผู้ให้จะดันหัวเข้าไป หรือเอาอุ้งมือแยกขาถ่างออก หลังจากเริ่มเลียแล้ว หมีอาจจะปรับเปลี่ยนท่าทีให้สะดวกสบายขึ้น และเมื่อเริ่มดูดแล้ว หมีทั้งสองจะไม่เปลี่ยนท่าไปท่าไหนอีก" โดยการดูดแต่ละครั้งจะกินเวลาประมาณหนึ่งถึงสี่นาที
ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่าอาจจะเป็นเพราะว่าหมีสองตัวนี้กำพร้า และถูกพรากออกจากอกแม่ตั้งแต่ยังไม่หย่านม การไม่ได้ดูดเต้านมในวัยเด็กอาจจะทำให้หมีหนุ่มพยายามหานมอะไรอย่างอื่นดูดเพื่อชดเชยวัยเด็กที่ขาดหายไป
7.โลมา - จอมหื่นแห่งท้องทะเล
โลมาเป็นสัตว์ที่หื่นเอามากๆ และหา "ช่องทาง" ใช้อวัยวะของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนี้อยู่ตลอดเวลา โลมาตัวผู้มักจะอยู่กันเป็นฝูง เมื่อเจอตัวเมียที่กำลังจะติดสัด พวกมันก็จะส่งเสียงร้อง "ปี้ๆๆๆๆๆๆๆ" และพยายามว่ายต้อน กักขัง หน่วงเหนี่ยว ขู่กรรโชก ทั้งทางกายและทางจิตใจ จนกระทั่งตัวเมียติดสัดฝูงตัวผู้จึงบังคับและกระทำชำเรากับโลมาตัวเมียจนเสร็จสรรพ แล้วก็ว่ายหนีไป นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าโลมาทำการผสมพันธุ์กัน ถึงแม้จะไม่ใช่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์
จึงสรุปได้ว่าโลมาก็น่าจะร่วมเพศเพื่อความบันเทิงเช่นเดียวกับมนุษย์ โลมาหาทาง "ปี้" แทบจะกับทุกช่องที่มันหาเจอ ตัวเมียสองตัวสามารถว่ายเอาท้องมากระแทกกันเพื่อเล่นดนตรีไทยเข้าจังหวะ
บางครั้งตัวเมียตัวหนึ่งก็จะเอาปลายปากดันกระทุ้งเข้าไปในช่องคลอดของตัวเมียอีกตัว ส่วนโลมาตัวผู้นั้นเล่นพลิกแพลงได้มากกว่านั้น มีการใช้ทั้งปลายปาก ครีบ ไปจนถึงเอาอวัยวะสอดเข้าไปในช่องเก็บอวัยวะของตัวผู้ตัวอื่น รูทวารหนัก หรือแม้กระทั่งสอดเข้าไปช่องหายใจด้านบนหัวของโลมาตัวอื่น
โลมาตัวผู้มีจู๋ที่ยาวได้ถึง 14 นิ้ว และสามารถบิดงอเพื่อฉุดขานักประดาน้ำและลากลงไปในถ้ำโลมาใต้บาดาล มีการพบว่าเมื่อฝูงโลมาตัวผู้กำลังหื่นได้ที่ พวกมันจะว่ายเพื่อต้อนมนุษย์ที่กำลังเล่นน้ำ ออกมาจากฝูงชน เพื่อที่จะลากไปรุมโทรมต่อไป
และเมื่อไม่มีสัตว์ใดให้ปี้ โลมาก็ยังสามารถสร้าง "jimปลอม" ใช้เองได้ โดยการกัดหัวปลาขนาดเล็ก และคว้านเครื่องในออกจนเป็นรู จากนั้นจึงสำเร็จความใคร่ไปในซากศพของปลา
8.ลิงโบโนโบ้ - ทุกปัญหาแก้ได้ด้วยการมีเซ็กส์หมู่
ในสังคมลิงโบโนโบ้นั้นเต็มไปด้วยความสงบสุข ลิงโบโนโบ้เป็นลิงรักสงบ กินแต่พืชเป็นอาหาร และแทบไม่เคยมีปัญหาใช้ความรุนแรงกันในฝูงลิงเลย นั่นก็เป็นเพราะว่า นอกจากลิงโบโนโบ้เป็นลิงรักสงบแล้ว ยังเป็นลิงรักสนุกเสียอีกด้วย จริงๆ แล้วชีวิตประจำวันของลิงโบโนโบ้นั้นแสนเรียบง่าย เมื่อไหร่ที่ลิงโบโนโบ้ไม่ได้กิน หรือนอนอยู่ พวกมันก็จะใช้ชีวิตประจำวันประกอบกิจกรรมซั่มกันเองในหมู่สมาชิก "โดยไม่จำกัดทั้งเพศและวัย"
ลิงโบโนโบ้เป็นสัตว์เพียงไม่กี่ชนิด ที่สามารถสานสัมพันธ์ได้ด้วยท่ามิชชันนารี เนื่องจากลิงโบโนโบ้มีอวัยวะเพศเมียที่ยื่นมาข้างหน้า (และมีขนาด clitoris ใหญ่กว่าของมนุษย์ถึงสามเท่า) จึงสามารถประกอบได้ทั้งกิจกรรมดนตรีไทยเข้าจังหวะ กิจกรรมกระบี่กระบอง และเรายังเคยพบเห็นลิงโบโนโบ้ทำทั้งการแลกลิ้น เลีย และอม เรียกได้ว่าครบทั้งชุดเหมือนคนเราเลยก็ว่าได้
9.ไฮยีน่าลายจุด - เมื่อเธอเป็นสาวดุ้น
ไฮยีน่าตัวเมียทุกตัว มี "จู๋"
ไฮยีน่าตัวเมียทุกตัวจะมีส่วนของ clitoris ใหญ่เป็นพิเศษ จนยื่นออกมาเป็นท่อ ไม่เพียงเท่านั้น แม้กระทั่งส่วนของ Labia Majora (แคมนอก) ก็ห่อกันพันลงมาเป็นถุง คล้ายกับถุงอัณฑะ นั่นทำให้พวกเธอมีสภาพอาวุธภายนอกครบใช้งานเฉกเช่นไฮยีน่าชายฉกรรจ์ทุกประการ ในภาษาวิทยาศาสตร์เราเรียกอวัยวะที่ไม่ใช่จู๋ แต่มีรูปร่างเหมือนจู๋ทุกประการนี้ว่า pseudo-penis (จู๋ปลอม)
นอกจากนี้ ไฮยีน่าตัวเมียยังมีขนาดตัวใหญ่ และก็ดุกว่าตัวผู้ ในฝูงไฮยีน่าทั่วไปจะถูกนำด้วยสาวดุ้นร่างกายกำยำ เดินส่ายอวดไข่เทียมกันไปมา ขณะที่ตัวผู้ตัวเล็กๆ ได้แต่วิ่งวนรอบๆ อย่างเหนียมอาย
การฟีเจอร์ริ่งของไฮยีน่าตัวผู้นั้น เป็นไปด้วยความลำบากเหลือหลาย เพราะนอกจากเจ้าหล่อนจะแข็งแรงพอที่จะงับหัวได้ง่ายๆ ไฮยีน่าตัวผู้ยังต้องพยายามย้อนศรขึ้นไปตามท่อน pseudo-penis ของตัวเมีย (ซึ่งก็ดันชี้ไปข้างหน้า) เริ่มจากท่ายองๆดังภาพ จบด้วยขึ้นขี่แบบหมา (จริงๆ แล้วไฮยีน่าไม่ใช่หมา) และก็ฟุบสลบไปบนหลังของตัวเมีย
10.เสือขาวเคนนี่ - ทำไมพี่น้องเอากันเองถึงเป็นเรื่องสัปดน
เมื่อสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดมาครั้งแรก สิ่งมีชีวิตสามารถสืบพันธุ์ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติได้วิวัฒนาการการสืบพันธุ์โดยอาศัยเพศขึ้นมาหลายครั้ง ในหลายเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกัน เพื่อให้สิ่งมีชีวิตต้องหันมาเอากันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
เสือขาว"เคนนี่"เกิดจากความผิดปรกติของพันธุกรรมที่ขาดยีนที่สร้าง pheomelanin ที่ทำให้เกิดสีส้มจากโครโมโซมทั้งสอง เนื่องจากยีนนี้เป็นยีนด้อย และหาได้ยาก การผสมพันธุ์เสือขาว จึงได้มาจากการผสมพันธุ์เสือขาวกับเสือที่เป็นญาติใกล้ชิดกัน
เนื่องจากเสือขาวมีจำนวนไม่มากในโลก จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสืบพันธุ์ระหว่างพี่น้องด้วยกันได้ และผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือเสือขาวจำนวนมากที่มีความผิดปรกติทางพันธุกรรม รวมถึงเจ้าเคนนี่ ที่สุดท้ายก็เสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งในปีค.ศ. 2008
แต่เจ้าเคนนี่ก็เป็นสิ่งที่อธิบายได้ว่าทำไมธรรมชาติจึงมักจะหลีกเลี่ยงการผสมพันธุ์ระหว่างญาติใกล้ชิด ความหลากหลายทางพันธุกรรมที่ลดลงย่อมหมายถึงโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปรกติที่มากขึ้น สิ่งมีชีวิตที่สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเกือบทุกชนิด จะวิวัฒนาการมาพร้อมกับกลไกที่จะพยายามหลีกเลี่ยงการเอาพี่น้องหรือญาติสนิทมาเป็นคู่สืบพันธุ์
นี่อาจจะเป็นเหตุผลทางชีววิทยาเหตุผลหนึ่ง ที่อธิบายได้ว่า ทำไมในวัฒนธรรมมนุษย์เกือบทุกวัฒนธรรม จึงมักจะมีการหลีกเลี่ยง กีดกัน หรือมองว่าการร่วมประเวณีกับญาติสนิท (incest) เป็นสิ่งที่ "ผิดศีลธรรม" หรือไปถึงขั้น "น่าขยะแขยง"
เพราะแม้แต่ธรรมชาติเอง ก็ยังมองว่า incest เป็นเรื่องที่ "สัปดน" จนเกินไป


















