คดีฆาตกรรมที่มีหมอเป็นผู้ก่อเหตุ
ข่าวที่สร้างความครึกโครมในสังคมอย่างมาก คงหนีไม่พ้นคดีอาชญากรรมสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน กรณีการหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาของนายสามารถ นุ่มจุ้ย และ น.ส.อรษา เกิดทรัพย์ สองสามีภรรยาชาว อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี พ่อแม่แจ้งหายเอาไว้ ที่ สภ.ท่าไม้รวก อ.ท่ายาง เมื่อปี พ.ศ. 2552 แต่จู่ ๆ วันที่ 16 ก.ย. 2555 มาพบรถปิกอัพของนายสามารถ กลับมาถูกจอดทิ้งไว้ในบ้านร้าง ซอยกรุงเทพ-นนท์ 1 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นบ้านของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ แพทย์ รพ.ตำรวจ สุดท้ายนำไปสู่การสืบสวนขยายผล แล้วเข้าตรวจค้นภายในไร่ของพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ กระทั่งพบอาวุธปืนนานาชนิดพร้อมเครื่องกระสุนจำนวนมาก
ที่สำคัญยังมีพยานช่วยชี้เบาะแสจนทำให้ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ฝังอยู่ในไร่ดังกล่าวถึง 3 ศพ บางศพมีร่องรอยถูกยิงท้ายทอย!!
หลังจากนั้นศาลอนุมัติหมายจับ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ในคดีร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว ลักทรัพย์หรือรับของโจร และมีอาวุธปืนไม่ได้รับอนุญาต ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวจึงถูกส่งเข้าไปคุมขังในเรือนจำจังหวัดเพชรบุรี ขณะที่โครงกระดูกทั้งหมด ผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ ที่สถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ ระบุไม่ใช่สองผัวเมียที่สูญหายไปแต่อย่างใด
ขณะนี้จึงเป็นปริศนาว่าแล้วโครงกระดูกทั้ง 3 ศพเป็นใคร ถูกนำมาฝังไว้ในไร่นี้ได้อย่างไร? แล้วสองผัวเมียที่สูญหายไปนั้นเป็นตายร้ายดีเช่นไร!
จากเหตุการณ์ข้างต้นทำให้นึกถึงคดีโด่งดังสะท้านประเทศในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมดำเนินคดีนั้นเป็นบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิ ระดับ “นายแพทย์” ค่อนข้างมีชื่อเสียง แต่ละคดีนอกจากจะแยบยลมากกว่าคดีอาชญากรรมสะเทือนขวัญธรรมดา ๆทั่วไปแล้ว ยังค่อนข้างเหี้ยมเกรียม เรียกว่าบางคดีทำเอาสังคมถึงกับช็อก! เพราะไม่คิดว่าผู้ต้องหาที่ลงมือก่อเหตุจะเป็น นายแพทย์ ที่คนส่วนใหญ่ให้ความเคารพนับถือเพราะถือเป็นผู้มีคุณูปการต่อสังคม
หากไล่เรียงคดีอาชญากรรมสะเทือนขวัญ ที่ผู้คนในสังคมยังพอจดจำได้นั้น มีมากถึง 5 คดี และเกือบทั้งหมดแล้วแต่เป็นเรื่องพิศวาสฆาตกรรม หนำซ้ำหลายคดีถูกนำมาถ่ายทอดเป็นบทภาพยนตร์ไปเรียบร้อย วันนี้ “เปิดแฟ้มคดีเก่า” ขอย้อนเรื่องราวมานำเสนออีกครั้ง
เริ่มจากคดีแรกที่โด่งดังอย่างมากในอดีต เมื่อ 53 ปีที่แล้ว ประมาณปี พ.ศ. 2502 นพ.อธิป สุญาณเศรษฐกร (รามเดชะ) นายแพทย์หนุ่ม โรงพยาบาลรถไฟ ที่ตัดสินใจวางแผนสังหารคู่รัก น.ส.นวลฉวี เพชรรุ่ง พยาบาลสาว ปมฆาตกรรมก็มาจากปัญหาเรื่องรักสามเส้าลงเอยด้วยความตาย หลังจากแพทย์หนุ่มพบรักกับพยาบาลสาว แต่สุดท้ายฝ่ายชายจะปันใจไปให้หญิงสาวคนใหม่ เมื่อนวลฉวี ทราบเรื่องจึงเกิดปัญหาระหองระแหงกันมาตลอดตั้งแต่ช่วงก.ค.-ส.ค. 2502 ถึงขั้นทำร้ายร่างกายจนต้องขึ้นโรงพัก
กระทั่งวันที่ 12 ก.ย.2502 มีผู้พบศพนวลฉวีลอยอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา จ.นนทบุรี สภาพศพถูกแทงเสียชีวิต นิ้วมีหลักฐานเป็นแหวนนามสกุล “รามเดชะ” ซึ่งช่วยไขปริศนาให้ทราบว่าผู้ตายเป็นใคร จากนั้นตำรวจได้สืบสวนคลี่คลายคดีโดยเฉพาะจากข้อมูลที่นวลฉวีได้ระบายเรื่องทั้งหมดลงใน “สมุดบันทึก” ที่กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญช่วยจับกุมดำเนินคดีหมออธิป และพวก 4 คนที่ร่วมวางแผนสังหารเธอแล้วนำศพมาทิ้งสะพานนนทบุรี (ภายหลังชาวบ้านเรียกติดปากว่าสะพานนวลฉวี)
บันทึกรักนวลฉวี
นวลฉวี เพชรรุ่ง
เกิดวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2475 ที่ ตำบลเชียงงา อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ในครอบครัวที่มีฐานะมั่งคงพอสมควร เพราะมีที่นาให้คนอื่นเช่า แม้จะมีลูก 10 คน แต่ลูก ๆ ทุกคนได้รับการศึกษาขั้นดี มีการงานนับหน้าถือตา
นวลฉวี แม้เป็นผู้หญิงรูปร่างบาง ตัวเล็ก หน้าตาพอใช้ได้ แต่เธอก็มีเสน่ห์ ร่าเริง มีชีวิตชีวา และหัวดี
เธอสามารถสอบเข้าเป็นนักเรียนพยาบาลที่ ศิริราชพยาบาล และจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2497
จากนั้นก็ออกไปทำงานที่ โรงพยาบาลภูมิพล ประมาณปีเศษ ก็ออกเพราะมีเรื่องกับคนในโรงพยาบาล
ต่อมาจึงย้ายมาเป็นนางพยาบาลที่ เมืองบ้านหมี่ ประมาณ 1 ปี
จากนั้นก็ทำงานใน สถานพยาบาลยาสูบ ปี พ.ศ.2501 โดยพักอยู่ในโรงพยาบาล
ช่วงต้นปี พ.ศ. 2501 นวลฉวี ได้เดินทางเที่ยวทางเหนือกับเพื่อนชื่อ โมทนี และพบรักกับหมอคนชื่อ หมอ อธิป สุญาณเศรษฐกร
และ หมอ อธิป สุญาณเศรษฐกร นี้แหละคือคนที่เปลี่ยนชีวิตของนวลฉวี ให้อยู่ในรูปของตำนาน!
หมอ อธิป สุญาณเศรษฐกร
เกิดและโตในกรุงเทพฯ เป็นบุตรคนสุดท้องในลูก 5 คน ในครอบครัว
พ่อแม่เป็นข้าราชการในกระทรวงพาณิชย์ อดีตเคยเป็นคนในจังหวัดฉะเชิงเทรา
หมอ อธิป เป็นหนุ่มที่หน้าตาค่อนข้างดี ใจเย็น และฉลาดเฉลียว
เขาสามารถศึกษาชั้นเตรียมวิทยาศาสตร์จาก โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จนจบเมื่อ พ.ศ. 2494 โดยช่วงเวลาว่าง หมอ อธิป จะสมัครทำงานที่อู่รถใกล้บ้าน เพื่อเก็บเงินซื้อหนังสือเรียนและซื้อขนมกิน
ในปี พ.ศ. 2500 หมอ อธิป จบการศึกษาแพทย์ศาสตร์ จากศิริราชพยาบาล ได้รับหมายเกณฑ์เข้าประจำสำรองราชการ กรมกำลังพลทหารอากาศ ได้รับว่าที่เรืออากาศโท เข้ารับราชการเป็นนายแพทย์อยู่โรงพยาบาลรถไฟ
ในปี พ.ศ. 2501 หมอ อธิป ย้ายไปเป็นแพทย์รถไฟ หัวหน้าเขต 4 จังหวัดลำปาง
จนพบรักกับนวลฉวีในเวลาต่อมา.................
.....ด้วยความเปล่าเปลี่ยวของหนุ่มเมือง ที่ต้องห่างไกลความเจริญมาอยู่ท่ามกลางความสงบเงียบแห่งบ้านป่า
เมื่อมีโอกาสได้ทำความใกล้ชิดกับหญิงสาวที่มีเสน่ห์ และรู้จักเอาใจอย่าง นวลฉวี
ทำให้ หมอ อธิป มีความสุขและมีชีวิตชีวา ความรักใคร่ที่ค่อย ๆ ก่อเกิด ชั่วระยะเวลาไม่นานที่ได้อยู่ด้วยกันนี้ สองคนหนุ่มสาวก็ผูกจิตปฏิพัทธ์ และต่างรู้ว่าอีกฝ่ายก็มีใจให้เช่นกัน
หมอ อธิป ได้ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศน์พาหญิงสาวทั้งสองเที่ยวด้วยกันประมาณ 3-4 วัน
หลังจากนั้น นวลฉวี กับเพื่อน ก็อำลาหมอ เดินทางไปที่เชียงใหม่ต่อ ทิ้งความหลังอันหวานชื่นไว้ที่นครลำปาง ดินแดนแห่งการคร่ำครวญหวลหาของ นวลฉวี เธอพบชายหนุ่มในดวงใจเข้าแล้ว
ต่อมาจดหมายจากกรุงเทพฯ ของ นวลฉวี ถูกส่งไปถึงมือ หมอ อธิป ที่นครลำปางเป็นระยะ ๆ
จนกระทั่งผ่านไป 6 เดือน หมอ อธิป ย้ายกลับโรงพยาบาลดังเดิม
เขาทำการติดต่อ นวลฉวี โดยใช้สื่อทางจดหมายแทนโทรศัพท์เป็นระยะ
ความรักทั้งสองยิ่งแน่นแฟ้นจนกลายเป็นสามีภรรยาโดยพฤตินัย โดยใช้บังกะโล และโรงแรม เป็นเรือนหอชั่วคราว
ความรักของคนสองคนดำเนินไปอย่างหวานชื่น โดยต่างฝ่ายปิดบังอำพรางธาตุแท้ของตนเอง…
เดือน กุมภาพันธ์ - ธันวาคม 2501
.....นวลฉวี ล้มป่วยใน โรงพยาบาลยาสูบ 1 เดือน
หมอ อธิป ไปเยี่ยม นวลฉวี หลายครั้ง
อาการของเธอ บ่งบอกว่าตกเลือดมาก แต่เธอไม่บอกใครว่า เธอป่วยเป็นโรคอะไร
แต่ดูจากอาการ หมอ อธิป รู้ทันทีว่า เธอคงแท้งลูก
ชีวิตของ หมอ อธิป เริ่มยุ่งเหยิงขึ้น เนื่องจากการมีผู้หญิงเข้ามาในหัวใจของหมอ
.....นางสาว สมบูรณ์ สืบสมาน นักศึกษาสาวแห่ง มหาวิทยาลัยเทคนิคทุ่งมหาเมฆ ปีสุดท้าย เธอเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กของ หมอ อธิป และเธอสวยเหลือเกิน
ต่อมา หมอ อธิป สอบได้ ทุนฮุมโบลก์ ไปเรียนต่อที่ ประเทศเยอมัน
เนื่องจาก โรงพยาบาลรถไฟ จะเป็นแผนกใหม่
พอกลับมา หมอ อธิป ก็เลื่อนตำแหน่งเป็น หัวหน้าแผนกตา ที่นี่
ในเดือน มกราคม 2502 ทางการรถไฟส่ง หมอ อ ธิปไปฝึกงาน โรคหู ตา จมูก ที่โรงพยาบาลศิริราช 6 เดือน
ตอนเย็นก็ไปเรียนภาษาเยอรมันที่เลขาทูต ทำให้เวลาที่หมอได้เจอ นวลฉวี ยิ่งหดหายไป
ฝ่าย นวลฉวี เริ่มระแคงระคายความรักของ หมอ อธิป
ด้วยความหึงหวง เธอถึงกลับใช้วิธีต่าง ๆ เพื่อจับ หมอ อธิป ให้อยู่
......ไม่ว่า นั่งเฝ้าหมอในที่ทำงาน ตามทุกหนทุกแห่งเหมือนเงาตามตัว
แทนที่ หมอ อธิป จะรัก กลับเพิ่มความรำคาญแก่ หมอ อธิป มากขึ้น
11 มีนาคม 2502 หมอ อธิป จำใจต้องจดทะเบียนสมรสกับ นวลฉวี เพชรรุ่ง ที่ อำเภอยานนาวา
หมอ อธิป กล่าวถึงวันนั้นว่า
" ที่จริงผมไม่อยากจดทะเบียนกับเธอหรอก เพราะไรเหรอ มันก็พูดยาก หลายเรื่องบอกไม่ถูก คือเขาชอบตามผมทุกวันทุกคืน งานการเขาก็ไม่ทำ มานั่งเฝ้า ผมนี้รำคาญสุด ๆ ผมไม่อยากจดหรอก แต่จดก็จด มันอยากให้จดก็จดไป จะได้ตัดปัญหาซะที "
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม 17 มีนาคม 2502 หมอ อธิป ยังไปจดทะเบียนสมรสกับ สมบูรณ์ สืบสนาม ที่ อำเภอพระเนตร
! ! ! !
สมรสซ้อน ! ? ?
" ....พอผมจดทะเบียนกับ นวลฉวี สมบูรณ์เขารู้ ขอจดทะเบียนกับเขาอีก ผมก็ตัดปัญหานี้ไป อยากให้เรื่องมันเงียบหาย จะได้ไม่ไปบอกใครให้เป็นขี้หูคนอื่น "
แต่กระนั้น นวลฉวี และ สมบูรณ์ ก็มีเรื่องระหองระแหงกัน นับตั้งแต่จดทะเบียนกับ หมอ อธิป ถึง 7 ครั้ง
......เคยทะเลาะกันในโรงพยาบาลที่ หมอ อธิป ทำงานอยู่
จน หมอ อธิป เคยขอผู้หลักผู้ใหญ่ ออกคำสั่ง ห้ามไม่ให้ผู้หญิงสองคนนี้เข้าในโรงพยาบาลอย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้ นวลฉวี เคยไปฟ้อง อาจารย์ ที่ วิทยาลัยเทคนิคทุ่งมหาเมฆ หลายครั้ง
แม้ว่า นวลฉวี จะจดทะเบียนสมรส แต่เธอยังไม่ได้แต่งงานกับ หมอ อธิปสักที
อีกทั้ง หมอ ก็ไม่เอาใจใส่ตนเหมือนครั้งก่อน ๆ
เธอต้องการแต่งงานกับเขา เธอต้องใช้วิธีต่าง ๆ ให้ฉันอยู่ในใจเขาให้ได้
.....และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ นวลฉวี ก้าวผิดอย่างมหันต์ ! ! !
พฤษภาคม 2502 นวลฉวี บอกครอบครัวว่า เธอ กับ หมอ อธิป จะแต่งงานกัน
ครอบครัวเลยเชิญให้ หมอ อธิป มากินข้าวเย็นด้วยกัน เพื่อคุยเรื่องแต่งงาน
แต่ หมอ อธิป ไม่รู้เรื่อง ตอบไปว่า
" ผมไม่ได้บอกเธอครับ เธอคิดไปเอง "
4 มิถุนายน 2502 พ่อของ นวลฉวี มาพบ นวลฉวี ที่ กรุงเทพฯ
นวลฉวี บอก พ่อ ว่า เธอได้เสียกับหมอแล้ว ตอนทำงานที่โรงพยาบาลรถไฟ
หมอ อธิป รู้ข่าว เลยบอกว่าจะเลี้ยงดู นวลฉวี ให้ แต่เรื่องก็เงียบหายไป
5 มิถุนายน 2502 นวลฉวี พบ หมอ อธิป อยู่กับผู้หญิงในโรงพยาบาลรถไฟ เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้น
11 หรือ 12 มิถุนายน 2502 นวลฉวี บอกกับ พี่เขย ว่า
" จะไปอยู่กับ หมอ อธิป นี้ไงเตรียมขนของแล้วนะ "
พี่เขยถามกลับว่า
" ส่วนหมออธิปรู้เรื่องนี้หรือเปล่า "
นวลฉวี ตอบว่า
" ไม่รู้สิ เขาคงไม่รู้มั้ง ? "
13 มิถุนายน 2502 นวลฉวี ถูกไล่จากครอบครัว หมอ อธิป ( ตอนนั้น หมอ อธิป ไม่อยู่บ้าน ) โดย นวลฉวี มารอพบ หมอ อธิป ตั้งแต่เช้าจนถึงตี 1 ก็ยังไม่ยอมกลับ
พอ หมอ อธิป กลับมาบ้าน ก็โดนคนในครอบครัวด่า
" เมียแกคนบ้าหรือเปล่าเนี้ย "
เหตุการณ์ครั้งนี้ นวลฉวี ได้ระบายเรื่องทั้งหมดลงใน " สมุดบันทึก "
ซึ่งภายหลักสมุดนี้ กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่ใช้สืบหาฆาตกรที่ก่อคดีฆ่าเธอยกแก๊ง
ปัจจุบัน หลักฐานนี้ อยู่ในการดูแลของ ห้องพิพิธภัณฑ์นิติเวชวิทยา โรงพยาบาลศิริราช เคียงข้างกับร่างสงบนิ่งของฆาตกรใจโหดนาม " ซีอุย "
13 กรกฎาคม 2502 เวลา 11.30 น. นวลฉวีเข้ามาโรงพยาบาลดุ่ม ๆ หา หมอ อธิป
เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในสมุดบันทึกดังนี้
" ดิฉันพบ นายแพทย์ อธิป สามีฉันที่โรงพยาบาลรถไฟ จากนั้นก็คุยเรื่องปัญหาชีวิตของเราทั้งสอง.... "
หมออธิปเริ่มระงับอารมณ์ไม่อยู่
" นี่ผมทำต้องทำงานนะ มากวนอยู่ได้ "
ว่าแล้ว หมอก็กำหมัด ต่อยไปที่ใบหน้า นวลฉวี จัง ๆ
นวลฉวี กรีดร้อง
" ช่วยด้วย หมอรังแกผู้หญิง "
" หมอจะฆ่าเมีย ช่วยด้วยหมอจะฆ่าเมีย "
จน หมอ อธิป เข้ามาปลอบและพาไปยังห้องคนไข้ พร้อมสายตาคนเกือบทั้งโรงพยายามที่มองไปยังคนทั้งสอง
13 กรกฎาคม 2502 นวลฉวี แจ้งความตำรวจว่าถูกหมออธิป ทำร้ายร่างกายตน
14 กรกฎาคม 2502 หมอ อธิป ตกลงเงื่อนไข นวลฉวี ให้ปรองดองกัน เพราะเป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องเลยจบลงที่การบันทึกประจำวัน
15 กรกฎาคม 2502 บาดแผลที่ หมอ อธิป ชกหน้า นวลฉวี ลุกลาม และเจ็บปวดมาก
แต่ นวลฉวี ขอตำรวจไม่เอาผิด หมอ อธิป เพิ่ม เพราะกลัวเขาเสียอนาคต
เธอบันทึกเรื่องราวนี้ในสมุดบันทึกอย่างละเอียด
เรื่องนี้ส่งผลให้ นวลฉวี ต้องเข้านอนโรงพยาบาล
โดย นวลฉวี ขอให้ หมอ อธิป เป็นผู้รักษาเธอ
แต่ถึงกระนั้น หมอ อธิป ก็ไม่มาหาเธอบ่อยมากนัก
เรื่องนี้ทำให้ หมอ อธิป เดือดดาลสุด ๆ ถึงกับระบายเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า
" อยากจะบ้าตาย ถูกมาบังคับให้นอนเฝ้าด้วย โอ๊ย ! ผมต้องทำงานนะ บางคืนก็เฝ้าทั้งที่ทำงานอยู่ ไปเฝ้านานก็ไม่ได้ เดี๋ยว สมบูรณ์ เข้าไปอาละวาดอีกเรื่องมันจะวุ่น "
17 กรกฎาคม 2502 พ่อของ นวลฉวี มาเพื่อเอาเรื่องกับ หมอ อธิป
ช่วงนี้ หมอ อธิป ดูแปลก ๆ ไป ไม่สนใจเรื่องนี้มานัก เขาพูดสั้นๆ ว่า
" แล้วแต่ศาล "
นวลฉวี บันทึกเหตุการณ์นี้ลงสมุดบันทึก ด้วยคำสาปแช่งถึง หมอ อธิป
" เชิญแกไปหาเมียใหม่ตามสบายเถอะ ฉันรู้นะว่าปีศาจในตัวแกจะแสดงบทบาทอย่างไรในอนาคตอันใกล้นี้....... "
22 กรกฎาคม 2502 นวลฉวี ทำหนังสือร้องเรียนให้ สารวัตฝ่ายสืบสวน
.....เล่าว่า หมอ อธิป ไม่ทำตามทัณฑ์บนที่ทำไว้ให้ นอกจากนั้นยังทำทารุณกับเธออีก โดยดึงสะโพกไปกระแทกกับก๊อกน้ำและเลือดไหล ความเจ็บปวดยากจะบรรยาย จึงอยากขอให้พิจารณาดำเนินคดีใหม่อีกครั้ง
28 สิงหาคม 2502 หมอ อธิป ไปที่โรงพัก เพื่อการทำการสอบสวน เขาสารภาพทุกอย่างตามที่กล่าวหา
31 สิงหาคม 2502 หมอ อธิป ได้รับโทรศัพท์จาก นวลฉวี ให้ไปหา นายธวัช เพื่อนของเธอ และเป็นที่ปรึกษาคดีทำร้ายร่างกายของเธอด้วย
ในครั้งนี้ หมอ อธิป ไปตามนัดกับ นวลฉวี ที่ทำการรถไฟ สะพานกษัตริย์ศึกเวลา 10.00 น.
นายธวัช แนะนำใ ห้หมอกับนวลฉวี คืนดีกัน
หมอ อธิป รับปาก จึงได้เขียนจดหมายใส่ซองปิดผลึกให้ พ.ต.อ. เจ้าของคดีนี้ ใจความว่า
" เราจะคืนดีกันแล้ว..... "
และก็ถึงวันนั้น...................
1 กันยายน 2502 หมอ อธิป และ นวลฉวี เข้าพบ สารวัตรใหญ่พญาไท ขอให้ระงับคดีทำร้ายร่างกาย ก่อนที่จะนั่งรับประทานอาหารที่ โรงหนังคิงส์ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ
9 กันยายน 2502 นายธวัช ไม่สบาย จึงขอลางานเพื่อไปเยี่ยม นวลฉวี
นวลฉวี ชวน นายธวัช ไป วัดสามง่าม เพื่อเอายาไปถวายพระ และให้พระดูดวงให้
พระ บอก นวลฉวี ไว้ว่า
" ต่อไปนี้ซะตาจะดีแล้ว ! ? ? ? "
เวลา 20.30 น. หมอ อธิป เข้าพบ นวลฉวี และ นายธวัช พูดจาเรื่องเรือนหอของเราสองคน
เวลา 23.00 น. นายธวัช กลับไปก่อน
ต่อมา นางพยาบาล เรียกให้ หมอ อธิป ให้ดูคนไข้ ที่กำลังจะคลอด
หมอ อธิป ช่วยคนไข้อยู่นาน จนถึงเที่ยงคืน จึงนำ นวลฉวี ส่งโรงพยาบาลยาสูบ เพราะ นวลฉวี รบเร้า
จนกระทั้ง............
นวลฉวี โทรศัพท์ถึง นายธวัช บอกว่า เมื่อคืน ตอนที่ หมอ อธิป ส่งที่โรงพยาบาลยาสูบ
เราทะเลาะกัน รายละเอียดจะคุยให้ฟังตอนเย็น
ถ้าเลิกงานแล้วให้ไปพบที่ โรงพยาบาลยาสูบ
เย็นวันนั้น นายธวัช มัวไปทำธุระที่อื่น ก่อนจะไป โรงพยาบาลยาสูบ เป็นที่ต่อไปจวนเวลา 1 ทุ่ม แต่ไม่พบ นวลฉวี
ยามยาสูบ เห็นเธอแต่งตัวออกไปข้างนอกนานแล้ว.....
นวลฉวี จากไป และไม่กลับมาอีกเลย
เช้าวันที่ 12 กันยายน 2502 เวลา 8.45 น.
นาย จำลอง จิรัตฐิตกุล ช่างกลปากเกร็ด นั่ง เรือแท็กซี่ จากบ้านที่ คลองอ้อม ไปทำงาน
ระหว่างที่นั่ง เรือแท็กซี่ นั้น เขาได้พบกับ ศพ !
" ศพ " นี้ลอยแม่น้ำมาอย่างเวทนา ในแม่น้ำเจ้าพระยา ห่างจากตัวอำเภอนนทบุรี ประมาณ 2 กิโลเมตร อยู่ระหว่าง โรงงานกระดาษเก่า กับ วัดเฉลิมพระเกียรติ
นายท้ายเรือ เข้าไปดู " ศพ " สวมเสื้อสีฟ้าอ่อน นุ่งกระโปรงดำเป็นลายปักศพอยู่ในลักษณะหงายมือพาดหน้าอก คาดเข็มขัดโตสีฟ้าที่ข้อมือ และแหวนทองลงยาจารึกนามสกุล " รามเดชะ " ( สกุลเดิมของหมออธิป )
เมื่อเรือแล่นมาถึง จังหวัดนนทบุรี นายจำลอง แจ้งความติดต่อ ตำรวจนนทบุรี ทันที
" ศพ " ถูกส่งไป วัดนครอินทร์ กิ่งอำเภอ ต่อด้วย โรงพยาบาลตำรวจนนทบุรี เพื่อการชันสูตรศพ เป็นการด่วน
ผลจากการชันสูตร สาเหตุการตายเนื่องจากบาดแผลถูกแทงจนเลือดตกในมาก และสิ้นใจก่อนถูกโยนลงน้ำ
บาดแผลที่ถูกแทงมีทั้งสีข้างข้างขวาและที่หลังด้านซ้ายรวม 3 แผล แต่เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของศพไม่พบรอยฉีดขาด
" ท่ามกลางความมืดของคืนวันหนึ่งในเดือน กันยายน 2502 ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งได้ลงมือสังหาร นวลฉวี นางพยาบาลสาวถึงแก่ชีวิตตามที่ได้รับว่าจ้าง "
วันที่ 13 กันยายน 2502 22.00 น. " ศพ " ที่พบ ลำน้ำเจ้าพระยา ถูกประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นผู้ตายชื่อ นวลฉวี ( สืบจาก ชื่อ ที่สลักบนตัวแหวน )
หมอ อธิป ทราบข่าวการตายของ นวลฉวี และเผชิญหน้ากับกองทัพนักข่าว
หมอ ตอบสั้น ๆ ว่า
" เธอเป็นภรรยาผมก็จริง แต่เราไม่อยู่ด้วยกันครับ แยกกันอยู่ พรุ่งนี้ค่อยไปรับศพครับ เพราะมันดึกแล้ว "
คดีนี้เดาผู้ต้องสงสัยไม่ยาก เพราะ นวลฉวี ไม่มีศัตรูภายนอกที่ไหน ยกเว้นภายใน
และมากที่สุด เห็นจะไม่เกิน สามี ที่อยากกำจัด ภรรยา ให้ไปพ้น ๆ ทาง หมอ อธิป
14 กันยายน 2502 ตำรวจเชิญตัว หมอ อธิป ไปสอบสวน และพบรอยข่วนที่ข้อมือหมอ
ตำรวจ ไม่รอช้า ถ่ายภาพบาดแผลนี้ เก็บเป็นหลักฐานพร้อมกับแจ้งข้อหา " หมอฆ่าเมีย " ทันที
ในกลางดึกของกลางเดือนกันยายน ภายหลังจาก หมอ อธิปถูกจับ
ขบวนรถตำรวจ รับ หมอ และคุ้มกันอย่างแน่นหนา โ ดยหมอ อธิป นั่งมาด้วย เพื่อไปสถานที่แห่งหนึ่ง
" จอมพล สฤษดิ์ อยากพบหมอครับ มีอะไรก็รับ ๆ เสียนะครับ ถ้าไม่รับหมอโดนยิงเป้าแน่ ฮะ ๆ คิดดูให้ดีนะครับหมอ "
หมอ อธิป หน้าซีด
.....เพราะ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในขณะนั้นเป็น หัวหน้าคณะปฏิวัติ และเป็น นายกรัฐมนตรี พ่วงด้วย อธิบดีกรมตำรวจ มีนิสัยชอบสั่งยิงเป้าคนเป็นว่าเล่นเหมือนผักเหมือนปลา
ตอนดำรงตำแหน่ง นายกฯ ก็สั่งยิงเป้า ถึง 6 คน ! ! !
ภายในห้องทำงาน บุรุษร่างใหญ่ผิวคล้ำ ท่าทางเด็ดขาดน่าเกรงขาม นั่งรอท่าอยู่ก่อนแล้ว
หมอ อธิป เย็นวาบถึงไขสันหลัง
สักครู่ ท่านหัวหน้าคณะปฏิวัติ ไม่พร่ำทำเพลง พูดด้วยเสียงเด็ดขาด
" หมอ ฆ่าเมียตัวเองอย่างที่เป็นข่าวจริงไหม ถ้าจริงจงรับมาเสียอย่าปากแข็ง พูดตรง ๆ แบบลูกผู้ชายดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา "
" ผมไม่ได้ทำครับ ผมขอปฏิเสธ " หมอ อธิป รวบรวมกำลังใจพูด
" มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานจริง ๆ มันเหมือนกับตัวเองไปหาพญายม เพื่อตัดสินความผิดอย่างงั้นแหละ " หมอ อธิป ย้อนความหลัง
ทางด้าน ตำรวจยศสูงต่าง ๆ ในสถานีตำรวจนนทบุรี ได้ร่วมทำการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้
และทราบว่า หมอ อธิป มีเพื่อนสนิทคือ นายชูยศ และ นางสุขสม พ่อของเขาเคยเป็นคนไข้ของ หมอ อธิป มาก่อน และรักษาพ่อจนหาย
ทำให้ ชูยศ ซึ้งในน้ำใจของ หมอ อธิป ถึงขนาดยอมตายแทนหมอเลยแหละ
17 กันยายน 2502 หนังสือพิมพ์แต่ละสำนักต่างลงข่าวว่า นายชูยศ มีส่วนเกี่ยวข้องคดีฆ่า นวลฉวี
ผลจากการชันสูตร นวลฉวี มีการเพิ่มเติมคือ ตอนที่เธอถูกแทงนั้น เธอไม่ได้สวมเสื้อผ้า และจากการตรวจสอบบนสะพาน พบรอยหยดเลือดเล็กบ้างใหญ่บ้าง แสดงถึงการเอาศพมาถึงที่จุดนั้น
หลักฐานการสืบสวนคดีฆ่า นวลฉวี เพิ่มขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ตำรวจพบกระดุมสีน้ำตาลแก่ตก 1 เม็ดบนพื้นถนนริมทางหลวง รอยเลือดจากราวสะพานเหล็กที่เป็นคราบสีน้ำตาล ฯลฯ
20 กันยายน 2502 ตำรวจ บุกไปบ้านของ นายชูยศ ใน สวนบางบำหรุ ธนบุรี แต่ไม่มีคนอยู่ ประตูใส่กุญแจไว้
จากการตรวจสอบบ้านได้พบรอยเลือดที่พื้นบันได้หลังบ้าน ตำรวจจึงเก็บหลักฐานเพิ่มเติม
นอกจากนี้ยังพบเลือดที่พื้นห้องครัวเรือนบนเตียงและที่พื้นบันได ทั้งพบ หลอดยาเอทิลคลอไรด์ พร้อมมีดปลายแหลมในห้องครัว
27 กันยายน 2502 นายชูยศ พร้อมภรรยา เข้ามอบตัวกับตำรวจ มีการสอบสวนนิด ๆ หน่อยๆ ก่อนปล่อยตัวกลับไป โดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา
14 ตุลาคม 2502 เจ้าหน้าที่ คุม นายชูยศ และภรรยา ไปหา จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพราะคดีฆ่า นวลฉวี ดังมากในยุคนั้น และตัวจอมพลก็สนใจ
แต่กระนั้น นายชูยศ ไม่ได้เข้าพบจอมพล มีเพียงแต่ ภรรยาชูยศ เท่านั้นที่พบ
นายกรัฐมนตรี ถาม นางสุขม ภรรยาของ นายชูยศ " มีความสัมพันธ์กับ หมอ อธิป อย่างไร "
นางสุขุม คิดว่า นายกฯ ถามเรื่องเงินทอง ๆ เลยตอบว่า " มี "
และแล้วรุ่งเช้าหนังสือพิมพ์ก็พาดหัวข่าว " นางสุขสม ยอมรับ จอมพล ว่าเสียตัวให้หมออธิป ! ! " ( ข่าวกรองมาก ๆ ๆ )
28 ตุลาคม 2502 นายมงคล เรื่อเรืองรัตน์ สัปเหร่อและช่างไม้ที่มีบ้านติด ๆ กับ นายชูยศ มาก่อน ถูกตำรวจควบคุมตัวที่ วัดน้อยนางหงส์ ฐานสงสัยว่าเป็นคนฆ่า นวลฉวี
30 ตุลาคม 2502 คำให้การพยานมากหน้าหลายตา ทั้งเพื่อนของนวลฉวี ยามยาสูบ ให้การเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจเชื่อว่า หมอ อธิป ต้องเป็นคนฆ่า นวลฉวี แน่นอน
และไม่นานนัก ตำรวจก็สามารถจับผู้ต้องสงสัยฆ่า นวลฉวี ได้ยกแก๊งประกอบด้วย
.....นายชูยศ และ นางสุขสม ตัวกลางประสานแผนการ
.....นายมงคล เรื่อเรืองรัตน์ สัปเหร่อมือสังหาร เคยมีประวัติหนีคดีที่อื่นมาก่อน มีอาชีพเป็นสัปเหร่อและช่างไม้อาศัยอยู่บ้าน แม่ยายติด ๆ กับ นายชูยศ
.....นอกจากนี้มีผู้ต้องสงสัยอีกคือ นายยง ยิ้มกมล และ นายเยี่ยม แต่ตำรวจกันไว้เป็นพยาน
ซึ่งทั้งหมดก็ให้การรับสารภาพในเวลาต่อมา....
น่าแปลกที่ ผู้ต้องสงสัยทั้งหมด ก่อนถูกจับ ไม่มีท่าทีคิดจะหนีสักนิด.....( พวกนั้นแก้ตัวว่า หลังทราบข่าว ทั้งแก๊งก็กลัวกันไปแล้ว ส่วนผู้ว่าจ้าง หมอ อธิป ก็เงียบไม่มาช่วยวางแผนเลย )
แต่กระนั้นช่วงเวลาการสังหารโหด นวลฉวี ตำรวจไม่เห็นภาพมากนัก
ฆาตกร ไม่ได้มีคนเดียว มันทำเป็นหมู่คณะ ภายใต้การนำของ หมอ อธิป ตำรวจเชื่ออย่างนั้น แต่ก็ไม่เห็นภาพวินาทีสังหารชัดเจนมากนัก
แต่จากประมวลคำของพยานและหลักฐานวัตถุการสังหาร นวลฉวี มีการวางแผนเป็นขั้น ๆ เป็นตอน ๆ เรียบเรียงได้ดังนี้..............
เริ่มจาก หมอ อธิป คิดฆ่า นวลฉวี ภรรยาของตนเอง หมอคิดจะทำไงดี
พอดีคิดได้ว่าตนมีเพื่อนสนิท แม้มันจะเลวสักหน่อยแต่ใช้ได้
หมอ อธิป เลยบึ่งรถไปที่บ้านของ นายชูยศ เพื่อนสนิทเพื่อต่อรองราคา....
" อั๊วจะฆ่าเมียอั๊วว่ะ เงินค่าจ้างมีเยอะ รวยซะอย่าง "
นายชูยศ ตกลงทันที เงินจำนวนมากสมน้ำสมเนื้อกับความเสี่ยง
ปีศาจในตัวหมอเริ่มแสดงบทบาทแล้ว !!
เดือนสิงหาคม เวลา 11.00 น.นายชูยศ และ นางสุขสม ไปที่ สวนบ้านนายยง ยิ้มกมล ถามว่าแถวนี้มีใครมือดีบ้าง ที่สามารถฆ่าผู้หญิงโดยไม่มีหลักฐาน
นายยง บอกว่ามี สัปเหร่อ คนหนึ่ง เห็นแกบอกว่าเคยฆ่าคนมาก่อน
ว่าแล้ว นายชูยศ สนใจ จึงให้ภรรยาทำการว่าจ้าง นายยง ยิ้มกมล โดยจ้ างนายยงเป็นเงิน 10,000 บาท ให้พานายคนนั้นมาหา โดยได้รับเงินค่าจ้าง 5,000 บาท ครึ่งหนึ่งไปก่อน
วันรุ่งขึ้น นายยง พาตัว นายมงคล มาหา นายชูยศ
นายชูยศ บอกว่าให้ไปฆ่าผู้หญิงคนหนึ่ง และจะได้เงินว่าจ้างหมื่นกว่าบาท โดยให้เงินล่วงห้าห้าพันบาทก่อน
นายมงคล ตอบตกลงไม่มีลังเล
วันรุ่งขึ้น ทั้งหมดพบ หมอ อธิป ผู้ว่าจ้างตัวจริง
นายชูยศ แนะนำ หมอ ให้ผู้รับจ้างทราบกันโดยทั่วกัน
จากนั้น หมอ อธิป ก็ให้เงิน นายยง ล่วงหน้า 5000 บาท เป็นเงินมัดจำฆ่าคน
จากนั้น หมอ อธิป ก็วางแผนตกลงกันว่าจะพา นวลฉวี ภรรยาของหมอมาฆ่าที่โรงครัวบ้านหลังนี้ ส่วนเครื่องไม้เครื่องมือ หมอ อธิป จะเตรียมไว้อีก ขอให้มาตามเวลากำหนด
จากนั้นก็ถึงเวลาลงมือสังหาร
วันที่ 10 กันยายน 2502
ตอนเช้า หม ออธิป โทรศัพท์นัด นาง นวลฉวี และรับ นาง นวลฉวี จาก โรงพยาบาลยาสูบ โดยพาไปที่บ้านสร้างใหม่ของ นายชูยศ ที่ สวนบางบำหรุ
เวลาบ่ายโมงเศษ นายยง ไปที่บ้าน นายชูยศ สมทบกับ นายยง เพื่อดูสถานที่ทำการฆ่า เตรียมมีดปลายแหลม ผ้าพลาสติก และสายไฟคู่สีเหลือง 1 ขด และไม้ไผ่เพื่อหามศพ
เตรียมเสร็จแล้ว นายยง ก็กลับบ้านนอนเอาแรง
5 โมงเย็น นายยง นายมงคล และ นายชูยศ พากันมาซุ่มที่ห้องน้ำรอดู หมอ อธิป พาผู้หญิงมาฆ่า
เวลา 18.00 น. เศษ หมอ อธิป นำ นวลฉวี มาทางหน้าบ้านของ นายชูยศ แล้วพาเข้าห้องครัว ปิดประตูลงกลอน
หมอ อธิป รอจังหวะที่ นวลฉวี เผลอ โป๊ะยาสลบจนเธอนอนหลับ
จากนั้น หมอ อธิป ให้สัญญาณผู้ร่วมฆ่ามาจัดการ
จากนั้นก็ถึงเวลาสังหาร ! !
นายยง ข่มขื่น นวลฉวี 1 ครั้ง นวลฉวี ไม่รู้สึกตัว เพราะโดนยาสลบ
นายมงคล จับแขนซ้ายหญิงนั้นลงครึ่งคว่ำตะแคงทางขวา
จากนั้น นายมงคล ได้หยิบมีดปลายแหลมทำการแทง นวลฉวีไป 3 ครั้ง
นวลฉวี ร้องออกมา
นายมงคล แทงจนรู้ว่าเธอไม่น่ารอดแล้ว จึงบอก นายเยี่ยม น้องชายมาช่วย ( ถูกกันไว้เป็นพยาน )
" เมื่อข้าข่มขื่นเธอเสร็จแล้ว ข้าย้ายผู้หญิงลงครึ่งคว่ำตะแคงทางขวาของผู้หญิงคนนั้น จากนั้นข้าก็เอามีดสีขาวปลายแหลมที่พื้นกระดานปลายเตียงแล้วแทงผู้หญิงคนนั้นทางหลังไป 3 ที ไม่รู้ที่จุดตรงไหน ผู้หญิงคนนั้นร้อง ฮึ ๆ อือ ๆ สองสามครั้ง จากนั้นข้าก็ตามนายเยี่ยมมาช่วยหามศพ "
นายมงคล บอกต่อ ศาล
จากนั้นทั้งสองคน ช่วยกันเอาเสื้อชั้นนอกที่หัวเตียงสวมให้ศพ แล้วยกศพวางบนผ้าพลาสติกซึ่งปูไว้แล้ว
นายมงคล เอาสายไฟมัดที่ข้อเท้าศพ มัดบั้นเอว และมัดที่หัวไหล่
จากนั้น ก็ใช้ไม้ไผ่สอดใต้สายไฟที่มัดไว้แล้วหามศพออกจากบันไดหลังบ้าน โดยมีเลือดหยดตามพื้นเป็นรายทาง
นายยง และ นายเยี่ยม หามศพ
ส่วน นายมงคล ทำความสะอาดจุดสังหาร.....
ศพของ นวลฉวี ถูกขนย้ายผ่าน สวนพจน์ ที่อยู่ใกล้ ๆ ที่เกิดเหตุ
นายมงคล ตามมา ทั้งสามข้ามคูถนนจรัลสนิทวงศ์ ลุยคูน้ำที่มีน้ำลึก 50 ซม. ไปหา นายชูยศ ตรงหลักกิโลเมตรที่เดิม
จากนั้นก็วางศพไว้ข้างถนน หมอ อธิป เปิดประตูรถ จ่ายเงินค่าจ้างที่ค้างไว้ให้ทั่วหน้าทุกคน
จากนั้นก็ช่วยกันเอาศพขึ้น รถบรรทุก โฟล์คสวาเก้น ทะเบียน กข.0253 มุ่งหน้าไปทางสะพานพระราม 6
สำหรับไม้ไผ่หามศพ นายเยี่ยม เป็นคนนำไปทิ้ง แต่ทิ้งที่ไหนไม่มีใครทราบ
แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่แก๊งทิ้งศพ นวลฉวี มีรถคันหนึ่งผ่านมาเกิดสงสัยว่าทำไมรถถึงจอด รถเสียเหรอ เลยหยุดจอดถาม แต่ได้เสียงกระชาก ๆ ตอบว่า " เปล่า " แทน
2 ทุ่ม ศพของ นวลฉวี ถูกทิ้งจาก สะพานนนทบุรี ลง แม่น้ำเจ้าพระยา ชาวบ้านแถว ๆ นั้นได้ยินเสียงตูม ! กันไปทั่ว
แต่ถึงแม้ว่าจะวางแผนกันมาอย่างดี แต่ก็มาพลาดเพราะ แหวน วงเดียว
ขุน สุญาณเศรษฐกร บิดา หมอ อธิป เห็นท่าคดีนี้ หมอ อธิปจะแพ้
จึงจ้าง นายชมพู อรรถจินดา ทนายความที่มีชื่อเสียง ด้วยจำนวยสูงลิบลิ่ว
หมอ อธิป เริ่มมั่นใจว่ามี ทนายฝีมือดี ตนต้องชนะคดีแน่นอน
การพิจารณาในศาล เป็นไปด้วยความดุเดือด เพราะเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ไทยต้องจารึก โดยมีประชาชนทั้งประเทศต่างใจจดใจจ่อว่าคดี ผลความยุติธรรมจะทำให้นักโทษทั้งหมดโดนประหารหรือไม่
" ถ้าผมจะฆ่าภรรยาผม ทำไมผมต้องจ้างคนอื่นให้เสียเวลาทำมาหากินด้วยละ สู้เอามือบีบคอภรรยาให้ตายคามือดีกว่ามั้ง " หมอ อธิป แก้ตัวต่อศาล
วันที่ 12 ธันวาคม 2503 ณ ศาลอาญา บังลังก์ที่สอง คือวันพิพากษา หมอ อธิป และพรรคพวก
ผู้พิพากษาทั้งสี่ประกอบด้วย
นายเฉลิม กรพุกกะณะ
นายพินิจ เพชรชาติ
นายสว่าง เวทย์
และ นายวุฒิกรรม วงษ์ศิริ
ออกมานั่งบัลลังก์ ตัดสินคดีประวัติศาสตร์อาชญากรรม ท่ามกลางประชาชนนับหมื่น ที่แห่มาฟังคำพิพากษาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
จนถึงขนาดต่อลำโพงโดยรอบสนามหญ้าบริเวณ ศาลทหารอาญา เก้าอี้หลายตัวในศาลหักเพราะทานแรงคลื่นมนุษย์ไม่ไหว
จนกระทั่ง นาทีระทึกขวัญมาถึง ทุกคนพากันสงบนิ่ง รอฟังผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินช่วงสุดท้าย
" นายอธิป จำเลยที่ 1 มีความผิดตามที่กล่าวหา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 อนุมาตรา 4) 83 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฐานก่อให้คนอื่นกระทำความผิดให้ต้องโทษประหารชีวิตนายอธิปจำเลยที่ 1
ส่วนนายมงคล จำเลยที่ 5 มีความผิดฆ่าคนโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 และ 83 ให้ระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต และริบมีดสั้นปลายแหลมที่ใช้กระทำผิดเสีย
ส่วนนายชูยศ และนางสุขสม จำเลยที่ 2 และ 3 และนายชุเกียรติ จำเลยที่ 4 ศาลไม่มีหลักฐานเอาผิดเลยให้ปล่อยตัวพ้นผิดไป "
สิ้นคำพิพากษา หมอ อธิป ตกตะลึง เพราะตัวเองมั่นใจเต็มที่เพราะมีทนายมือหนึ่งของไทยว่าความ " ทำไมคนอื่นรอด แต่ตนเองตาย ! ! "
แต่กระนั้น ต่อมาภายหลัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชการปัจจุบัน และ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสร็จกลับจากประเทศนิวัตพระนคร ถือว่าเป็นวันมงคล
หมอ อธิป ได้รับอนิสงค์ได้รับการอภัยโทษ ประกอบกับพ่อแม่ วิ่งเต้นทำให้ หมอ อธิป ถูกจำคุกเพียง 1 ปีเศษเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม หลัง หมอ อธิป พ้นโทษ ชีวิตที่เหลือก็เข้า ๆ ออกโรงพยาบาลบ่อย ๆ เพราะโรคติดตัวตอนอยู่ในคุก
และจนถึงวาระสุดท้าย....หมอ อธิป นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ท่ามกลางญาติสนิท
หมอ อธิป เอ่ยปากก่อนตายเรื่อง นวลฉวี
" นวลฉวี พี่ขอโทษ พี่เป็นคนฆ่าเธอเองแหละ................" พูดจบ หมอ อธิป ก็สิ้นลมตายคาเตียงไปเลย
หลังจากนั้นมา ทุกคนต่างเรียกสะพานสะพานนนทบุรีสถานที่ทิ้งศพนวลฉวีนี้ว่า
" สะพาน นวลฉวี "
และหลังจากนั้น บ้านที่ นวลฉวี ถูกฆ่าใน สวนบางบำหรุ ก็ถูกเล่าลือว่าเห็น ผีผู้หญิง อยู่บ้านหลังนั้น ทุกคนต่างเรียกหลังนั้นว่า
" บ้านผีสิง "
จากนั้นปี พ.ศ. 2536 คดีนายแพทย์จ้างวานฆ่าภรรยาเกิดขึ้นซ้ำรอยอีก ครั้งนี้น่าสะเทือนใจตรงที่มีบุตรสาววัย 2 ขวบของผู้ตายนั่งร่ำไห้กอดศพผู้เป็นมารดาคือ น.ส.ศยามล ลาภก่อเกียรติ อดีตผู้ช่วยพยาบาล สภาพถูกฆ่ารัดคอและจ้วงแทง พร้อมอำพรางคดีว่าเป็นการฆ่าข่มขืนในพื้นที่ จ.เพชรบุรี คดีนี้ตำรวจสืบสาวราวเรื่องอยู่นานสักพักใหญ่ ก็แกะรอยจับกลุ่มคนร้ายที่ลงมือสังหารเหยื่อได้ก่อนจะซัดทอดไปถึงจอมบงการ คือ นพ.บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ แพทย์ รพ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นอดีตสามีของผู้ตายนั่นเอง ส่วนปมสังหารก็มาจากฝ่ายชายไปพบรักใหม่และต้องการให้อดีตภรรยาย้ายออกไปจาก อ.หัวหิน จึงตัดสินใจวางแผนสังหารอย่างเลือดเย็น คดีนี้ศาลตัดสินลงโทษประหารชีวิต แต่ต่อมาได้รับการอภัยโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิตและได้รับอภัยโทษเรื่อยมากระทั่งเหลือจำคุก 40 ปี
หมอฆ่าเมีย
คดี ฆ่า ศยามล
หมอ คือ บุคคลที่คอยช่วยเหลือคนไข้ให้หาย หรือบรรเทาจากอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ
หมอ ถือเป็นอาชีพที่มีเกีรยติ และใครหลายคนใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็น หมอ
หมอ คือ ผู้ที่เปรียบเสมือนความขาวสะอาด และบริสุทธิ์แก่ผู้ที่พบเห็น
แต่ ! ! ! หมอ ก็ยังเป็นปุถุชนคนหนึ่ง ที่ยัง ไม่ละ และ หมด ซึ่ง ความ โกรธ โลภ หลง
พวกเราคงเคยพบเห็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ที่มีข่าวเกี่ยวกับ หมอ
ข่าวที่เป็นที่สนใจ และทำให้วงการแพทย์ สั่นสะเทือน จนเป็นคดีความ คือ ข่าว " หมอฆ่าเมีย "
โดยเฉพาะ " คดี ศยามล " นับว่าเป็นอีกคดี ที่สะเทือนขวัญต่อความรู้สึกของประชาชน
เนื่องจาก " จำเลยที่หนึ่ง " เป็นสามีและเป็นนายแพทย์ ซึ่งเป็นบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และ มีการวางแผนการสังหารที่สลับซับซ้อนพอสมควร
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น ในเช้าตรู่ ที่แสนสดใส ของวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2536 ถนนทางเข้าหนองปลาไหล หมู่ที่ 2 ตำบลไร่มะขาม อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี
ณ ที่นั้น เป็นหมู่บ้านธรรมดา และ ชาวบ้านก็ธรรมดา ซึ่งช่วงเวลานั้น ชาวบ้านหลายคน ก็กำลังเตรียมตัวออกไปทำงาน
ในขณะที่ พระภิกษุหลายรูป ก็เดินออกมาเพื่อ บิณฑบาต ไปตามท้องถนนในหมู่บ้าน
ก็เป็นวันธรรมดาอีกหนึ่งวัน พระภิกษุหลายรูป คิดอย่างนั้น
จนกระทั่ง กลุ่มพระภิกษุ กลุ่มนั้นเดินมาพบกับ รถเก๋ง คันหนึ่ง.......
รถเก๋งคันนั้น เป็นรถยี่ห้อ นิกสัน รุ่น ซันนี่สีขาว หมายเลขทะเบียน ก-2344 ประจวบคีรีขันธ์
จอดสงบนิ่ง อยู่ที่ริมถนนทางเข้าหมู่บ้าน ราวกับเจ้าของไม่สนใจแต่อย่างใด
ขณะที่ พระภิกษุ กำลังเดินอุ้มบาตรอย่างสำรวม ผ่านรถเก๋งคันนั้น ก็ได้ยินเสียงของ เด็กหญิง ๆ ร้องไห้ เล็ดลอดออกจาก รถเก๋ง คันงามคันนั้น
เสียงร่ำไห้ของเด็กหญิง ทำให้ พระภิกษุ เกิดความสนใจ จึงมองเข้าไปภายในรถคันนั้น เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ทันทีที่เห็นภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า พระทุกรูป ถึงกับ ผงะ และ ตกใจสุดขีด ! ! !
มันเป็นภาพ " ศพหญิงสาว อายุประมาณ 30 ปี " นอนทอดร่างบนเบาะรถตอนหน้าด้านข้างคนขับ ที่ถูกปรับพนักพิงในตำแหน่งเอนราบไปด้านหลัง
ศีรษะของหญิงสาว ห้อยตกไปด้านหลัง ทั่วร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดที่แห้งเกรอะกรัง
ท่อนล่างเปลือยอย่างอุจาดตา เนื่องจาก กางเกงถูกถอดรูดลงมาอยู่แค่หัวเข่า ไร้เสื้อผ้าสวมใส่และปกปิด
บนศพของหญิงสาวคนนั้น มีร่างของเด็กสาวตัวน้อย ๆ นั่งกอดศพอยู่อย่างน่าเวทนา ! ! !
เด็กสาวตัวน้อย ร้องไห้ จนกระทั่งเสียงแหบแห้ง และ น้ำตาเหือดหาย
ในมือของหนูน้อย กำกระดาษทิชชู คอยเช็ดคราบเลือดของหญิงสาวด้วยความรัก ซึ่งแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่า " ศพ " นั้น เป็น " แม่ของเด็กคนนั้น "
คาดว่า หนูน้อย ร้องไห้ และทำแบบนี้ ซ้ำไปซ้ำมาราว 6 ชั่วโมง ทำให้เป็น " ภาพสลดหดหู่ " ต่อผู้พบเห็นอย่างยิ่ง
แม้กระทั่ง ตำรวจ และ ผู้สื่อข่าว ต่างก็สังเวชสงสาร ภาพที่อยู่เบื้องหน้า อย่างจับใจไม่มีวันลืม
" ผมได้รับแจ้งจากทาง วิทยุตำรวจ ว่ามี เหตุฆาตกรรม เกิดขึ้น ผมรีบเดินทางไปที่เกิดเหตุเพื่อทำข่าว เมื่อไปถึงผมเห็นภาพอันน่าสลดใจ คือมี ศพหญิงสาว นั่งอยู่ตรงข้ามกับคนขับ บนตักมีเด็กที่น่าจะเป็นลูกนั่งไม่ยอมห่างไปไหน แม้กระทั่ง เจ้าหน้าที่ จะพยายามจะอุ้มแยกออกมา เด็กก็ยังมีท่าทีขัดขืนไม่ยอมออกจากอกผู้หญิงคนนั้น "
แม้ภาพที่ปรากฏออกมา จะสร้างความรู้สึกสะเทือนใจ และเวทนาต่อผู้พบเห็นมากเพียงใดก็ตาม
แต่ไม่มีใคร กล้าแตะต้อง หรือ ให้ความช่วยเหลือ " หนูน้อย " แต่อย่างใด
เรื่องนี้ จำต้องแจ้ง ตำรวจ เพื่อจัดการมากกว่า
หลังจากนั้นไม่นาน ตำรวจจำนวนหนึ่งจาก สภอ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี ก็เข้ามาในพื้นที่ที่เกิดเหตุทันที
พวกเขา ทำการบันทึกภาพที่แสนสะเทือนใจนั้น ในมุกแง่มุม เพื่อเป็นหลักฐานและใช้ประกอบคดี
หนูน้อยที่น่าสงสารคนนั้น ถูกพาตัวออกไปจากรถ สู่อ้อมอกของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งต้องคอยพูดจาปลอบขวัญเด็กน้อย หลังจากต้องอยู่กับศพเป็นเวลาเนิ่นนานหลายชั่วโมง ตลอดคืนแห่งความหฤโหด
แต่ถึงแม้ หนูน้อย จะอยู่อ้อมแขนของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ปากของหนูน้อยคนนั้น ก็พร่ำแต่เรียกหาแม่ตลอดเวลา อย่างน่าสงสารเหลือจะกล่าว
ผลจากการชันสูตรศพ พบว่า ผู้ตายเสียชีวิตเพราะถูกแทง3 แห่ง โดยแผลที่แทงอยู่บริเวณลิ้นปี่และหน้าอก เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง
ทราบชื่อในเวลาต่อมาว่าชื่อ " นางศยามล ลาภก่อเกียรติ " อายุ 30 ปี เจ้าของร้านขายเสื้อผ้าบูติก " บารมี " ตั้งอยู่ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
และ ผ่านการหย่า กับ " นายแพทย์ บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ " แพทย์ประจำ โรงพยาบาลหัวหิน
ซึ่ง ศยามล หย่าขาดไป เมื่อ 2 ปีก่อน
ส่วนเด็กน้อย หรือ ลูกของผู้ตาย มีชื่อเล่นว่า " อิงอิง "
ในเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทราบว่า รถยนต์ของผู้ตาย ถูกแจ้งความว่า " หายจากบ้าน " ตั้งแต่ 28 กันยายน พ.ศ. 2536 ที่ สภ.ต.สามกระทาย แต่ปรากฏตัวอีกครั้งก็พบมาอยู่กับ " เจ้าของ " ที่เป็นศพไปแล้ว
ในเวลาต่อมา เมื่อพบว่า นางศยามล ได้รถคันดังกล่าวมาแล้ว แต่ไม่แจ้งให้ตำรวจทราบ
ในวันก่อนเกิดเหตุ ศยามล และ เด็กหญิง อิงอิง ก็ขับรถเก๋งออกจากบ้าน
และไม่นานมี " พยานรายหนึ่ง " ยืนยันว่าเห็น รถเก๋ง ของ นางศยามล วิ่งด้วยความเร็วสูงออกจาก อำเภอหัวหิน ข้างในมีชายสามคนอยู่ในรถด้วย
เมื่อ " ญาติ " ทราบข่าวนี้ ก็เลยเข้าไปแจ้งความตำรวจไว้ แต่ไม่ทันการณ์ เพราะมารู้ที่หลังว่า ศยามล กลาย " เป็นศพ " ไปแล้ว
ต่อมาไม่นานนัก " มารดาของ ศยามล " นาง ซิวเหลียง แซ่เล้า ก็เดินทางเพื่อมา " รับศพ " ของลูกสาว
ก่อน " เปิดเผย " เรื่องราวความรักของ " ศยามล และ นายแพทย์ บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ " ที่นำไปสู่ โศกนาฏกรรม ดังต่อไปนี้.....
.....มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว
มันเริ่มขึ้นเมื่อ ศยามล เกิดหลงรัก กับ นายแพทย์ บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ ที่ โรงพยาบาลหัวหิน
ทั้งสอง " แอบ " ไปจดทะเบียนสมรสอย่างลับ ๆ เพื่อไม่ให้ครอบครัวสองฝ่ายรู้ และอยู่กินกันจนกระทั่ง ศยามล ให้กำเนิด ด.ญ.อิงอิง ในเวลาต่อมา
ครอบครัวของ ศยามล นั้น เป็นครอบครัวที่มีชาติตระกูลดีในสังคมท้องถิ่น
ส่วนของ บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ นั้น ก็เป็นครอบครัวที่มีฐานะ ที่เป็นที่นับถือตาใน หัวหิน
เมื่อรู้เรื่องของชายหญิงคู่นี้ ทางญาติผู้ใหญ่ของ ศยามล โกรธมากถึงขั้นให้เลือกว่า จะอยู่กับชายที่เธอรัก หรือ จะเลือกญาติพี่น้อง
.....ในที่สุด ศยามล เลือกอย่างหลัง
ศยามล หย่าขาดกับ บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ อย่างเป็นทางการ
และมีการเรียกร้องเงินจำนวนถึง 2 ล้านบาทจาก น.พ. บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ เป็นค่าเลี้ยงดู ด.ญ.อิงอิง
แน่นอนตอนแรก น.พ. บัณฑิต ไม่เห็นด้วย เพราะทำให้ " ขาดผลประโยชน์ " ในเรื่อง มรดก จากครอบครังของ ศยามล
แต่ จำต้องหย่า เพราะโดนบังคับ
หลังการหย่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางศยามล เปิดร้านขาย ผ้าบูติก ที่ ตลาดหัวหิน
เวลาต่อมา นางศยามล ทราบข่าวว่า น.พ. บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ กำลังจะแต่งงานกับ แพทย์หญิง ในโรงพยาบาลเดียวกับที่ทำงาน
เรื่องนี้ทำให้ ศยามล " ยอมไม่ได้ "
เลยใช้วิธีการหลายอย่าง เพื่อให้ " แฟนใหม่ " ของ " อดีตสามี " วางตัวลำบาก ไม่กล้าแต่งงานด้วย
จนเรื่องเริ่มตึงเครียดถึงขั้น ข่มขู่ กันว่า ถ้า ศยามล ไม่ออกไปจากหัวหิน จะต้องมีเรื่อง ! ! !
ด้วยความดื้อดึงของ นางศยามล เธอไม่ยอมย้ายตนเอง ออกไปจาก หัวหิน ตามคำข่มขู่
ทำให้ น.พ.บันทิต ทำอะไรไม่ถูก และไม่กล้าทำอะไรกับ ศยามล ขั้นเด็ดขาดมากนัก
เพราะ ญาติผู้ใหญ่ ของเธอบางคน มีหน้ามีตาในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พี่ชายของเธอเป็น อดีตผู้กว้างขวางของเขต อ.ปราณบุรี กุยบุรี มีอิทธิพลกว้างไกลเป็นที่รู้จักกันดีในวงการ " เจ้าพ่อ " ที่มีระดับ
เรื่องของคนทั้งสอง คาราคาซัง เรื่อยมา
จนกระทั้งมาถึง วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2535 ..........
วันนั้น มีโทรศัพท์มาหา ศยามล
ปลายสายเป็นของ น.พ. บันทิต
เขาบอกว่า จะรับตัว ศยามล ไปดูบ้านพักสร้างใหม่ เป็นของขวัญให้เธอกับลูก ขอเพียงให้เธอมาหาเขา แต่ห้ามบอกใครว่า เธอจะไปไหน
ทันทีที่ ศยามล วางสาย แม้เธอไม่บอกใครว่าจะไปไหน
แต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นคือ น.ส.ปาริชาติ ลาภก่อเกียรติ รู้ดีว่า ศยามล จะไปหา สามีเก่า
จากนั้น รถเก๋งของ นางศยามล ก็ออกจากร้าน
เธอไม่กลับมาอีกเลย...............
คำให้การของ บรรดาญาติพี่น้อง ของ ศยามล ล้วนมุ่งไปที่ตัวของ น.พ.บันทิต ว่า เขาน่ามีส่วนรู้เห็นในการฆ่า ศยามล
โดยเฉพาะคำให้การของ มารดา ศยามล ยืนยันว่า ศยามล ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางให้ใครเจ็บแค้น ถึงขั้นอยากฆ่ามาก่อน นอกจากกรณีของ น.พ. บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ นั่นแหละ ที่อยากให้ ศยามล หายไปจากโลกนี้
หลังจาก ตำรวจ ประมวลผลจากหลักฐานที่พบแล้ว
ตำรวจ เชื่อว่า นี้เป็น คดีฆาตกรรมอำพราง
เพื่อให้ ตำรวจ หลงประเด็น ว่าเป็น การข่มขืน และฆ่าและชิงทรัพย์
ดังนั้น " ผู้ต้องสงสัย " ในขณะนั้น มีเพียงคนเดียวคือ " น.พ. บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ "
ดังนั้น การสอบปากคำ น.พ. บัณฑิต จึงเป็นเรื่องที่ต้องกระทำการอย่างเร่งด่วน
แต่ตอนนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังไม่สามารถดำเนินการได้
เพราะ น.พ. บัณฑิต มีการอ้างหลักฐานที่อยู่
เพราะช่วง ศยามล ถูกฆาตกรรมนั้น
น.พ. อยู่ในระหว่างพักร้อน เขายื่น ใบลาพักร้อน ไปเที่ยวจังหวัดอื่น 27 - 30 กันยายน และ ลากิจในวันที่ 1 ตุลาคม เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน
ในตอนนั้น ศพของ ศยามล ตั้งบำเพ็ญกุศลที่ วัดศาลาลัย ตำบลไร่เก่ า อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีกำหนด ณาปนกิจภายใน 7 วัน แม้คดียังไม่คลี่คลายก็ตาม
วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2536 คดีของ ศยามล ถูกปรากฏไปตาม หน้าหนังสือพิมพ์ เกือบทุกฉบับ ทีรายงานการคืบหน้าว่า ตอนนี้ ตำรวจ จับ ตัวผู้ต้องสงสัย ชื่อ นาย เอก ไม่ทราบนามสกุล มีพยานเห็น เขากับพรรคพวกสองคน ขึ้น รถเก๋งของ ศยามล
นอกจากนั้น ข่าวยังระบุว่า ตอนนี้ ตำรวจ ได้ หลักฐานชิ้นสำคัญ เป็นสมุดบันทึกของ นางศยามล ที่ทราบมาว่า นางศยามล เป็นคนชอบจดบันทึกเรื่องราวทุกอย่างเอาไว้ โดย ตำรวจ หวังว่าสมุดเล่มนั้น น่าจะมีรายละเอียดที่ ตำรวจ ต้องการอยู่
วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2536 เวลาประมาณ หนึ่งทุ่มเศษ น.พ. บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ เดินทางกลับมาถึงบ้าน และเปิดโอกาสให้หนังสือพิมพ์ สัมภาษณ์ เพราะตอนนี้ทั้งประเทศ คงเข้าใจว่า หมอฆ่าเมีย ( เก่า ) กันหมดแล้ว
คำสัมภาษณ์ของ น.พ. บัณฑิต ส่วนใหญ่ เน้นไปทางที่ว่า เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่า ศยามล
เขา เพิ่งทราบ ข่าวว่า เมีย ( เก่า ) ตาย เมื่อวันที่ 30 กันยายนนี้เอง
เพราะช่วงนั้น เขาไปพักผ่อนที่ภูเก็ต พักที่ โรงแรมแปซิฟิค ไอซ์แลนด์
อีกทั้ง ไม่เคยข่มขู่ เมีย ( เก่า ) ตามที่เป็นข่าวเลย
วันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2536 เวลา 09.00 น. น.พ. บัณทิต ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนที่ " จี้อันตึ้ง " ถนนเพชรเกษม อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
คำให้สัมภาษณ์ ของ นายแพทย์ บัณฑิต มีคร่าว ๆ ต่อไปนี้
" ผมรู้จัก ศยามล มาตั้งแต่ปี 2530 ตอนนั้น ผมเป็นแพทย์อยู่ที่ รพ. กุยบุรี จากนั้นหนึ่งปี เราก็จดทะเบียนสมรสกันอย่างลับ ๆ โดยที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายไม่รู้เรื่องมาก่อน พอปลายปี 2531 เธอขอไปเรียนตัดเสื้อที่กรุงเทพ ซึ่งผมต้องการแต่งงานกับเธออย่างเป็นทางการ แต่เธออ้างว่าไม่พร้อม ขอเรียนให้จบก่อนจึงค่อยแต่ง ทำให้เราทั้งสองมีอันเริ่มห่างเหินกันเรื่อยมา "
" ปี 2532 ผมย้ายมาประจำที่ หัวหิน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผม ทำให้ผมต้องออกงานลี้ยงพบปะเพื่อนบ่อยครั้ง ช่วงนั้นเธอตั้งท้อง และมักต่อว่าผม ที่ไม่มีเวลาให้เธอ จากนั้นก็มีปัญหาเรื่อยมาจนเราต้องแยกทางกัน "
" ผู้ใหญ่ของเราสองฝ่ายเห็นด้วย ซึ่งตอนที่เราตัดสินใจเลิกกัน ลูกสาวผมเพิ่งคลอดออกมาได้เดือนเศษ ผมขอลูกผมมาเลี้ยง แต่ ศยามล เขาไม่ยอม พ่อผมเลยมอบเงินให้เธอ 2 ล้านบาทเป็นค่าเลี้ยงดู....."
" มีข่าวว่าผมไปข่มขู่ ศยามล นั้น ไม่เป็นความจริง เราต่างคนต่างอยู่ ร้านขายเสื้อของ ศยามล อยู่ที่ หัวหินคอมเพล็กซ์ อยู่ไกลจากคลินิกผมมาก แล้วผมจะไปฆ่าเธอทำไม ทำแล้วได้ประโยชน์อะไร ผมขอยืนยันอย่างลูกผู้ชายว่าผมไม่ได้ทำ ผมไม่ได้เป็นพวกสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งแยกแยะสิ่งที่ถูกสิ่งที่ผิดไม่ออก ผมเสียใจอย่างมาก เหตุการณ์แบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับ ศยามล อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นอดีตภรรยาผม อย่างน้อยผมก็ต้องห่วงลูก.....สิ่งแรกที่ผมต้องทำในตอนนี้คือ เอาลูกมาเลี้ยงด้วยตนเอง "
จากนั้น นายแพท ย์บัณทิต ก็สารยาย อ้างที่อยู่
" ผมทราบเรื่องที่ ศยามล ถูกฆ่าวันที่ 30 กันยายน หลังเกิดเหตุ 1 วัน ซึ่งตอนนั้นผมพักอยู่ที่ โรงแรมแปซิฟิก ไอซ์แลนด์ ภูเก็ต เพื่อไปร่วมงานแต่งงานของ นายแพทย์พิภพ อุไพศิลป์สถาพร ซึ่งเป็นนักเรียนแพทย์ที่ โรงเรียนวัดจันทร์ฐารามวิทยาคม ซอยเพชรเกษม 48 ในวันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน เวลา 21.00 น. หลังจากงานเลิกแล้ว ผมนัดเพื่อนไปเที่ยวภูเก็ต โดยขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง ในวันรุ่งขึ้น ด้วยเที่ยวบิน ทีจี 291 ออกจากดอนเมืองเวลา 17.55 น. ถึงสนามบินภูเก็ตเกือบ 20.00 น. เพราะเครื่องดีเลย์ ก่อนมาทราบข่าวของ ศยามล เมื่อวันที่ 30 กันยายน ผมก็รีบโทรไปสอบถามกับคนทางบ้านว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร จากนั้นผมก็เดินทางกลับหัวหิน เวลา 17.00 น. วันที่ 1 ตุลาคม "
ก่อนที่ นายแพทย์ บัณฑิต จะย้ำลงท้าย ก่อนจบสัมภาษณ์ว่า
" ผมไม่ได้ฆ่า ศยามล ! ! ! "
เนื่องด้วยคดีนี้ กลายเป็น คดีสะเทือนขวัญ ของประชาชนทั่วประเทศ เพราะผู้ต้องสงสัยเป็น " หมอ "
ส่วนทางด้าน ตำรวจ ไม่สนใจ คำให้การของ แม่ ศยามล กับ นายแพทย์ บัณฑิต อยู่แล้ว
โดยทาง ตำรวจ เริ่มได้ตั้งข้อสังเกตว่า คำให้การของ นายแพทย์ บัณฑิต ไม่ตรงกับของ ตำรวจ ที่สืบทราบมา
เมื่อมีข้อพิรุธหลายอย่าง ตำรวจ เริ่มแบ่งกำลังสืบสวน
โดยส่วนแรกเป็น ตำรวจทางจังหวัดเพชรบุรี ส่วนสอง ตำรวจภูเก็ต
การสืบสวนของตำรวจ คืบหน้าอย่างมาก เมื่อตำรวจได้ " พยานปากสำคัญ " ที่ทำให้ตำรวจรู้ว่าคนที่ ฆ่า ศยามล ประกอบด้วย ผู้จ้างวาน และ ผู้ลงมือ รวมทั้งหมด 5 คน
ช่วงนี้มีกระแสข่าวลือว่า น.พ.บัณฑิตได้ติดต่อขอเข้าพบ พ.ต.อ.พิสิทธิ์ คำแน่น ผกก.ภ.จ.เพชรบุรี โดยอ้างว่า จะมาให้ปากคำแบบละเอียด เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง
แต่ ทางตำรวจ ไม่เล่นด้วย เพราะตำรวจเน้น หลักฐาน และ พยาน มากกว่าคำให้การของ นายแพทย์
วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2536 เกิดปาฎิหารย์เหนือธรรมชาติขึ้น เมื่อตอนสายของ วันฌาปนกิจศพ ศยามล หลัง สวดอภิธรรม ครบ 7 วัน
ทางญาติได้เชิญ หมอผีไสยศาสตร์ มาเซ่นไหว้ เรียกวิญญาณของ ศยามล หลังเสร็จพิธีเผาศพไปแล้ว
จากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้นำรูปถ่ายของ ศยามล ไปให้ เจ้าหน้าที่ใน โรงแรมหัวหิน ดู
ปรากฏว่ามี " กลิ่นศพ " โชยขึ้น พร้อมกลิ่นธูปเทียน จนทำให้เจ้าหน้าที่ตกใจกลัวกันยกใหญ่ ! ! !
นอกจากนี้ วิญญาณ ของ ศยามล ก็ปรากฏตัวให้ญาติเห็นบ่อย ๆ โดยเฉพาะ ลูกสาว ด.ญ.อิง อิง เห็น วิญญาณของแม่ สองครั้ง
แน่นอนว่า เด็กหญิง อิง อิง คือ พยานปากสำคัญ ที่ ตำรวจ อยากได้ตอนนี้ที่สุด
แต่กว่าจะได้ ตำรวจ ต้องรอให้เด็ก หายอาการหวาดผวาก่อน จึงจะเริ่มสอบปากคำได้ และต้องส่งกำลังมาคุ้มครองเด็กตลอด 24 ชั่วโมง
เนื่องจาก ตำรวจ ได้ข่าวว่า มีชายคนหนึ่ง แต่งชุดซาฟารี แอบอ้างว่าเป็น ตำรวจนอกเครื่องแบบ ได้มาที่บ้าน เพื่อขอเบอร์โทรศัพท์ นอกจากนี้ ยังมี รถตู้สีขาวลึกลับ ไม่ทราบยี่ห้อ ขับวนหน้าบ้านของ เด็กหญิงอิงอิง แบบผิดสังเกต
ทางด้าน น.พ. บัณฑิต ก็เก็บตัวเงียบอยู่กับบ้านระยะหนึ่ง ก่อนที่จะกลับมารับหน้าที่ที่โรงพยาบาล โดยมีพรรคพวกเพื่อนฝูง มาอารักขาคุ้มกันตลอด ทั้งขาไปและขากลับ
วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2536 นายคงศักดิ์ ลิ่วมโนมนต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เดินทางไปอ่าน สำนวนการสอบสวน เกี่ยวกับคดี ศยามล ที่ สภ.อ.บ้านลาด ก่อนที่จะสั่งให้ เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ นำสำนวนการสอบสวนนี้ ไปหารือต่อที่ จวนผู้ว่า ฯ โดยไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใด ๆ ให้สื่อมวลชนทราบ
การสืบสวนของตำรวจ กินเวลานานกว่าครึ่งเดือน
จนถึง วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2536 มีความคืบหน้า เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีหลักฐานมากพอ ที่จะ " มัดตัว " หนึ่งในผู้ต้องหา ร่วมกันฆ่า นางศยามล ได้เป็นคนแรก
.....คือ ส.ต.อ.แผ่ว ภูเต็ง เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 14 สังกัด ค่ายพระมงกุฎเกล้า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถูกจับกุมตัว ในขณะที่เดินทางมาขึ้นศาลจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งไปรับคำฟ้องถึง 5 ข้อหา เป็นคดีค้างเก่าสมัยอยู่ สภ.กิ่ง อำเภอแก่นกระจาน คือ มีอาวุธและกระสุนปืนไว้ครอบครองโดยไม่รับอนุญาต พกอาวุธปืนไปในเมืองและหมู่บ้านโดยมีมีเหตุอันควร และไม่ได้รับอนุญาต ยิงปืนในเมืองและหมู่บ้าน เมาสุรา ประพฤติวุ่นวายในที่สาธารณะ และปลอมแปลงเอกสาร
ซึ่ง ส.ต.อ. แผ่ว ก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
แต่ ตำรวจ ก็สู้ด้วยหลักฐานและพยาน เพราะมีคนเห็นว่า ส.ต.อ.แผ่ว นั้น มีความสนิทสนมกับ " ผู้บงการ " ในฐานะผู้มีพระคุณที่ต้องทดแทน และมีพยานเห็นว่าเขาเป็นคนที่นั่งรถผู้ตายในที่เกิดเหตุ แถมประวัติก็ไม่เบา เพราะมีคดีทำร้ายร่างกายคนอื่นเพียบ แถมเป็นญาติกับ นาย โก ภู่เต็ง อดีตมือปืนชื่อดังของ ส.ส.จังหวัดเพชรบุรี
และสิ่งที่ตำรวจสนใจมากว่า ส.ต.อ.แผ่ว น่าจะมีส่วนเกี่ยวของกับ คดีศยามล คือ ภรรยาของ ส.ต.อ.แผ่ว ชื่อ นาง ตา ภู่เต็ง อดีตนางพยาบาล และมีความสนิทกับ นายแพทย์ บัณฑิต เป็นอย่างดี เข้ามาหาสู่เป็นประจำ
อีกทั้ง ส.ต.อ.แผ่ว ยังติดหนี้ นายแพทย์ บัณฑิต เรื่อง ขอให้หมอมาเป็นพยาน ในการตรวจและออกใบรับรองแพทย์ในศาล ของ คดียิงปืนขึ้นฟ้ากลางงานเลี้ยงส่ง เจ้าหน้าที่ชลประทาน เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534
วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2536 เวลา 17.30 น. หลังตำรวจจับ ส.ต.อ.แผ่ว ผู้ต้องสงสัยคนแรกได้ นายแพทย์ บัณฑิต ก็ให้ สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ อีกครั้ง โดยยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ และขออยู่ที่ หัวหิน ต่อไปโดยไม่หนีไปไหน
ส่วนเรื่อง ส.ต.อ.แผ่ว นั้น นายแพทย์ บัณฑิต ย้ำว่า " เขา ไม่รู้จัก ส.ต.อ. คนนี้ แต่อย่างใด "
วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2536 ตอนค่ำ มีกระแสข่าวสับสนว่า ตำรวจออกหมายจับ นายแพทย์ บัณฑิต ร้อนไปถึง ญาติพี่น้อง ของ นายแพทย์ ต้องโทรศัพท์ไปหา ผู้หลักผู้ใหญ่ ของ ตำรวจว่า ข่าวที่แท้จริงเป็นไง ผลคือเป็นเพียง แค่ข่าวลือ
วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2536 มีการจับกุมผู้ต้องหารายที่สอง เมื่อเจ้าหน้าที่ตามจับ นาย บรรจบ นิลห้อย อดีตนักข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจังหวัดเพชรบุรี เพื่อนของ ส.ต.อ.แผ่ว ที่ชายแดนประเทศมาเลเซีย
มีพยานหลายปากยืนยันว่า ผู้ต้องสงสัยรายนี้ ติดรถไปกับ ปิกอัพ ขับตาม รถของศยามล ในคืนที่เกิดเหตุ ซึ่งหนีจากการจับกุมของตำรวจได้ หลังจากได้ยินข่าวของ ส.ต.อ.แผ่ว เพียงวันเดียว
นายบรรจบ นิลห้อย กลายเป็นกุญแจสำคัญที่จะเอาผิดผู้บงการ
เขาต่างจาก ส.ต.อ.แผ่ว เพราะ เขาสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และให้การรับสารภาพทั้งหมด จนตำรวจสามารถออกหมายจับ นายแพทย์ บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ ในที่สุด
วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2536 เจ้าหน้าที่ตำรวจ นำตัว นาย บรรจบ นิลห้อย ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ และชี้ที่เกิดเหตุ
จากนั้นก็นำตัวไปสอบสวนหาตัวคนร้ายอีก 2 คน เพื่อจะได้นำตัวมาดำเนินคดีให้ได้เร็วที่สุด
วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2536 วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการจับกุมตัว นายแพทย์ บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ ที่ โรงพยาบาลหัวหิน ภายในห้องพักแพทย์ วอร์ด 3 แผนกผดุงครรภ์ โดยมีพ่อของ นายแพทย์ บัณฑิต ติดตามไปอย่างกระชั้นชิต ท่ามกลางฝนตกลงมาอย่างหนักตลอดทาง
เวลา 11.15 น. ตำรวจสอบสวน นายแพทย์ บัณฑิต อย่างหนัก มีการปิดห้อง และไม่เปิดเผยรายละเอียดการสอบสวน แต่มีการประกาศการแถลงข่าวความคืบหน้าของคดีในเวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุม พริบพรี ศาลากลางจังหวัดเพชรบุรี
เวลา 14.20 น. มีการแถลงข่าวการจับกุม นายแพทย์ บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ โดยทางตำรวจยืนยันว่า หลักฐานที่ได้แน่นหนามาก จนไม่จำเป็นต้องรอให้ น.พ.บัณฑิตสารภาพ เพราะพนักงานสอบสวน รู้ถึงขนาดว่ามีการวางแผนฆ่าที่ไหน จ่ายเงินงวดแรกไปเท่าไหร่
ข่าวการจับกุม นายแพทย์ บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ ทำให้กระแสข่าวในเวลานั้นแรงมาก ๆ จนถึงขั้นว่า ใครไม่ได้อ่านข่าว ศยามล ถือว่าเชยมาก ๆ เพราะประชาชนสนใจคดีมาก ถึงขั้นติดตามวันต่อวันเหมือนละครทางทีวีไม่มีผิด
ส่วนทางด้าน น.พ.บัณฑิต ถูกนำตัวไป ขังเดี่ยวชั่วคราว ที่ สภ.อ.เมือง จ.เพชรบุรี มีสภาพจิตค่อนข้างย่ำแย่ มีอาการหวาดวิตกตลอดเวลา ซีดเซียว นัยน์ตาเหม่อลอย นั่งเชื่อมซึม นอนไม่หลับ
ทำให้ นาย ชูศักดิ์ ผู้เป็นพ่อ ที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องขัง รู้สึกหวาดวิตกกลัวว่า ลูกชายอาจฆ่าตัวตายเพราะเครียดจัด
ไม่กี่วันต่อมา บรรดาญาติ ๆ ของ นายแพทย์ บัณฑิต ยื่นเรื่อง ขอประกันตัว แต่ทางตำรวจ " ปฏิเสธ "
วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2536 มีหนังสือไปยัง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ให้มีคำสั่งให้ นายแพทย์ บัณฑิต " พักงานราชการ " และให้คนอื่นทำงานแทน เพื่อป้องกันข้ออ้างในการขอประกันตัว
ต่อมา มีการนำตัว ด.ญ. อิงอิง มาสอบสวน
ตำรวจ นำ รูปถ่าย ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสอง ซึ่งปะปนกับบุคคลอื่น ๆ อีกจำนวนสิบ ๆ รูป ให้ ด.ญ. ดู
ผลคือ ด.ญ.อิงอิง สามารถชี้ภาพบุคคลทั้งสองอย่างถูกต้อง
ซึ่งตำรวจยังให้การคุ้มครองเด็กหญิงนี้อยู่ ถึงขั้นพา ด.ญ. ไปซ่อนตัวอย่างลับสุดยอด
วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2536 เจ้าหน้าที่ตำรวจ นำตัว นายแพทย์ บัณทิต ไปค้นหาหลักฐาน และเอกสารเกี่ยวกับคดี ที่คลินิกและบ้านพักของ นายแพทย์ บัณฑิตที่ อำเภอหัวหิน แต่ไม่มีการเปิดเผยแก่สื่อมวลชนว่า เจอหลักฐานอะไรบ้าง
ในขณะที่ทางด้าน นายแพทย์ บัณฑิต ก็ยังให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และร้องขอทนาย และให้การแก่ชั้นศาลเท่านั้น
วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2536 เจ้าหน้าที่ตำรวจ นำตัว นายแพทย์ บัณฑิต ไปฝากขังที่ใหม่ที่ ศาลจังหวัดเพชรบุรี ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว และส่งผู้ต้องหาไปขังต่อที่ เรือนจำเพชรบุรี ซึ่งเป็นที่เดียวกับ ส.ตอ.แผ่ว ถูกนำตัวมาขังอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
ช่วงนี้ตำรวจได้ ประกาศความคืบหน้า ของคดีว่า กำลังจะได้ผู้ต้องหาสองคนที่เหลืออยู่ได้แล้ว โดยคนหนึ่งหนีไปยังจังหวัดบุรีรัมย์ อีกคนหนีไปสุโขทัย แต่เจ้าหน้ายังปกปิดชื่อผู้ต้องหาไว้ก่อน โดยให้เหตุผลว่า " เพื่อไม่ให้เสียรูปคดี "
วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2536 เจ้าหน้าที่ตำรวจ เชิญ พยานบุคคลไม่เปิดเผยชื่อ และที่อยู่จำนวน 3 คน ไปที่ ห้องประชุมกองกำกับ ฯ เพชรบุรี ทั้งหมดให้การตรงกันว่า นายแพทย์ บัณฑิต มีส่วนเกี่ยวข้องในการฆ่า นางศยามล
วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 เจ้าหน้าที่ตำรวจ นำตัว นาย บรรจบ นิลห้อย ไปที่ เรือนจำจังหวัดเพชรบุรี ไปชี้ตัว ผู้จ้างวาน
ผลคือ นายบรรจบ ชี้ตัว นายแพทย์ บัณฑิต อย่างถูกต้องและแม่นยำ โดยไม่มีลังเลหรือไตร่ตรองใด ๆ ทั้งสิ้น
หลังเสร็จสิ้นการชี้ตัว นายบรรจบ ขออนุญาตต่อ เจ้าหน้าที่ ฯ เพื่อขอคุยกับ นายแพทย์ บัณฑิต เป็นการส่วนตัว
" ผมไม่มีอะไรจะพูดกับเขา " นายแพทย์ บัณฑิต บอก ตำรวจอย่างงั้น ก่อนที่จะกลับเข้าห้องขัง
" ภาพของ นายแพทย์บัณฑิต ตอนนั้น แทบไม่เหลือความเป็นแพทย์ เขาสวมชุดนักโทษ สวมเสื้อคอกลมแขนสั้นสีกรัก ที่ข้อเท้าทั้งสองข้างถูกตรวจเวลาเดินต้องหิ้วโซ่ตรวนตลอดเวลา ใบหน้าเขาซีดขาวหม่นหมอง มีอาการเคร่งเครียดเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก " พยานในวันชี้ตัว กล่าวถึง นายแพทย์ บัณฑิต
10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 มีการจับกุม ผู้ร่วมสังหาร ศยามล รายที่สาม คือ นาย สมหมาย สังข์เคลือบ ที่จังหวัดกาญจนบุรี ชายแดนประเทศพม่า
หลังการจับกุม ตอนแรก นาย สมหมาย ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
แต่เมื่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจ รุกหนักเข้า ก็สารภาพว่า มีส่วนร่วมในการสังหาร ศยามล จริง
จากนั้นจึงมีการส่งตัว นาย สมหมาย ไปดำเนินคดีต่อที่ เพชรบุรี
วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 เวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่ ฯ เปิดแถลงข่าวเรื่อง การจับกุม นาย สมหมาย ที่ห้องประชุมของศาลากลางจังหวัดเพชรบุรี ท่ามกลางสื่อมวลชนและนักข่าวหนาแน่น
เจ้าหน้าที่ ฯ เผยว่า นาย สมหมาย คนนี้ เป็นคนทำหน้าที่ ขับรถปิ๊กอัพ นิสสัน สีเทาดำ ป้ายแดง ก-7740 กรุงเทพ ฯ ปาดหน้ารถของ นางศยามล โดยมีคนร้ายอีก 2 คน เข้ามาล็อกตัว นางศยามล และอุ้มไปฆ่าที่สถานที่ที่กำหนดไว้แล้ว ก่อนที่จะมารับเงินจากผู้ว่าจ้างและหลบหนีไป
พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่ ฯ ก็เบิกตัว สมหมาย มาชี้แจงรายละเอียดคดีด้วย
โดยบอกว่า ญาติ ซึ่งก็คือ นาย บรรจบ ติดต่อกับเขาว่า มีงานดีมาเสนอ โดยให้ไปรับงานที่บ้านของ นาย บรรจบ ที่จังหวัดเพชรบุรี
และเมื่อมาถึงก็พบว่า เป็นแผนฆ่าคน ซึ่งต้องทำไปเพราะ ตกบันได้พลอยโจน
ก่อนจบ นายสมหมาย ย้ำว่า " ผมแค่เป็นคนขับรถเท่านั้นนะครับ ไม่ได้เป็นคนฆ่า ศยามล "
ก่อนจบการแถลงการณ์ ตำรวจยอมระบุ ผู้ต้องหาที่เหลือคนสุดท้าย ชื่อ นาย สมหมาย เนียมศรี หรือ " ลาย " อายุ 63 ปี ระบุว่าเป็น มือแทง นางศยามล ต่อหน้า เด็กหญิงอิง อิง
และมีการเพิ่มผู้ต้องสงสัยอีกคนคือ นาย สาธิต มีเย็น หรือ " เอ๊ะ " อายุ 27 ปี คนบ้านเดียวกับ นาย สมหมาย สังข์เคลือบ ทั้งสองมีประวัติติดคุก ชิงทรัพย์ และเป็นคนรู้จักของ นาย บรรจบ
จากนั้น เจ้าหน้าที่ ฯ ได้นำตัว นาย สมหมาย สังข์เคลือบ ไปทำ แผนประกอบคำรับสารภาพ โดยไม่มี นายแพทย์ บัณฑิต ไปด้วยแต่อย่างใด
มีการให้ นาย สมหมา ยชี้ รถปิดอัพ ของตนเอง ในการกระทำความผิด
และชี้ รถเก๋งของ นางศยามล ก่อนที่จะมีการเล่าเป็นฉาก ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่เกิดเหตุในวันนั้น........
1. เริ่มแรก ทีมสังหาร มารวมตัวที่บ้านของ นาย บรรจบ และทำการปรึกษาวางแผนครั้งสุดท้าย ก่อนลงมือทำงาน โดยมีค่าจ้างให้จำนวน 1 ล้านบาท โดยจ่ายล่วงหน้า 3 แสนบาท
2. กลุ่มทีมสังหารทั้งหมด ขับรถออกจากบ้านไปยัง ศูนย์การค้าหัวหิน คอมเพล็กซ์ อำเภอหัวหิน
3. กลุ่มทีมสังหาร เห็นรถของ นางศยามล จอดใน ศูนย์กลางค้า จึงขับรถมาจอดใกล้ ๆ
4. กลุ่มทีมสังหาร มานั่งกินข้าวในร้านอาหารชั้นล่างของศูนย์กลางค้า นายบรรจบ เดินขึ้นไปดูร้าน " บารมี " ซึ่งอยู่ ชั้นสอง ของ ศูนย์การค้า
5. กลุ่มคนร้าย ไปนั่งกินข้าวอีกครั้ง ที่ร้านอาหารข้างคอนโด ฯ ริมถนนเพชรเกษม
6. ทีมสังหาร ขับรถมาดู นางศยามล อีกครั้งที่ ศูนย์การค้า และรอจน นางศยามล ออกมา และขับรถกลับบ้าน
7. จากนั้น ทีมสังหาร ก็ขับรถ ตามรถ ศยามล ไป เมื่อเห็นรถ ศยามล จอดข้างทาง เพื่อซื้อขนมปังที่ร้านเบเกอรี่ รถของคนร้าย จึงต้องขับล่วงหน้าไปเพื่อไม่ให้ ศยามล สงสัย
8. คนร้าย เลี้ยวรถ ตามรถของ ศยามล ซึ่ง ศยามล ขับรถย้อนกลับ ศูนย์การค้า แล้วจอดรอ
9. กลุ่มคนร้าย ขับรถตาม ศยามล ออกจาก ศูนย์การค้า อีกครั้ง
10. ทีมสังหาร ขับรถ ติดตามรถของ ศยามล อย่างกระชั้นชิด ไปตามถนนเพชรเกษม มุ่งหน้าไป อ.กุยบุรี
11. นางศยามล จอดรถแวะเติมน้ำมันที่ ปั๊มหนองหอย โดยมี รถของทีมสังหาร ขับรถเลยไป จอดรถรอห่างประมาณ 200 เมตร เมื่อ นางศยามล ขับรถออกจากปั๊ม ทีมสังหาร จึงขับรถติดตามไปอีกครั้ง
12. ทีมสังหาร เริ่มขับรถปาดหน้า รถเก๋งของนางศยามล และลงไปใช้อาวุธมืดและปืน จี้บังคับ นางศยามล และนำตัวแม่และลูก มานั่งบนเบาะตอนหน้าด้านข้างของคนขับ โดบมี นายบรรจบ และ นายสมหมาย เนียมศรี นั่งอยู่เบาะหลัง ประกบตัว ด.ญ.อิงอิง เอาไว้ พร้อมส่งคนไปขับรถแทน ศยามล
13. ทีมสังหาร ได้จอดรถของ นางศยามล รอผู้ต้องหาอีกคนหนึ่ง ซึ่งขับรถตามมา แล้วเลี้ยวเข้าไปตามทางเข้าหมู่บ้าน หมู่ 2 ต.ไร่มะขาม
14. รถทั้งสองคันถึงที่เกิดเหตุ ทีมสังหาร นำโดย นาย สมหมาย เนียรศรี ใช้เชือดรัด และมีดแทงหน้าอกของ นางศยามล 3 แผล ต่อหน้า เด็กหญิงอิง อิง จนถึงแก่ความตาย
15. ที่จริง ทีมสังหาร ต้องทำตาม คำสั่ง ผู้บงการ อีกข้อหนึ่ง โดยให้ " ข่มขืนศพ " เพื่ออำพรางคดี แต่ถึงเวลาจริง ไม่มีใครอาสาข่มขืนศพ เลยต้องใช้ " ก้านกล้วย " มาใช้ในการ " ชำเราศพ " แทน
16. ทีมสังหารทั้งหมด แยกย้ายกันหลบหนี
17. ทีมสังหาร นำอาวุธทั้งหมด ไปทิ้งแม่น้ำและทุ่งนา
18. ทีมสังหาร แวะที่ ปั๊มน้ำมัน มิล ( เพชรภิมุข ) หมู่ 5 ต.บ้านหม้อ อ.เมือง จ.เพชรบุรี ( มีการพบหลักฐาน กระเป๋าเงิน และ พวงกุญแจ ของ ศยามล ที่ป่า ข้างห้องน้ำ ของปั๊ม ) เพื่อล้างมือ และมอบทรัพย์สิน ที่ได้จากผู้ตายมาให้ นายบรรจบ
19. ทีมสังหาร แยกย้ายกันหนี ไปต่างจังหวัด
หลังจากทำ แผนประกอบการรับสารภาพ และ การให้ข่าวกับสื่อมวลชน มีการติดต่อจาก นายสาธิต มีเย็น หรือ " เอ๊ะ " หนึ่งให้ผู้ต้องหา ได้ติดต่อขอมอบตัว โดยให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เดินทางมารับ
วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 เวลา 10.30 น. นายสาธิต มีเย็น หรือ " เอ๊ะ " เข้ามอบตัว และสารภาพในทุกข้อที่กล่าวหา ก่อนที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะนำตัว นายสาธิต ไปแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนในเวลาต่อมา
วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 เวลา 16.30 น. ตำรวจ ทำการ จับกุม ผู้ต้องหารายสุดท้าย คือ นาย สมหมาย เนียมศรี ได้ที่ พื้นที่ ต.โป่งกระทิง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี หลังจากหนีรอดเงื่อมมือตำรวจหลายครั้ง จนถึงคราวตัน และหลังถูกจับ นายสมหมาย สารภาพอย่างหมดเปลือก
เป็นอันจบการสอบสวนของตำรวจต่อคดี ศยามล ในเวลาต่อมา
คราวนี้ก็มาถึงเรื่องของศาล
.....ผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ที่มีความผิดฐานฆ่า ศยามล นั้น
ในทางกฎหมาย อาจได้รับโทษ มากบ้าง น้อยบ้าง ตามดุลยพินิจของศาล
ยกเว้น ส.ต.อแผ่ว ภู่เต็ง ที่ปฏิเสธคำให้การตั้งแต่แรก อาจมีโทษหนัก ถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต
สำหรับ นายแพทย์ บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ ผู้บงการ
5 มกราคม พ.ศ. 2537 อัยการจังหวัดเพชรบุรี ยื่นฟ้อง หมอบัณฑิต และพวก
22 ธันวาคม พ.ศ. 2537 ศาลชั้นต้น พิจารณาคดี พิพากษา ประหารชีวิต หมอบัณฑิต และตัดสินจำคุกตลอดชีวิตทีมฆ่าอีกสามคน
หลังจากนั้น หมอบัณฑิต ได้ยื่นอุทธรณ์ แต่ไม่เป็นผล ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตาม ศาลชั้นต้น
23 ธันวาคม พ.ศ. 2539 ศาลฎีกา พิพากษายืนตาม ศาลชั้นต้น และ ศาลอุทธรณ์
แต่ปัจจุบัน หมอบัณฑิต ได้รับการอภัยโทษจากการประหารชีวิต และได้รับการลดโทษลง 1 ใน 4 ด้วย
โดยโทษประหารชีวิตจะลดลง เหลือจำคุก 40 ปี ตามลำดับ
ส่วนความเป็นอยู่ของ หมอบัณฑิต ในคุกนั้น นายพิทยา ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง กล่าวว่า
" หมอบัณฑิต ในคุก เป็น ผู้ต้องขังชั้นดี นิสัยดี เรียบร้อย ช่วยงานทุกอย่าง เป็น หมอประจำแดน ก็ว่าได้ "
" เขาพูดจายิ้มแย้ม แจ่มใสดี ไม่มีอาการเครียด "
สำหรับปี พ.ศ. 2541 แม้ผู้ต้องหาจะยังไม่ใช่นายแพทย์เต็มตัว แต่ก็กำลังศึกษาอยู่ในวงการแพทย์ คือคดีของ นายเสริม สาครราษฎร์ นศ.แพทย์ ก่อคดีฆ่าหั่นศพ น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี แฟนสาว นศ.แพทย์ชั้นปี 5 สาเหตุกระทำการชั่ววูบลงไปนั้น เนื่องจากแค้นที่แฟนสาวพยายามบอกเลิกและตีตัวออกห่าง จึงวางแผนชวนมาติวหนังสือที่ห้องพักและพยายามปรับความเข้าใจกัน พอไม่สำเร็จจึงใช้ปืนยิงศีรษะจนเสียชีวิต จากนั้นลงมือชำแหละศพ แยกชิ้นส่วนทิ้งลงชักโครก ส่วนกะโหลกศีรษะนำไปทิ้งแม่น้ำบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา หลังถูกจับกุมเจ้าหน้าที่ต้องเค้นสอบอยู่นาน กระทั่งยอมรับสารภาพ ศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต อย่างไรก็ตามระหว่างถูกจองจำถือเป็นนักโทษชั้นดี ได้รับการพระราชทานอภัยโทษเรื่อยมา กระทั่งช่วงต้นปี พ.ศ. 2555 ก็ได้รับอิสรภาพในที่สุด
พิษรักต้องชำแหละ
เสริม สาครราษฎร์ พิษรักต้องชำแหละ
คมมีดขาวกริบวาววับ
....ค่อย ๆ กรีดลงไปนื้อหนังมังสาของ ร่างผู้หญิง คนหนึ่ง จนเกือบมิด
เลือดสีแดงพุ่งกระฉูด เลือดไหลเปื้อนเปรอะไปที่ผนังและพื้นห้องน้ำ
ดวงตาหื่นโพลงของวัยรุ่นนักศึกษาคนหนึ่ง ระทึก
แต่มือเจ้าของดวงตา ยังทำหน้าที่การชำแหละร่างไร้วิญญาณต่อไป
เศษชิ้นเนื้อ ถูกเฉือนออกมา ถูกทิ้งลงในโถชักโครก
ภายในห้อง แม้อุณหภูมิจะเย็นเฉียบด้วยเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่
แต่ก็ยังปรากฏเม็ดเหงื่อที่ใบหน้า และแผ่นหลังของเขาจนโชกชุ่ม รวมไปถึงน้ำตาที่ไหลริน พร่างพราย
เพราะร่างผู้หญิงที่เขารัก กำลังเปลี่ยนไปเป็นเศษเนื้อ ในอีกไม่ช้า ไม่กี่วินาทีข้างหน้า
เขาหวนคิดถึงอดีตที่ผ่านมา นี่คือผู้หญิงคนแรกในชีวิต
และเป็นคนที่เขารักหลงใหล เทิดทูลเธออยู่ในหัวใจ เป็นเวลาหลายปี
ยิ่งรักมาก ก็แค้นมากด้วยอารมณ์ชั่ววูบแท้ ๆ ที่ทำให้เขาฆ่าเธอ
เธอจะเป็นของใครไม่ได้ทั้งนั้น นอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น
ลาก่อนเจนจิราลาชั่วนิรันดร์
.....พุทธศักราช 2536 หรือ ประมาณ 17 ปี มาแล้ว
มีข่าวหนึ่งที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ปรากฎบนหน้าหนังสือพิมพ์ของประเทศไทยหลายสำนัก
เป็นข่าว เด็กชายอายุ 15 ปี คนหนึ่ง จากจังหวัดชลบุรี สามารถสอบเอ็นทรานซ์ เข้า คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้
เขาสร้างความแปลกใหม่ให้แก่วงการศึกษา ในความเป็นเด็กยอดอัจฉริยะ
ข่าวนี้ทำให้ประชาชนสนใจ และกล่าวถึงความเก่งกาจ ความฉลาดของเขา
อีก 5 ปีต่อมา เขาสำเร็จการศึกษาได้เป็น วิศวกรรมบัณฑิต สมความตั้งใจ
แต่แค่นี้ยังไม่พอ เขาตัดสินใจ สอบเอ็น ฯ อีกครั้ง
ด้วยความเป็นเลิศทางมันสมอง
คราวนี้เขาสอบติด คณะแพทย์ศาสตร์ สมความตั้งใจ
ซึ่งไม่บ่อยครั้งที่ เด็กไทยจะสามารถเรียนจบ ในมหาวิทยาลัยของรัฐ ได้เป็นทั้ง วิศวกร และ นายแพทย์ สองอาชีพที่สุดยอดของประเทศไทย
แต่เด็กคนนี้ทำได้ เขาอาจเป็นหนึ่งในล้าน ! !
แต่ไม่นาน ข่าวของเขา ดังไปทั่วประเทศอีกครั้ง
คราวนี้ไม่ใช่ ข่าวการสำเร็จการศึกษา
แต่เขาขึ้นหน้าหนึ่ง หนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับ ทุกสำนัก
สื่อโทรทัศน์ออกข่าวแทบทุกช่อง ไม่เว้นแต่ละวัน
ข่าวหนังสือพิมพ์ พาด หัวว่า
จับฆาตกรโหด หั่นศพ อดีตแฟนสาว.................! ! !
เสริม สาครราษฎร์ ฆาตกรอัจฉริยะ เด็กฉลาดคนนั้น ! ! !
.....อีกมุมหนึ่งของฆาตกร
ครอบครัวของ เสริม สาครราษฎร์ เป็นครอบครัวที่ถือว่า มีฐานะดี พอสมควร
แม้มีเงิน แต่ชีวิตของ นายเสริม ค่อนข้างน่าสงสาร ค่อนข้างกดดันตั้งแต่เด็ก
เขาเป็นเด็กที่ เก็บกดมาก ๆ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา และบางครั้ง เขาเงียบจนดูน่ากลัว ดูท่าทางคิดอะไรอยู่ตลอด
สาเหตุก็เนื่องมาจาก พ่อของเขา เป็นคนที่เข้มงวด และเผด็จการมาก บังคับลูกทุกอย่าง
แม้แต่ แม่ของเขาเอง ก็ไม่สามารถมีปากมีเสียงได้
ในยามลับหลังพ่อ.....แม่ของเขา ก็โอ๋เขามากเช่นกัน เพราะสงสารลูก ที่ถูกพ่อบังคับและตีมาตลอด
เสริม เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพราะพอเรียนจากโรงเรียนเสร็จมา ก็จะต้องไปเรียนกวดวิชาต่อจนค่ำมืดดึกดื่น ( เป็นแบบนี้ทุกวัน )
ตั้งแต่เรียนหนังสือมา เขาเรียนได้ที่ 1 มาตลอด รางวัลเรียนดีอะไรต่ออะไรเต็มบ้านไปหมด
แต่ดูเป็นคนไม่มีสังคม ไม่มีเพื่อน
ครั้นพอเขาเรียนจบมัธยม ( เขาเรียนจบเร็วมาก เพราะเขาสอบเทียบหลายปี )
ความจริงแล้ว เสริม อยากเรียนวิศวะ
แต่ พ่อ ต้องการให้เรียนหมอ เขาก็ไม่เคยเถียงหรือพูดอะไร
แต่พอถึงตอน เอ็น ฯ เขาก็ " ขัดใจ " พ่อ
โดยการใส่ชื่อ คณะวิศวะ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง " อันดับเดียว " ( ในสมัยนั้นสามารถเลือกได้ 4 อันดับ )
ผลออกมาก็คือ เขาติด คณะวิศ วะสมใจเขา
แต่ พ่อเสริม โกธรเขามาก และก็ไม่ยอมให้ไปเรียน
บอกว่า ให้รอปีหน้า แล้ว เอ็น ฯ ใหม่ ระหว่างนั้นก็ทั้ง ด่า ตี ต่าง ๆ นานา
พอ แม่ เข้ามาช่วย ก็พลอยโดนลูกหลงเข้าไปด้วย
เชื่อไหมว่าพ่อของเขา ทั้งด่า และ ตีเขา ทุกวันทุกวัน
สุดท้าย แม่เขา สงสารลูก ทนไม่ไหวจึงแอบส่งลูก ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่สอบติด และแอบส่งเงินให้ทุกเดือน
ส่วนพ่อเข้าใจว่า ลูกหนีออกจากบ้าน ทำให้ประกาศลั่น ตัดพ่อตัดลูก
แต่ เสริม เรียนเก่งมาก เพราะเขา สามารถ จบวิศวะ โดยใช้เวลาแค่ 2 ปีครึ่งเท่านั้น ! !
เขา มักถามข่าวกับ แม่ ว่า
" พ่อใกล้ตายหรือยัง "
เพราะระหว่างที่เรียนอยู่ แม่เขาจะส่งข่าวมาตลอดว่า พ่อป่วยหนัก เป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย
แม่ของเสริม เล่าให้เขาฟังว่า พ่อบ่น และเพ้อออกมา ตอนป่วยว่า
" อยากให้เขาเรียนหมอ อยากให้เขาเป็นหมอ "
แม่เสริม จึง " ขอร้อง " ให้เขาเรียนหมอ โดยให้ถือซะว่า " ทำเพื่อแม่ "
แม่ของเขาขอร้องให้เขาเรียนหมออีกครั้งอยู่นาน
แม่ของเสริม ถึงขนาดร้องไห้ทุกวัน ไม่กินข้าวกินปลา จนเขาทนไม่ไหว
ด้วยความที่รักแม่ จึงรับปากว่า เขาจะ เอ็น ฯ และเรียนหมออีกครั้ง " เพื่อแม่ "
ผลออกมาก็คือสามารถ เอ็น ฯ ติด
แต่ พ่อของเขา ไม่สามารถที่จะอยู่เพื่อเห็น " ความสำเร็จ และสิ่งที่บังคับ " อยากให้ลูกเป็น มาตลอดชีวิตได้
เพราะหลังจากที่ เสริม เข้าเรียนได้ไม่กี่เดือน " พ่อเขา ก็เสียชีวิต "
และที่นั้นเอง เขาก็ได้พบ เจนจิรา ผู้หญิงที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาตลอดกาล....................
ตามหาเธอ....." เจนจิรา "
30 มกราคม พ.ศ. 2541
นายสมคิด และ นางสุดา พลอยองุ่นศรี พ่อแม่ ของ เจนจิรา
ทั้งคู่มีบ้าน และกิจการค้าอยู่ที่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
รู้สึกถึงความผิดปกติของ เจนจิรา เมื่อรับโทรศัพท์จาก ยายของเจนจิรา ที่กรุงเทพ ฯ แจ้งมาว่า
" เจนจิรา ไม่กลับบ้าน แม้จะเรียกเพจเจอร์หลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่ติดต่อกลับมา "
หัวอกของคนที่เป็นพ่อแม่ ย่อมหวาดวิตก และเป็นห่วงลูกสาวตามสัญชาติญาณ
เพราะ เจนจิรา เป็นเด็กสาวน่ารัก รูปร่างหน้าตาดี มีความประพฤติเรียบร้อย เป็นเด็กหัวดีเรียนเก่ง ไม่เคยทำตัวเหลวไหลตอนกลางคืน
จากการสอบถามไปถึงเพื่อนสนิทของเธอทุกคนแล้ว ก็ไม่ได้ข่าวคราวคืบหน้าของลูกสาวแต่อย่างไร
เวลาล่วงเลยมาถึงวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2541
ทั้งคู่จึงเดินทางมาแจ้งความที่ สน.พญาไท ว่าลูกสาวตัวเองหายไป พร้อมกับ รถโตโยต้าคันหนึ่ง และทรัพย์สินมีค่าอีกจำนวนหนึ่ง
จาการสืบสวนของ ทีมตำรวจ สน.พญาไท ในการสืบสวนขั้นแรก
.....เจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า เจนจิรา นัดพบกับ เสริม เป็นคนสุดท้ายที่ ห้างเวิลด์เทรด ฯ ก่อนที่จะหายตัวไปอย่างลึกลับ
เสริม ถูกเรียกมาสอบปากคำทันที่ทันใด
เขาให้การว่า นัดพบ เจนจิรา จริง
แต่หลังจากทะเลาะกัน เขาน้อยใจ และขอตัวกลับหอพักก่อน จากนั้นก็ไม่พบเธออีกเลย
ตำรวจ ตรวจตามร่างกาย และรถของเขา แต่ก็ไม่พบหลักฐาน พิรุธ หรือ ร่องรอยอะไรเพิ่มเติม จึงจำเป็นต้องปล่อยตัวเขาไป
ในที่สุดเมื่อไม่มีวี่แวว ร่องรอยอะไรเพิ่มเติม จึงจำเป็นต้องระดมกำลังค้นหา และการสืบสวน จึงเริ่มต้นอย่างจริงจัง อย่างใกล้ชิด เพราะสื่อมวลชน เริ่มทำข่าวนี้อย่างต่อเนื่อง
ประมาณ 1 สัปดาห์ต่อมา....ทีมสืบสวนปักใจเชื่อว่า บุคคลที่น่าสงสัยมากที่สุดในคดีนี้คือ นายเสริม สาครราษฏร์ แฟนหนุ่มของ เจนจิรา มากกว่าใคร
ต่อมาเขาถูกสอบสวนผ่าน " เครื่องจับเท็จ "
ผลที่ออกมาพบว่า มีหลายคำตอบ " เขาตั้งใจโกหก " และบ่งบอกพิรุธหลายอย่าง ให้การวกวนไปมา รวมทั้งก่อนหน้านี้ เสริม พยายามเดินทางไปที่ สามพราน บ้านของ เจนจิรา หลายครั้ง แสดงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างผิดสังเกต ต่อพ่อแม่ของเธอ
พร้อมกันนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ ตรวจรถ ของเขา อย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
คราวนี้พบ คราบเลือด ที่กระโปรงท้ายรถ
พบ กระดุมเม็ด ตกอยู่ รวมทั้ง เส้นผม ที่ไม่ใช่ของ เสริม
ไม่นานนักคำรับสารภาพทั้งหมด ก็พรั่งพรู ออกจากปาก นายเสริม สาครราษฏร์
แม้แต่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เอง ยังตกตะลึง
เขาได้ฆ่า และหั่นศพ แฟนสาว เรียบร้อยแล้ว แผนการหฤโหด เริ่มต้น และ ดำเนิน จากการวางแผน ของเขาคนเดียว
เรื่องโกหกของ เสริม
แม้จะยอมรับสารภาพว่า ตนเองเป็น ฆาตกรที่ฆ่าหั่นศพ แฟนสาวของตัวเองไปแล้วจริง ๆ
การทำ แผนประกอบคำรับสารภาพ ในชั้นแรกของเขา ยังเป็นที่คลางแคลงใจหลายฝ่าย
" เขา " เล่าเป็นฉาก เป็นตอน ราวกับ " นิทานชั้นหนึ่ง " ว่า.............................
6 มกราคม พ.ศ. 2541
ณ ห้างเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ราชประสงค์
เสริม สาครราษฏร์ ชื่อเล่นว่า เอ นักศึกษาแพทย์ ปี 2 ของ วชิระพยาบาล นัดพบ นางสาว เจนจินา พลอยองุ่นศรี นักศึกษาแพทย์รุ่นพี่ เพื่อปรับความเข้าใจเรื่องความรักที่ระหองระแหง
ก่อนหน้านี้ ทั้งคู่มีปากเสียงกันมาหลายครั้งหลายครา และยังตกลงเรื่องราวของความสัมพันธ์ในหัวใจ ที่ค้างคากันมานาน 2 ปี ไม่สำเร็จ
เจนจิรา เธอยังยืนยันขอแยกทางกับ เสริม
เพราะรู้สึกว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นิสัยของ ฝ่ายชาย เป็นเครื่องพิสูจน์เป็นอย่างดีว่า " เข้ากันไม่ได้กับเธอ "
เสริม ตกใจกับคำปฏิเสธของ หญิงสาว
เขาตาม ง้อ วิงวอน เพราะ เจนจิรา เป็นผู้หญิงคนแรก ที่เขารักจนหมดหัวใจ
เขา เดินตาม สาวคนรัก มาที่ ลานจอดรถ ที่ค่อนข้างเงียบสงัด และลับตาคน และตามไปนั่งคุยต่อในรถของ ฝ่ายหญิง
เขา เกิดอารมณ์โกรธสุดขีด มันทำให้ เขา ขาดสติ จนยั้งใจไม่อยู่
เมื่อพูดกันไม่รู้เรื่อง เขา ลืมตัวบีบคอ แฟนสาว จนตายคามือของเขา
แต่เมื่อสติหวนคืนกลับ เสริม ตกใจกลัวสุดขีด
ข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา มันรุนแรงแค่ไหนนั้น เขารู้ดี
ชีวิตของเขา หน้าที่การงานของเขา จะถูกทำลายเพราะถูกจับ ฐานฆ่าคน ไม่ได้
เขา นั่งในรถ ข้าง ศพเจนจิรา นาน 2 ชั่วโมง
แล้วแผนการต่าง ๆ ถูกร่างขึ้นในสมอง
เขา กำลังหาวิธีทำลายศพแฟนสาว
จะทำอย่างไรล่ะ เผา ทิ้งแม่น้ำ ฝังศพไว้ในป่าลึก
เพราะ ถ้า ไม่มีศพ ก็ไม่มีพยานหลักฐานที่เอาผิดได้
ทันใดนั้นเอง....เขาก็คิดได้
.....แต่กรรมวิธีนั้นมัน สยดสยอง และหฤโหด สุดคณา
เขาขับ รถเก๋ง โตโยต้า โคโรน่า สีเขียว หมายเลขทะเบียน 8ษ - 8580 กรุงเทพ ฯ ของ เจนจิรา ออกจาก ลานจอดรถ ห้างเวิลด์เทรด ในเวลาพลบค่ำ
พาร่างที่ ไร้วิญญาณของเจนจิรา อยู่ในกระโปรงหลังรถ
เขาตรงไปที่ประตูน้ำ
และ ปลายทางลิ้นสุดลง ที่ห้อง 156 ของโรงแรม 99 ในซอยรางน้ำ
.....หลังจากจ่ายค่าห้องแบบค้างคืนแล้ว
เสริม สาครราษฏร์ ค่อย ๆ อุ้มศพของ เจนจิรา เข้าไปในห้องน้ำ
วาง ศพเธอ ที่แข็งตัวแล้วไว้ที่อ่างน้ำ
ถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออก
ตามปกติ เสริม เป็นคนชอบพกมีด ขนาดยาวประมาณ 5 นิ้ว ไว้ในกระเป๋าสะพาย ติดตัวอยู่บ่อย ๆ
มีดเล่มที่คมกริบเล่มนั้น มันคือเครื่องมือสำคัญในการ กำจัดศพ ของเธอ
เขาค่อย ๆ เฉือนอณูเนื้อของ แฟนสาว ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตามที่ร่ำเรียนมาจากคณะแพทย์ เขาเฉือนเสร็จ ก็ทิ้งลงในชักโครก แล้วกดน้ำทิ้ง
เขาทำเช่นนี้อยู่นาน 2 ชั่วโมง จนชักโครก และท่อระบายน้ำเกรอะ เริ่ม อุดตัน ซากเศษเนื้อมนุษย์ จนเขาเริ่มวิตก
ต่อมา เขาขับรถกลับโรงแรมอีกครั้ง
เขาซื้อ น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาดับกลิ่น น้ำยาขจัดสิ่งอุดตัน ถุงดำใส่ขยะ ที่ปั๊มลมสำหรับโถส้วม ที่ ร้านเซเว่น ฯ ในละแวกนั้น
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เขากลับมา ชำแหละศพ ของแฟนสาว แบบนอกตำราต่อจนไม่มีอะไรเหลือ
หัวกะโหลก และโครงกระดูกทุกชิ้นของ เจนจิรา ถูกใส่ถุงดำ ถึง 3 ถุงใหญ่
แผนการขั้นต่อไป เขา คิดขึ้นมาได้ว่าต้อง
" กำจัด หัวกะโหลก และ กระดูก " ทั้งหมด รวมทั้งหลักฐานทั้งหมด ให้สิ้นซาก
ที่ไหนอย่างไรดี.......? ? ?
เสริม ตัดสินใจทิ้งรถไว้ที่ โรงแรม 99
แล้วเรียก แท็กซี่ กลับ ห้างเวิลด์เทรด ฯ อีกครั้ง เพื่อกลับไป เอารถ ของเขา
แล้วไปจอดที่ โรงแรมเฟิร์สต์ สี่แยกราชเทวี เพื่อไม่ให้มีพิรุธ และเป็นที่น่าสงสัยของ ห้างเวิลด์เทรด ฯ
เขานั่งแท็กซี่ กลับไปที่ โรงแรม 99 อีกเที่ยว
.....แล้วนำ ถุงกระดูก ของ เจนจิรา ทั้ง 3 ถุง ใส่รถของเธอ ขับขึ้นทางด่วน ไปลง ถนนบางนา - ตราด
.....มุ่งหน้าต่อไปยัง สะพานบางปะกง
จอดรถที่ กลางสะพาน ดูจนแน่ใจว่าไม่มีคนเห็น
จากนั้นก็ โยนถุงทั้งหมด ทิ้งลง แม่น้ำปางปะกง เพื่อทำลายหลักฐาน
" ลาก่อน.......เจนจิรา หากชาติหน้ามีจริง....เราคงได้พบกัน "
เสริม ขับรถของ เจนจิรา กลับมา โรงแรมเฟิร์สต์ อีกครั้ง
.....ขนถ่าย เสื้อผ้า ข้าวของ เครื่องใช้ทั้งหมดของเธอ มาใส่ รถของตัวเอง
แล้วขับ รถแฟนสาว ไปทิ้งหน้า บริษัท ทีแอนด์ที โอเพ่นนิ่ง จำกัด ใน หมู่บ้านเมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ
จากนั้นก็ต่อ รถแท็กซี่ กลับไปเอา รถของตัวเอง
จากนั้นก็กลับไป หอพัก เก็บของเสร็จสรรพแล้ว
เขาไม่ยอมนอน
เขาขับรถต่อไปยังบ้าน เพื่อนสนิทคนหนึ่ง ใน ย่านบางพลัด ถนนจริญสนิทวงศ์
.....เมื่อเวลาสว่างพอดี เขาขอให้ เพื่อน " ล้างรถ "
เสร็จแล้ว เดินทางไปหอพัก เพื่อ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และขับรถไปบ้านเกิดที่ จังหวัดชลบุรี
.....เพื่อ " เผา " ทำลายเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ของ เจนจิรา จนหมดสิ้น
สิ้นควันไฟ เขาถอนหายใจ ทุกอย่าง ถูกทำลายย่อยยับจนหมดสิ้น ไม่ให้ " ตำรวจ " สาวตัวมาถึงเขาได้
แน่นอนถ้า ไม่มีหลักฐาน ไม่มีศพ ก็ไม่มีใคร " เอาผิด " เขาได้
ความจริงแห่งความตาย
ตำรวจ เงียบไปพักใหญ่ เมื่อฟังคำรับสารภาพของ นายเสริม
" ทำไมกัน.....ทำไม.....เขาต้อง วางแผนยุ่งยาก แบบนี้ด้วย เดี๋ยวไปโน่น เดียวไปนี่ สลับซับซ้อนเหลือเกิน หรือว่าเขาโกหก ! "
มีทางเดียวเท่านั้น ที่จะรู้ความจริงคือ " การเข้าเครื่องจับเท็จ "
ผลออกมาปรากฏว่า.....เขาโกหก
แต่ กฎหมายไทย " ผลจากเครื่องจับเท็จนั้น " ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้
ตำรวจ จำเป็นต้องปล่อยตัวเขาอีกครั้ง
แต่ได้สั่ง " คน " ตามไปประกบ จับตาดู
ผ่านไป 10 วัน มีรายงานเข้ามาว่า " เสริม " เปลี่ยนไป เป็นคนละคน
เมื่อ เขา เลิกเรียนแล้ว ก็กลับมาหมกตัวอยู่ในห้อง ไม่สุงสิงกับใคร กินข้าวก็กินในห้อง แทบไม่ออกไปไหนเลย
มันเป็นการพบหลักฐานสำคัญ ที่ประหลาดและพิศดารมาก
เพราะมันเริ่มมาจากการที่ " ตำรวจ " ได้รับแจ้งเหตุว่า มี งูเหลือม เข้าบ้านพัก จึงไปตามจับถึงบ้านพัก
งูเหลือม จำนวน 2 ตัว เลื้อยหลบหลีก และขึ้นไปซ่อน บนฝ้าเพดานใต้หลังคา
ตำรวจ สามารถ " จับงู " ได้ที่นั้น
และสายตาก็เหลือบไปเห็น
" ถุงดำ ! "
สิ่งที่พบใน " ถุง " ตำรวจ ต้องตกตะลึง
.....เพราะ มันเป็นข้าวของเครื่องใช้ของ นางสาวเจนจิรา เหยื่อหั่นศพ
ซึ่งก่อนหน้านี้ นายเสริม อ้างว่า " เผา " ทำลายทิ้ง หมดแล้ว
หลักฐานเพิ่มเติมนี้ เป็นหลักฐานมัดตัว เสริม สาครราษฎร์ ให้หนักแน่นขึ้น
ความจริง
จากการสืบสวนของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ภายหลัง
สามารถ สรุป สำนวน และ ความเป็นจริง ของ คดีสยดสยองนี้ ได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้
จาก ห้างเวิลด์เทรด ฯ " เสริม " ใช้วาจา ล่อหลอก ให้ " เจนจิรา " ตามเขาไปที่คอนโด ฯ ซึ่งเป็น หอพัก ของเขา ย่านฝั่งธน ฯ ได้สำเร็จ
ทั้งคู่ เกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง
ในขณะที่ เธอ เข้าห้องน้ำนั้น
ด้วยโทสะสุดขีด เขาใช้ " อาวุธปืน " จ่อยิงศีรษะของเธอ อย่างโหดร้าย ทันทีที่เธอเปิดประตูห้องน้ำออกมา
การชำแหละ " ศพ เจนจิรา " เกิดขึ้นที่ ห้องน้ำ ที่พัก ของเขาเอง
หลักฐาน ก็คือ ที่ห้องพัก โรงแรม 99 ตำรวจ ไม่พบ คราบเลือด เส้นผม และ ชิ้นเนื้อใด ๆ ในบ่อเกรอะของโรงแรม แม้แต่น้อย
แต่ใน ห้องน้ำของเขา และ บ่อเกรอะ ตำรว จพบ ทั้งคราบเลือด และ เศษเนื้อมนุษย์ จำนวนมาก
ซึ่งผลการพิสูจน์ ดีเอ็นเอ ยืนยันแล้วว่าเป็นของ เจนจิรา จริง
.....จากนั้น ก็มีการพบ กระโหลกศีรษะ ของมนุษย์ โดย ชาวบ้าน ใน แม่น้ำบางปะกง " ทอดแห " ไปเจอเข้า
เมื่อ ทางนิติเวช นำมาตรวจพิสูจน์ " ภาพเชิงซ้อน " ลักษณะของ ฟัน และ ดีเอ็นเอ แล้ว พบว่าเป็นของ เจนจิรา
ทั้งสองหลักฐานที่ได้มานี้ เป็นหลักฐานสำคัญทางวิทยาศาสตร์ ที่มัด นาย เสริม สาคาราษฏร์ ชนิดดิ้นไม่หลุด
ทำไม คำสารภาพครั้งแรก ของเขา เขาต้องโกหก
เขา ต้องการให้ เจ้าหน้าที่ ไขว้เขว หรือ ไม่อยากให้หาหลักฐานเจอ หรือ เพื่อประวิงเวลา จนไม่สามารถ " เอาผิด " กับ เขา ได้
ผลสุดท้าย เสริม สาครราษฏร์ ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต
ชำแหละหัวใจ " เสริม สาครราษฎร์ "
HI-CLASS พาคุณ เดินผ่านประตูคุก เพื่อ เปิดเปลือยเรื่องราวของนักโทษอย่าง เสริม สาครราษฎร์ เข้าไปนั่งรับรู้ตัวตนที่แม้จริง เข้าไปฟังวินาทีสังหาร ชนิดคำต่อคำ และสัมผัสความรู้สึกหลังความผิดบาปที่ได้ก่อขึ้น
ไฮ-คลาส ครอบครัวเสริม สาครราษฎร์ ตั้งแต่เด็กมาก็เป็นเหมือนคนอื่นทั่วไป พ่อแม่ก็อยู่ด้วยกันครอบครัวก็สมบูรณ์คุณพ่อก็ไม่
ได้มีภรรยาน้อยอะไรมีอาชีพค้าขาย มีพี่น้องสองคนผมเป็นคนโตแล้วก็มีน้องสาวอีก
คนหนึ่ง สมัยประถมผมเรียนที่โรงเรียนศรีราชา เป็นโรงเรียนคริสต์ที่มีแต่ผู้ชาย
ล้วน เรียนอยู่ที่ชลบุรีจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็เข้ามาที่กรุงเทพฯเป็นโรงเรียน
คริสต์อีกเช่นกัน
ไฮ-คลาส ทำไมถึงตัดสินใจเรียนวิศวะ
ตอนนั้นเป็นคนที่สนใจเรื่องเหล่านี้เป็นคนชอบคอมพิวเตอร์ เลยตัดสินใจเรียน
วิศวคอมพิวเตอร์
ไฮ-คลาส แสดงว่าสมัยมัธยมเป็นเด็กเรียนเก่งพอสมควร
ตอนมัธยมต้นก็เรียนดีพอสมควร ผมสอบเทียบตั้งแต่มัธยม 4 ช่วงม.ปลายคะแนน
อาจจะตกลงไปบ้างเพราะต้องทุ่มเวลาอ่านหนั งสือเพื่อเตรียมสอบเอ็นทราน พอ
สอบจริงก็ติดคณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยทางภาคใต้แต่ก็ไม่เอา เราตั้งเป้าแล้ว
ว่าเราจะเข้าวิศวจุฬา เลยตั้งใจอ่านหนังสืออย่างหนักแล้วก็สอบเข้าได้
ไฮ-คลาส ได้ยินมาว่าคุณพ่อเป็นคนที่ดุมากใช่หรือเปล่า
ก็เป็นคนค่อนข้างเจ้าระเบียบมากกว่า ไม่ค่อยถูกตามใจเรียกว่าไม่เคยตามใจเลย
ดีกว่า เขาเลี้ยงลูกให้อยู่ในกรอบ คงเป็นเพราะเขามองอะไรแบบผู้ใหญ่ ผมเลย
ได้เรื่องความระเบียบอะไรอย่างนี้มาจากคุณพ่อมาก แต่โดยส่วนตัวไม่ใช่คนที่มีนิสัย
ดุอะไรอย่างที่เข้าใจนะ เป็นคนเงียบๆ และเก็บอารมณ์ได้มากกว่า
ไฮ-คลาส ระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ คุณเสริม สนิทหรือรักใครมากกว่ากัน
ถ้าถามตอนนี้ก็ต้องบอกว่ารักแม่มากกว่าเพราะคุณพ่อเสียแล้ว แต่ถามว่าทั้งคู่รักใคร
มากกว่ากันนั้นมันตอบลำบาก เพราะเราไม่ได้อยู่กับครอบครัวตลอด เรามาอยู่
โรงเรียนประจำมากกว่าพอจบจากโรงเรียนประจำเราก็มาอยู่กรุงเทพฯตั้งแต่ยังเด็ก พอมหาวิทยาลัยก็อยู่กรุงเทพฯเลยไม่ค่อยสนิทกับครอบครัวมากเท่าที่ควรเลย
ไม่รู้ว่ารักหรือสนิทกับพ่อหรือแม่คนไหนมากกว่ากัน
ไฮ-คลาส คุณพ่อมีส่วนตัดสินใจบ้างหรือเปล่าเพราะได้ยินข่าวว่าพ่ออยากให้คุณ
เสริมเป็นหมอ
ข่าวก็เป็นข่าวลงกันเรื่อย ความจริงคุณพ่อไม่ได้อยากให้เราเรียนหมอมาตั้งแต่ช่วง
แรกอยู่แล้ว การตัดสินใจเรียนวิศวก็เป็นการตัดสินใจของผมเอง เราตั้งเป้าว่าจะ
เรียนทางนี้ แต่พอเรียนจริงมันยากพอสมควร เราต้องเรียนหนัก ความจริงแล้ว
เราก็ไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่งอะไรมากมาย เกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 2 กว่ายังไม่ถึง 2.5
เลยด้วย ซ้ำ ข่าวเอาไปเขียนว่าเรียนเก่งเป็นเด็กอัจฉริยะ ความจริงไม่ได้เป็น
อย่างนั้นเลย แต่เราก็เรียนมาจนจบวิศว เราเข้าเรียนปี 2535 มาจบเอาปี
2539 ก็ 4 ปีพอดีช่วงที่เราเรียนอยู่ปี 4 เป็นปีที่คุณพ่อเสียชีวิตพอดี
ไฮ-คลาส มารู้จักกับ 'เจนจิรา' ได้อย่างไร
ความจริงก่อนที่เราจะมารู ้จักกับ 'เจนจิรา' ผมเคยมีแฟนมาก่อนแล้วคนหนึ่งแต่
พอตอนหลังเขาขอเลิกไปเพราะเรียนหนัก ก็แยกกันด้วยดี จากนั้นเราก็มารู้จักกับ
'เจนจิรา' ประมาณปี 3 เข้าปี 4 ก็รู้จักด้วยการเป็นเพื่อนกันก่อนตอนนั้นยังไม่ได้
เป็นแฟนกัน เขาเรียนมหิดลเราเรียนจุฬาฯแต่ไปเจอกันในโบถส์เพราะเขาก็นับถือ
ศาสนาคริสต์เหมือนกัน คือไปเจอกันก็เลยมีโอกาสพูดคุยกัน เขาเป็นคนเรียบร้อย
ส่วนผมเป็นคนเรียบๆเฉยไม่ค่อยคบหากับใครมากนักชอบเก็บตัวอยู่คนเดียวจึงไม่
ค่อยมีเพื่อนอะไรเท่าไหร่
ไฮ-คลาส ทำไมมีนิสัยเก็บตัวอยู่คนเดียว
ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อใจใครง่ายๆโดยเฉพาะผู้ชาย ถึงแม้เราจะเคยเรียน
โรงเรียนที่มีแต่ผู้ชายล้วนๆ ก็ตาม เพราะเราเจอแต่ความไม่จริงใจเจอความเห็น
แก่ตัวมาเยอะ เราอาจจะมองว่าเพื่อนเป็นสิ่งที่ดีคอยช่วยเหลือกันแต่ความเป็นจริง
ที่เราเจอมันต่างกัน มีแต่การใส่หน้ากากเข้าหากันตลอด ต้องอยู่ในสังคมที่ใช้ความ
หรูหรามาวัดกัน อวดมั่งอวดมีอวดรวย ชอบงานรื่นเริง เป็นสังคมที่พยายามแสดง
ตัวเองออกมาว่าเป็นคนระดับสูง ไม่ได้คบกันด้วย ความจริงใจ เราเลยไม่ค่อย
เชื่อใจใคร เมื่อมาอยู่มหาวิทยาลัยจึงไม่ค่อยมีเพื่อนจะมีก็แต่เพื่อนผู้หญิง
ไฮ-คลาส ทำไมถึงคิดมาเรียนหมอ
ตอนนั้นผมเริ่มอยู่ปี 4 ใกล้จบแล้วเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นเราเริ่มแคร์เขามากขึ้น
เขาเคยพูดถึงเรื่องอนาคตของเขากับเราว่า หากเรียนจบแล้วอยากจะไปอยู่เมือง
นอกและอยากมีแฟนเป็นหมอเหมือนเขา คือตอนนั้นเราคบกันแบบเพื่อนะยังไม่ได้
บอกว่าเราชอบเขา และจากตรงนั้นมั้งทำให้เราตัดสินใจเรียนหมอ
ไฮ-คลาส เราบอกกับ 'เจนจิรา' อย่างไรว่าวันนี้เรารู้สึกกับเขามากกว่าการ
เป็นเพื่อนธรรมดา
ไม่ได้บอกอะไรตรงๆ มันเป็นเรื่องที่รู้กันเองเริ่มจากการเป็นเพื่อนกันธรรมดามี
เวลาให้กันมากขึ้น เข้าอกเข้าใจกันมากขึ้นมันก็พัฒนาไปเองโดยที่เราก็รู้กันว่า
ระหว่างเรามันมากกว่าการเป็นเพื่อนแล้ว เริ่มมีการหึงหวงบ้างอะไรแบบนี้ ช่วง
วันสำคัญเราก็มีอะไรพิเศษให้กันบ้างอย่างวาเลนไทน์ก็ให้ดอกไม้กัน มันเข้าใจ กัน
โดยไม่ได้บอกออกมาเป็นคำพูด
ไฮ-คลาส บอกได้มั้ยว่าเรามีอะไรดีที่ทำให้ผู้หญิงมาชอบเรา
คงเป็นเพราะผมเป็นคนที่พูดอะไรตรงๆ มั้ง แต่ก็ไม่เคยถามเขานะว่าเขาชอบผม
ตรงไหน ส่วนเขาค่อนข้างจะเป็นคนจริงจังกับชีวิตพอสมควร ลักษณะนิสัยเรากับ
เขาคงคล้ายๆ กันคุยกันได้ก็เลยคบกัน คือหลายอย่าง ครอบครัวเขาเองก็ไม่ได้อยู่
ด้วยกัน แยกทางกันตั้งแต่เขายังเด็ก แม่ก็ไปเปิดร้านอาหารอยู่อเมริกา พ่อก็อยู่อีก
ทางหนึ่ง เขาต้องมาอยู่กับญาติ คงทำให้ขาดความอบอุ่น พอมาเจอกับเราคุยกันได้
ก็สนิทกันจนพัฒนามาเป็นแฟนกัน
ไฮ-คลาส ข้ามไปเร็วหน่อยหลังจากคบกันมาระยะหนึ่งรู้ได้อย่างไรว่าเขาเริ่มถอย
ห่างจากเรา
เราคบกันมากระทั่งจุดหนึ่งก็เริ่มมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองคน คือผมเช่าหออยู่เขาก็
มาอยู่ด้วยกับเราเหมือนแฟนทั่วไปที่ผู้หญิงผู้ชายใช้ชีวิตร่วมกันก่อนแต่งงาน อันที่จริง
เขาก็มีบ้านนะบางทีเขาก็กลับบ้านบ้าง นอนหอตัวเองบ้าง อย ู่กับเราบ้าง อาทิตย์
หนึ่งอยู่กับเราประมาณ 3-4 วัน อะไรแบบนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
แต่ระยะหลังเราเริ่มสังเกตว่าเขาเปลี่ยนไปจากเดิม เริ่มมีธุระมากขึ้นเริ่มไม่ค่อย
ว่าง คือโดยสัญชาติญาณเรารับรู้ได้ว่ามันไม่เหมือนเดิม เขาเคยพูดขึ้นมาครั้งหนึ่ง
ว่าไปรู้จักกับพี่ชายของเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนที่ให้คำปรึกษาในหลายๆ เรื่อง และเคย
มีครั้งหนึ่งเขามาเล่าให้ฟังว่า มีเพื่อนผู้หญิงซึ่งมีแฟนอยู่แล้วมาปรึกษาเขา บอกว่า
เขาไปชอบผู้ชายอีกคนหนึ่งจะทำอย่างไรดี ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรก็ให้คำ
ปรึกษาไปว่าแล้วแต่ผู้หญิงคนนั้นว่าจะคิดอย่างไรทำนองนี้ แต่พอกลับมานั่งนึกก็เลย
เข้าใจว่าอาจเป็นตัวเขาเองที่ไปชอบผู้ชายคนอื่น
เราเริ่มสังเกตพฤติกรรมเขามากขึ้นช่วงที่อยู่กับเรา มีครั้งหนึ่งที่เรานัดกันไปไหน
สักแห่งแต่ปรากฏว่าเขาไม่ยอมมาตามนัด ผมเลยจะโทรไปฝากข้อความทางเพจ
เจอร์ของเขา แต่ก่อนจะฝากข้อความผมก็เช็คข้อความของเขาก่อนว่าฝากอะไรถึง
เราหรือเปล่าเพราะเราใช้เพจร่วมกัน โดยที่ผมเองก็มีรหัสผ่าน พอเข้าไปเช็คก็
เจอข้อความที่ถูกส่งมาจากรุ่นพี่คนนั้น เป็นคำพูดโรแมนติคมากที่หยิบมาจากภาพยนต์
เรื่องหนึ่งแต่ผมจำไม่ได้ว่าเรื ่องอะไร และในข้อความนั้นเขาก็นัดไปดูหนังกัน
เราเลยรู้ว่าที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เองถึงไม่ว่างและไม่มาตามนัด
พอรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งเราก็ถามว่าเมื่อวานไปไหนมา เขาตอบว่าไปดูหนังแล้วก็กินข้า
วก?บน้องซึ่งไม่ได้เจอกันนาน เราก็รู้แล้วว่าเขาโกหกไม่บอกความจริงกับเรา
ความจริงแล้วมันมีอะไรมากกว่าการไปดูหนังกันธรรมดา มันมีหลักฐานซึ่งผมรู้มา
นานแล้วไม่ใช่แค่ครั้งนี้ผมไม่อยากพูดถึงเอาเป็นว่าผมพูดกว้างๆ ดีกว่าว่าเขาไปมี
อะไรกับคนอื่นด้วยนอกเหนือจากเรา พอดีวันนั้นเป็นวันที่ผมระเบิดออกมาจึงเกิด
การทะเลาะกัน หากวันนั้นเขายอมรับออกมาเรื่องก็อาจไม่บานปลายถึงขนาดนี้ ผม
มานั่งคิดดูเราอาจจะต่างคนต่างเลิกรากันไป แต่วันนั้นเขาไม่ยอมรับผมเลยโกรธ
มาก
ไฮ-คลาส เหตุการณ์โศกนาฎกรรมวันนั้นเป็นอย่างไรอยากได้ยินจากปากคุณโดย
ตรง
วันนั้นเราโกรธมาก มันหน้ามืดไปหมดอาจเป็นเพราะเราควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่
ได้ด้วย ตอนนั้นผมเองเพิ่งอายุ 22 ปี ความคิดอะไรมันก็ยังควบคุมไม่อยู่ อารมณ์
ตอนนั้นมันโกรธจัด ทะเลาะกันรุนแรงมาก ผมเองไม ่รู้จะทำอย่างไร ไม่เข้าใจ
ว่าทำไมเขาต้องโกหกเรา มาหลอกเราทำไม คิดอะไรไม่ออกโมโหมากเดินเข้า
ไปหยิบปืนแล้วก็เขายิงทันที
ไฮ-คลาส ไปเอาปืนมาจากไหน กระแสข่าวออกมาว่ามีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า
ผมเก็บปืนไว้ที่ห้องนานแล้วเขาก็รู้ เพราะแถวที่ผมอยู่นั้นมันเปลี่ยวชาวต่างชาติพวก
ไนจีเรียอยู่กันเยอะ ผมเองรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยไปเอาปืนจากที่บ้านมาเก็บไว้เผื่อ
ป้องกันตัว
ไฮ-คลาส ตอนที่ยิงเขาคิดหรือเปล่าว่าจะต้องยิงให้ตายหรือแค่ให้เจ็บ
ตอนนั้นก็คิดเลยว่ายิงให้ตายเพราะมันโกรธจัด คือผมจ่อยิงที่หัวเลย เป็นเรื่องของ
อารมณ์มากกว่า ไม่ใช่เราฆ่าเขาแล้วเราจะรู้สึกดีนะ ไม่ใช่เราฆ่าเพราะอยากให้
เขาตายให้สมกับความแค้นที่เขาได้หักหลังเรานะ มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ
ไฮ-คลาส สังคมมองว่าคุณเป็นฆาตกรโหดเ***้ยมผิดมนุษย์ที่ฆ่าแฟนตัวเองแล้วยังแล่
ศพด้วยความใจเย็น
ตอนนั้นผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี ยิงเขาไปแล้วมันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ พอตั้งสติได้ก็ร้อง
ไห้เสียใจสงสาร ไม่น่าทำแบบนี้เลย จากนั้นก็อุ้มศพเขาเข้าไปในห้องน้ำนั่งมองศพ
อยู่นานไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ตอนนั้นเริ่มกลัวแล้วไม่อยากถูกจับ เลยจัดการแร่เป็น
ชิ้นๆ เพื่อทิ้งลงน้ำโดยใช้มีดทำครัวธรรมดานี่แหละไม่ใช่มีดผ่าศพของหมออย่างที่
เข้าใจ แล่เป็นชิ้นแล้วทิ้งลงชักโครก แต่พอทิ้งไปได้สักพักมันกดน้ำไม่ลงคือท่อมันตัน
ผมเลยทิ้งศพไว้ในห้องแล้วออกมาซื้อถุงดำ ซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำ ซื้อไม้ที่ปั้มท่อ พอก
ลับมาน้ำมันเพิ่งลดลงไปหน่อยเดียวเองเลยต้องใช้ที่ปั้มนั้นปั้มท่อไปด้วย ส่วนกระดูก
ที่เหลือก็เอาไปทิ้งที่แม่น้ำบางปะกง
ไฮ-คลาส เป็นไปได้หรือไม่ว่า เพราะการที่คุณเรียนหมอต้องเคยเรียนผ่าศพด้วย
และต้องเห็นศพบ่อยๆ
ทำให้ไม่รู้สึกกลัวและสามารถแล่ศพได้อย่างใจเย็น คือเป็นเรื่องชาชินธรรมดา
ความจริงรู้สึกนะไม่ใช่ไม่รู้สึกอะไร เพราะศพที่อยู่ตรงหน้ามันเป็นแฟนเราเป็นคนที่
เรารัก ต่างจากการเรียนผ่าศพที่เรียกว่าอาจารย์ใหญ่นั่นเราจะไม่ค่อยรู้สึกอะไร
เพราะเราไม่รู้จักเขา การที่ต้องแล่ศพเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรเราทำลายหลัก
ฐานไม่ได้ เราเอาลงมาจากข้างบนหอไม่ได้มันใหญ่เกินไปคนจะสงสัย เลยต้องแล่
ศพ หากเป็นที่อื่นก็อาจเผาทำลายหลักฐานได้หรืออย่างอื่น แต่นี่เป็นห้องที่เราอยู่จึง
ต้องใช้วิธีนี้ เรื่องเรียนหมอหรือไม่ได้เรียนหมอมันไม่เกี่ยวแต่มันเป็นเรื่องจำเป็นที่
ต้องทำวิธีนี้ คุณพ่อค้าขายหมูก็อาจใช้วิธีนี้ก็ได้
?ฮ-คลาส ตอนที่คุณชำแหละศพช่วงที่ต้องตัดคอคุณไม่เห็นหน้าเขาหรือคุณมองหน้า
เขาอยู่หรือเปล่า
เปล่าผมตัดจากทางด้านหลัง ผมจับเขาหันหลัง คืออย่าเข้าใจว่าเป็นความรู้สึกที่ดี
นะ มันแย่มากตอนนั้น เราเคยอยู่ด้วยกันมาก่อนไม่คิดว่าจะมาจบลงตรงนี้ ผมยังพูด
กับศพเลยไม่ได้อยากจะทำอย่างนี้ ขอโทษเขาตลอด แต่ก็ไม่อยากถูกจับมันจำเป็น
ต้องทำ
ไฮ-คลาส หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปแล้วคุณรู้สึกกลัวหรือเปล่า เพราะได้ยินว่า
คุณก็ยังอยู่ที่ห้อง ที่เกิดเหตุ
ไม่ได้กลัวอะไร ผมเองก็ยังอยู่ที่นั่นเป็นเดือนไม่ได้หนีไปไหน แต่ก็เหงาบ้างเวลาที่
เราขาดเขาไปเพราะเคยอยู่ด้วยกัน
ไฮ-คลาส เหตุการณ์วันที่ค?ณถูกจับกุมเป็นอย่างไร
เรื่องมันผ่านมาได้เกือบเดือนหนึ่งแล้วหลังจากที่ผมฆ่าเจนจิรา ผมก็ยังอยู่ที่ห้องนั้น
ปกติต่อมา วันนั้นผมเดินๆ อยู่ริมถนนก็มีคนมาอุ้มผมขึ้นรถตู้ ปิดตาผม จากนั้นก็ใส่
กุญแจมือแล้วก็ซ้อมด้วย พอเปิดตามาก็รู้ว่าเป็นตำรวจ หลังจากนั้นเขาก็พามาส่ง
ที่สน.สอบสวนผมเสร็จแล้วก็ให้เราเซ็นชื่อรับสารภาพ ว่าฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ฆ่าด้วยความทารุณโหดร้าย เขาบอกว่าเซ็นไปก่อนแล้วค่อยไปสู้กันที่ศาล
ไฮ-คลาส ทำไมถึงต้องซ้อมด้วย
ผมก็ไม่รู้แต่ได้ยินว่าทางญาติจะให้เงินรางวัลหากใครเจอศพลูกสาวเขา ผมก็ไม่รู้
เป็นอย่างไร แต่พอหลังจากจับผมได้แล้วดูเหมือนตำรวจคนนั้นจากที่เคยใช้โทรศัพท์
ธรรม ดาก็เปลี่ยนมาใช้รุ่นใหม่ การซ้อมก็อาจเป็นการคาดคั้นเอาหลักฐานก็เป็นได้
อันนี้ผมไม่รู้เหมือนกันอาจจะเป็นเพราะแบบนี้ก็ได้
ไฮ-คลาส รู้สึกอย่างไรบ้างกับคุณหญิง แพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ที่เข้ามาทำ
คดีนี้
ถึงแม้เขาไม่เข้ามาทำคดีนี้ ผมรู้ว่าผมก็คงต้องติดคุกอยู่ดี เพราะเรารับสารภาพไม่
ใช่เพราะคุณหมอพรทิพย์เข้ามาพิสูจน์ แต่สังคมมองว่าเพราะคุณหมอเข้ามาทำคดีถึง
สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ แต่ความจริงนั้นมันไม่ใช่ ผมคิดว่าโดยทางรูปคดีสามารถ
สาวมาถึงตัวผมได้อย่างแน่นอนผมเลยรับสารภาพ โดยส่วนตัวผมไม่เคยรู้สึกอะไร
กับคุณหมอ ไม่มีความโกรธแค้นเขาแต่อย่างใด
ไฮ-คลาส ตอนที่ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิตตอนนั้นรู้สึกอย่างไร
ผมทำใจไว้แล้วไม่มีอะไร แต่ก็ต่อสู้จนถึงศาลฎีกา ในชั้นฎีกาผมต่อสู้ในประเด็นที่ว่า
ผมไม่ได้โดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ทุกชั้นศาลก็ไม่ได้เชื่อเราอย่างนั้นเพราะเขามอง
เห็นว่าเรามีปืนอยู่เขามอ งว่าเราเตรียมการ แต่ผมยืนยันว่าไม่ได้ไตร่ตรองเป็น
อารมณ์ชั่ววูบ แต่เราก็ทำใจไว้แล้ว
ไฮ-คลาส คำว่า 'โหด' ในพจนานุกรรมของเสริม สาครราษฎร์ หมายถึงอะไร
การที่ฆ่าใครสักคนในความคิดของผมมองว่าไม่ใช่เรื่องโหดอะไร แต่การที่ขังคนจน
ตายอย่างนี้สิโหด การฆ่าคนๆ หนึ่งมันจบลงตรงนั้นเลยเขาไม่ได้รู้สึกอะไรต่อ แต่
การขังให้เขาอยู่อย่างนั้น 20 ปี 25 ปีอย่างนี้ผมถือว่าโหดเหมือนฆ่าเขาทั้งเป็น
บางคนแก่หง่อมทำอะไรไม่ได้แล้วยังต้องติดคุกอยู่อีก
ไฮ-คลาส แสดงว่าวันที่ศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิตวันนั้น หากเลือกได้คุณอยากถูก ประหารชีวิตมากกว่า
ผมว่าประหารยังดีเสียกว่าเพราะการติดคุกมันทรมาน แต่ถามว่าอยากตาย
มั้ยต้องตอบว่าไม่อยากเพราะผมยังมีแม่อีกคนที่รออยู่ผมยังอยากเจอแม่ แต่สิ่งที่ผม
กำลังบอกก๋คือการขังใครในระยะเวลานานขนาดนั้นมันไม่มีประโยชน์ ออกไปเขา
ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ซึ่งอาจจะกลับไปกระทำผิดอีกเพราะไม่ร ู้จะทำอะไร
ไฮ-คลาส คุณเชื่อว่าการกักขังอิสระภาพไม่ใช่วิธีลงโทษที่ถูกต้อง
มันเป็นวิธีลงโทษที่ช่วยได้ในระยะหนึ่งเท่านั้น แต่นานเกินไปไม่มีประโยชน์ การที่
คนติดคุก 20 ในนี้กับข้างนอกมันต่างกันโดยสินเชิง ข้างนอกอาจมองว่าแป๊บเดียว
แต่สำหรับคนที่นี่มันนานแสนนาน
ไฮ-คลาส วันแรกที่เดินเข้าเรือนจำรู้สึกอย่างไร
ความรู้สึกแรกเลยเราคิดว่ามันต้องน่ากลัวโหดร้าย มีมาเฟียร์เหมือนอย่างในหนังที่
เราเคยดูมา แต่พอเข้ามามันไม่ใช่อย่างนั้นเป็นการอยู่ร่วมกันแบบเพื่อนมากกว่า
เจ้าหน้าที่ให้การดูแลเราดี ไม่ใช่ว่าจะมาทำร้ายอะไรเรา เรื่องร้ายๆ ก็มีบ้าง
เป็นธรรมดาแต่ไม่ใช่ทั้งหมดมีเพียงส่วนหนึ่ง แต่เอาเป็นว่าไม่พูดถึงดีกว่าครับพูด
แล้วไม่ดีผมอาจไม่มีโอกาสมานั่งคุยแบบนี้ได้อีกเอาก้วางก็พอ
อย่างเรื่อพี่ใหญ่ก็มีบ้าง เช่นเราไปช่วยงานเขา ไปซักผ้าให้เขาทำงานให้เขาบ้าง
แล้วเขาก็ให้สิ่งของตอบแทนเป็นการพึ่งพาก ันมากกว่า อย่างผู้ต้องขังบางคนไม่มี
ญาติมาเยี่ยมเลย คนที่มีญาติมาเยี่ยมก็จะมีของกินข้าวใช้ก็แบ่งกัน คือให้สิ่งตอบแทน
เป็นข้าวของ
ไฮ-คลาส มีคนมาเยี่ยมคุณเสริมบ่อยหรือเปล่า
หลังจากเกิดเรื่องก็ไม่มีแล้ว ไม่มีใครมาเยี่ยมเลย เพราะข่าวสร้างให้เราดูน่า
กลัว วันนี้เพื่อนเก่าๆ กับเรามันเหมือนกับอยู่กันคนละโลกแล้ว ตอนนี้เราจะมีเพียง
เพื่อนใหม่ที่เข้าใจเรา เพื่อนที่อยู่ในคุกเหมือนกับเรา เรารู้สึกว่าทุกอย่างข้างนอก
จบสิ้นแล้วเรามี??พียงโลกของเราในนี้เพื่อนก็มีเท่าที่นี้เท่าที่อยู่ร่วมกัน เพื่อข้าง
นอกหายหน้าไปหมดแล้ว แม่ก็ไม่ค่อยมานานๆ จะมาสักครั้งคงเพราะเราทำให้เขา
เสียชื่อเสียง ผมเองเคยเขียนกลอนไปให้ที่ช่อง 3 ด้วยนะช่องคำคม เป็นเรื่อง
เกี่ยวกับเพื่อนี่แหละเขียนในทำนองว่า เวลาเราดีก็มาหากันเยอะแยะแต่พอเรา
พลาดไปก็หายหน้ากันไปหมด
ไฮ-คลาส ได้ยินมาว่าคุณเสริมไม่ค่อยถูกกับผู้คุมใช่หรือเปล่า
(หัวเรา ะ) เรื่องนี้พูดไม่ได้เอาเรื่องที่คุยได้ดีกว่า
ไฮ-คลาส แสดงว่าคุณเกเรหรือเปล่า
ผมทำตัวเรียบร้อยนะ แต่อาจจะเป็นคนที่พูดตรงไปหน่อยเท่านั้น เป็นคนที่ไม่ค่อย
ตามน้ำเหมือนคนอื่นเท่าไหร่ อย่างสมมุติว่ามีเรื่องเกิดขึ้นในคุกผมเห็นอย่างไรก็พูด
อย่างนั้น บางทีเขาก็ไม่ค่อยชอบเพราะคนอื่นอาจถูกสั่งให้ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้
แต่ผมเห็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้นเลยไม่เป็นที่ถูกใจ
ไฮ-คลาส ผลที่ตามมาเป็นอย่างไร
ก็โดนย้ายบ้าง อย่างที่ผมเคยโดนย้ายไปที่เรือนจำกลางคลองไผ่ ที่โคราช ที่นั่นกฎ
ระเบียบเข้มงวดกว่าที่นี่มาก ลำบากกว่า ที่นั่นขนาดน้ำที่ใช้กินเขาต้องผ่านเครื่อง
กรองใช่ใหมยังเขียวอื๋ออยู่เลย ลำบากกว่าที่นี่ อย่างที่นี่ค่อนข้างอบอุ่นเขาดูแลเรา
ดี ขึ้นอยู่กับนาย นายที่ย้ายมาอยู่ที่นี่เขาใจดีดูแลเรื่องสวัสดิการดี
ไฮ-คลาส คนที่ทำความผิดกับคนที่มีนิสั ยไม่ดีเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
คนที่มาอยู่ในนี้มีทั้งคนที่ไม่ดีและคนที่ดี คนที่เป็นผู้ร้ายโดยสันดารก็มีแต่ไม่เยอะนะใน
ความคิดของผม คนที่คิดว่าเมื่อออกไปก็จะทำความผิดอีกก็มีแต่ไม่เยอะ ไม่อยากให้
คนข้างนอกมองว่าคนที่มาอยู่ตรงนี้เป็นคนไม่ดีไปเสียทุกคน
ไฮ-คลาส อยู่ที่นี่ผู้ต้องขังต้องทำอะไรบ้าง
ตื่นเช้ามาก็ออกกำลังกาย กินข้าว จากนั้นก็แยกย้ายไปทำงาน ใครเรียนหนังสือก็
ไปเรียน อย่างผมก็สอนหนังสือให้ผู้ต้องขัง สอนภาษาอังกฤษพอดีเรามีความรู้เรื่อง
เหล่านี้อยู่บ้างก็ช่วยสอนได้ ใครถนัดอะไรก็ทำอย่างนั้น กำลังคนเจ้าหน้าที่มีน้อยก็
เลยเอาผู้ต้องขังเข้ามาช่วยงาน
ไฮ-คลาส ได้ยินว่าเพิ่งเรียนจบคณะนิติศาสตร์อีกใบหนึ่งทำไมถึงเลือกเรียนวิชานี้
อยากที่จะช่วยเหลือคนอื่นด้านคดีอะไรแบบนี้ เพราะเรารู้สึกว่าอย่างตอนที่เราเซ็น
ชื่อรับสารภาพโดยไม่รู้ว่ าจะส่งผลให้รูปคดีเสีย ไม่รู้ว่าข้อกล่าวหานั้นมันเกินความ
จริงเพราะไม่ได้มีความรู้เรื่องกฎหมายทำให้เราเสียเปรียบก็เลยอยากช่วยคนอื่น
บ้าง เลยเลือกเรียนนิติศาสตร์มสธ.ก็จบแล้วตอนนี้ อย่างในนี้ก็เหมือนกันบางคนก็
เป็นแพะรับบาป ไม่ได้ทำความผิดจริงก็มีเยอะแยะ เราอยากช่วยเขา ช่วยพิมพ์คำ
ร้องบ้าง ช่วยพิมพ์ใบถวายฎีกาบ้าง บางทีเขาก็ให้ของตอบแทนเราบ้างอะไรแบบนี้
แต่บางทีเขาไม่มีก็เข้าเนื้อเราเหมือนกันแต่ก็อยากช่วย เราไม่เคยไปเรียกอะไร
จากเขา
ไฮ-คลาส ความหวังสูงสุดวันนี้คืออะไร
ความหวังสูงสุดก็อยากได้รับการอภัยโทษลงบ้าง เพื่อโอกาสวันหนึ่งจะได้กลับออก
ไปอยู่กับครอบครัวเรา อีกสิ่งหนึ่งคือหากมีโอกาสได้ออกไปอยากเจอหน้าแม่อีกครั้ง
อยากออกไปทันในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากพูดความหวังในปัจจุบัน ก็อาจเป็น
เรื่องสวัสดิการในเรือนจำอยากให้ผู้ต้องขังมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ แต่ที่พูดอย่างนี้ก็
ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้มันเลวร้ายรับไม่ได้นะ ตอนนี้ตั้งแต่ผบ.คนนี้มาอยู่ที่นี่ก็ดี
กว่าเมื่อก่อนท่านสนใจเรื่อ งสวัสดิการของผู้ต้องขังมากขึ้น เรื่องห้องเยี่ย?ก็มีการ
ตั้งตั้งโทรศัพท์ให้ ในวันศุกร์ผู้ต้องขังมีโอกาสพบญาติใกล้ชิดมากขึ้น เรื่องราคา
สินค้าก็ปรับปรุงให้มีราคาถูกลงกว่าแต่ก่อนซึ่งก็ถือว่าดีกว่าเมื่อก่อน เรื่องสวัสดิการ
นี่แหละคือเรื่องที่ผู้ต้องขังต้องการ
ไฮ-คลาส ต้องสรุปว่าชีวิตรักของคุณล้มเหลว เป็นความรักที่เจ็บปวด วันนี้คุณยัง
ศรัทธาในความรักอยู่หรือเปล่า
ยังเชื่อมั่นอยู่ ไม่ได้คิดว่าความรักเป็นเรื่องหลอกลวงอะไรเพียงแต่ความรักที่เรา
เจอมันไม่สวยงานเท่านั้นเอง ยังศรัทธาอยู่เสมอเชื่อว่าคงมีสักวันที่ได้เราเจอ
ความรักที่งดงามเป็นคนที่รักเราจริงๆ
ไฮ-คลาส ณ วันนี้คุณยังเชื่อว่ามีความหวังที่จะได้เจอความรักแบบนั้น
ก็ยังหวัง?ยู่เสมอ แต่คงจะมีความคิดอีกแบบหนึ่ง คืออาจไม่รักใครหัวปักหัวปำแบบ
นั้นอีกแล้ว คงไม่กล้ารักเขาเต็มร้อยอีกแล้ว
ไฮ -คลาส หากมีโอกาสได้ออกไปข้างนอกเหตุการณ์อย่างนี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้
อีกหรือไม่หากเขาทิ้งคุณไปอีก
ไม่เอาแล้ว ครั้งเดียวก็พอแล้ว ไม่ฆ่าอีกแล้ว
ไฮ-คลาส อย่างแรกที่อยากทำเมื่อออกไปแล้วคืออะไร
ตอนนี้ผมก็มีความหวังอยู่อย่างหนึ่งคือหากวันหนึ่งผมได้ออกไปจากที่นี่ ผมหวังว่าแม่
ของผมยังคงอยู่ไม่เสียชีวิตไปก่อนเพราะผมเหลือแม่คนเดียว แต่แม่จะเปิดรับผม
เข้าบ้านหรือไม่นั้นยังไม่แน่ใจว่าท่านรับผมได้หรือเปล่าเพราะผมทำให้เสื่อมเสีย
วงศ์ตระกูล แม่คงเสียใจเรื่องผมมาก
ส่วนเรื่องออกไปแล้วอยากทำอะไรนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับอายุด้วยว่าตอนนั้นอายุเรา
เท่าไหร่แล้ว หากอายุมากก็อยากกลับทำเกษตร หากอายุยังน้อยก็อยากเป็นทนาย
ช่วยคนอื่น หรืออาจต้องทำงานใช้หนี้ที่ญาติผู้ตายที่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 18
ล้าน เรายังไม่รู้ว่าจะเอาปัญญาที่ไหนไปใช้หนี้ แต่ผมก็อยากใช้หนี้เขานะเพราะผม
เป็นคนก่อเรื่องขึ้นเอง
ไฮ-คลาส อยากบอกอะไรกับสังคมบ้างจากบทเรียนที่คุณผ่านมา
ก็อยากจะบอกว่าอย่าใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา เพราะอารมณ์ชั่ววูบเพียงนิดเดียว
ทำให้เราเสียใจไปตลอดชีวิต นอกจากเราเองแล้วครอบครัวเขาก็ต้องสูญเสียคนที่
เขารักไปด้วย เราเองก็ต้องสูญเสียคนที่เรารักไป ทุกอย่างมันแย่ไปหมด ในส่วน
ของครอบครัวเจนจิราผมก็อยากจะบอกว่าผมขอโทษในเรื่องที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้ตั้ง
ใจที่จะทำอย่างนั้น ผมรู้ว่าเขาอาฆาตผมมาก แต่มันพลาดไปแล้วผมเสียใจ วันนี้ผม
ได้รับผลกรรมที่ตัวก่อแล้ว ผมไม่อยากให้ใครตกอยู่ในสภาพนี้เหมือนผม
ถัดมาเพียง 4 ปี มาเกิดคดีนายแพทย์ฆ่าหั่นศพภรรยาอีกในปี พ.ศ. 2545 คราวนี้เป็นคดีนายแพทย์ค่อนข้างมีชื่อเสียง คือ นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ อดีตสูตินรีแพทย์ รพ.จุฬาฯ ก่อคดีค่อนข้างเขย่าขวัญฆ่าหั่นศพ พญ.ผัสพร ภรรยาตนเอง แพทย์รพ.รถไฟ เงื่อนงำทางคดีเกิดขึ้นจาก พญ.ผัสพร หายตัวไปปริศนา ตำรวจค่อย ๆ แกะรอยจนไปได้เบาะแสสำคัญจากภาพวงจรปิดในร้านอาหารญี่ปุ่น ย่านสยามสแควร์ จับภาพชัดเจนนพ.วิสุทธิ์ เดินประคองผู้เป็นภรรยาท่าทีเหม่อลอยออกไปจากร้าน คดีนี้ตำรวจทั้งระดมนักสืบมือดีรวมทั้งใช้นิติวิทยาศาสตร์มาช่วยกันคลี่คลายคดี จนนำไปสู่การตรวจค้นห้องพักในอาคารวิทยนิเวศน์ จุฬาฯ ซึ่งเป็นจุดที่พญ.ผัสพร ถูกฆ่าชำแหละชิ้นส่วนศพ แยกชิ้นส่วนอวัยวะใส่กระเป๋าเดินทางนำมาทิ้งใส่ชักโครกห้องน้ำในโรงแรมดังย่านลาดพร้าว เจ้าหน้าที่ต้องดูดบ่อเก็บสิ่งปฏิกูลของทั้ง 2 แห่ง เพื่อควานหาชิ้นส่วนศพไปตรวจหาดีเอ็นเอจนสำเร็จ
อย่างไรก็ดีตอนแรกตำรวจสรุปสำนวนส่งอัยการพิจารณา แต่อัยการสั่งไม่ฟ้อง ทำให้นายโชติ วัฒนเชษฐ์ บิดาของพญ.ผัสพร ต้องฟ้องร้องต่อศาลเอง ก่อนศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ประหารชีวิต ปัจจุบันยังคงถูกคุมขังในเรือนจำบางขวาง
หมอฆ่าหมอ
ประหาร นพ.วิสุทธิ์ ปิดตำนาน หมอฆ่าเมีย
เมื่อ ศาลฎีกา พิพากษายืนตาม ศาลชั้นต้น และ ศาลอุทธรณ์ ประหารชีวิต " น.พ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ " อดีตสูตินรีแพทย์ ร.พ.จุฬา ฯ จำเลย ในคดีฆาตกรรม " พ.ญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ " อดีตสูตินรีแพทย์ ร.พ.บุรฉัตรไชยากร หรือ ร.พ. รถไฟ ภรรยา
คดีนี้ได้รับความสนใจและติดตามจากสังคมมานานกว่า 6 ปี นับตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อปี 2544
ไม่เพียงเพราะผู้ก่อเหตุเป็นนายแพทย์ชื่อดังระดับประเทศเท่านั้น หากแต่ความซับซ้อน และการคลี่คลายคดี อยู่ในระดับนำมาเป็นบทเรียนสอนในโรงเรียนตำรวจ หรือระบบยุติธรรมได้เลย
นอกจากนี้ยังเป็นคดีแรก ๆ ที่ตำรวจใช้ หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และ พยานแวดล้อม มามัดตัวผู้ก่อเหตุ
และ ศาล เชื่อในหลักฐาน ที่ปรากฏตัดสินลงโทษ ทั้งที่ไม่มีการพบศพหรือประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์
โดยหลักฐานหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นจากความฉลาดของ หมอวิสุทธิ์ เอง เพราะเพื่อพยายามกลบเกลื่อนร่องรอยต่าง ๆ จึงสร้างหลักฐานเท็จให้แนบเนียน
แต่ท้ายที่สุดหลักฐานเหล่านั้นก็ย้อนกลับมาเล่นงานตัวเอง ! ? ?
คดีนี้มีจุดเริ่มเล็ก ๆ เพียงปัญหาในครอบครัว เมื่อราวปลายปี 2541 หมอผัสพร จับได้ว่า หมอวิสุทธิ์ มีสัมพันธ์กับ คนไข้สาว รายหนึ่ง
เธอให้สามีเขียนจดหมายรับสารภาพ และยืนยันว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีก
ต่อมา หมอผัสพร ยอมยก ที่ดิน เนื้อที่ 41 ไร่เศษ ที่ อ.พาน จ.เชียงราย ให้สามี โดยหวังว่าทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น
แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่.....
.....เพราะ หมอวิสุทธิ์ เหมือนกับจะหมดเยื่อใยแล้ว จึงตัดสินใจย้ายออกจาก บ้านพักแพทย์ร.พ.รถไฟ มาอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง พร้อมทำเรื่องขอหย่าขาด
แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอม
ความรุนแรงเริ่มมากขึ้น เมื่อมีหลักฐาน หมอวิสุทธิ์ ใช้ดัมเบลล์ทุบรถเมีย และเขียนจดหมายด่าอย่างรุนแรง ที่ไม่ยอมแยกทาง
ท้ายที่สุด หมอวิสุทธิ์ ตัดสินใจฟ้องศาลขอหย่า แต่ประนีประนอมกันได้
ข้อมูลว่าปัญหามาจากเรื่อง มรดก และคำขู่ของ หมอผัสพร ที่จะนำเรื่องที่ หมอวิสุทธิ์ สนิทสนมกับ คนไข้สาว และลงบันทึกรับสารภาพเอาไว้เผยแพร่ต่อสาธารณะและส่งไปให้ แพทยสภา ! ! !
ซึ่งนั่นหมายถึง.....ชื่อเสียงเกียรติยศ.....ป่นปี้ไปทั้งหมด
ตำรวจเชื่อว่านี่คือ สาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ หมอวิสุทธิ์ วางแผนฆ่าเมีย และลงมือสำเร็จเมื่อ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2544
จากนั้น เริ่มอำพรางคดี ด้วยการจ้าง คนเขียนจดหมายลางาน และจดหมายบอกถึงลูก ๆ ว่า หมอผัสพร ไปนั่งวิปัสสนาที่ จ.ระยอง
แถมยังส่งข้อความเข้าเครื่องเพจเจอร์ของตัวเอง ในลักษณะว่า หมอผัสพร ส่งมาว่าไป จ.ระยอง ! ? ?
แต่ท้ายที่สุดตำรวจก็ตามรอยและคลี่คลายได้ว่า หมอวิสุทธิ์ เป็นคนทำให้ หมอผัสพร หายตัวไปเอง ด้วยการนัดพบกันที่ ร้านโออิชิ และใส่ยานอนหลับชนิดแรงให้ดื่ม ก่อนพาไปสังหารที่ อาคารวิทยนิเวศน์ ใน ม.จุฬา ฯ
และนำชิ้นส่วนที่เหลือ ไปทิ้งชักโครก ห้องพัก โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล ลาดพร้าว ที่เปิดเตรียมเอาไว้
หลักฐานคราบเลือด ชิ้นเนื้อ และพยานแวดล้อมอื่น ๆ ตำรวจส่งฟ้อง
แต่ปรากฏว่า อัยการ สั่งไม่ฟ้องโดยอ้างว่าไม่มีประจักษ์พยาน และไม่พบศพ หมอผัสพร ! ? ?
นายโชติ วัฒนเชษฐ์ บิดา หมอผัสพร ตัดสินใจ ยื่นฟ้องเอง ปรากฏว่า ศาลรับฟ้อง
ในภายหลัง อัยการสูงสุด พิจารณาสำนวนอีกครั้ง ก่อนมีคำสั่งฟ้อง ผู้ต้องหา
คดีจึงนำขึ้นสู่การพิจารณาชั้นศาล
ศาลชั้นต้น และ ศาลอุทธรณ์ ตัดสินตรงกันให้ ประหารชีวิต หมอวิสุทธิ์
ราว 2 ปี หลัง ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษา และ ทนายหมอวิสุทธิ์ ยื่นฎีกา โดยยกประเด็นโต้แย้งหลักฐานของตำรวจถึง 13 ประเด็น
กระทั่งวันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ก็นัดอ่านคำพิพากษาคดีนี้ ! ? ?
โดย หมอวิสุทธิ์ ซึ่งถูกจองจำตั้งแต่ ศาลชั้นต้น ตัดสินประหารเมื่อปี 2546 เดินทางมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ส่วนฝ่ายโจทก์มี อัยการ นายโชติ และ พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วยผบ.ตร. ที่เคยคุมคดีนี้
ผู้พิพากษาเริ่มอ่านคำตัดสินย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และสาเหตุแห่งความขัดแย้ง
" เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 44 จำเลย กับ ผู้ตาย ไปรับประทานอาหารกลางวันที่ ร้านอาหารโออิชิ ศูนย์การค้า สยามดิสคัฟเวอรี่ ซึ่งหลังรับประทานอาหารเสร็จ จำเลย กับ ผู้ตาย เดินออกจากร้านไปด้วยกัน โดยไม่มีผู้ใดพบเห็น ผู้ตาย อีก และวันเดียวกัน จำเลย ได้เปิดห้องพักเลขที่ 318 อาคารวิทยนิเวศน์ ใน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย "
" จากนั้นวันที่ 21 ก.พ.44 จำเลย คืนห้องพัก และไปเปิดห้องพัก เลขที่ 1631 โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว ที่ได้จองไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ.44 โดย จำเลย ได้คืนห้องพักดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 ก.พ.44 เวลา 06.00 น. โดยวันเดียวกัน จำเลย ได้รับแจ้งจาก เจ้าหน้าที่ร.พ.รถไฟ ว่า ผู้ตาย ไม่ได้ไปปฏิบัติหน้าที่แพทย์เวรเมื่อวันที่ 21 ก.พ.44 จำเลย จึงไปแจ้งความต่อ สน.พญาไท ว่าผู้ตายหายตัวไป โดยเมื่อวันที่ 26 ก.พ.44 ร.พ.รถไฟได้รับจดหมาย 2 ฉบับ ลงลายมือชื่อผู้ตาย ส่งถึง ผอ.ร.พ. แจ้งขอลาหยุดงาน 15 วัน "
" จำเลย ฎีกาโต้แย้งว่า การตรวจพิสูจน์คราบโลหิต และชิ้นเนื้อ ที่ระบุว่าเป็น ดีเอ็นเอ ของผู้ตายไม่น่าเชื่อถือ ผลการตรวจ ดีเอ็นเอชิ้นเนื้อ คราบเลือด และเส้นผม ได้ผลแตกต่างกัน เห็นว่าแม้ว่า ผลตรวจจะมีสัดส่วนแตกต่างกันบ้าง แต่เมื่อนำผลตรวจมาเปรียบเทียบกันแล้วพบว่ายืนยัน ดีเอ็นเอ ตรงกันกับของ ผู้ตาย ซึ่งการตรวจหา ดีเอ็นเอ ได้มาโดยการพิสูจน์ทางเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีความเที่ยงตรงเชื่อถือได้ "
" ส่วนการที่ จำเลย เกี่ยวข้องกับการตายหรือไม่นั้น ตามที่ข้อเท็จจริงวินิจฉัยไว้แล้วว่า มีพนักงานบริการร้านอาหารโออิชิ พยานโจทก์ เบิกความยืนยันว่าเห็น ผู้ตายและจำเลย มารับประทานอาหารที่ร้าน หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วเห็น จำเลย ประคอง ผู้ตาย เดินออกจากร้านในลักษณะ คนเหม่อลอยคล้ายครองสติไม่ได้
" ข้อเท็จจริงจากการนำสืบของ โจทก์ ยังระบุด้วยว่า จำเลย เคยสั่งซื้อ ยาดอร์มิคุม ซึ่งเป็นยานอนหลับ 30 เม็ด ก่อน ผู้ตาย จะหายตัวไปประมาณ 2 เดือนเศษ โดยอ้างว่าให้ นางเตียง แซ่แต้ มารดาของจำเลย ทั้งที่ไม่เคยมีประวัติการใช้ยาตัวนี้มาก่อน ดังนั้นจึงเป็นข้อพิรุธของจำเลย "
" นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงที่ได้จากการนำสืบเกี่ยวกับจดหมายลางาน 2 ฉบับ เห็นว่าพฤติการณ์ของ จำเลย ไปจ้าง ผู้อื่น พิมพ์จดหมาย และอ้างว่าเป็นของ ผู้ตาย โดยปลอมลายมือชื่อ และส่งไปยังที่ทำงานของผู้ตาย เป็นข้อเท็จจริงที่เชื่อมโยงให้เห็นถึงเจตนาของ จำเลย ว่าเพื่อปกปิดการตายให้แนบเนียนยิ่งขึ้น "
" พยานโจทก์ต่าง ๆ ยังชี้ให้เห็นถึงข้อพิรุธของ จำเลย อีกหลายประการ เช่น จำเลยใช้มือถือของตัวเอง ส่งข้อความเข้าเครื่องเพจเจอร์ของจำเลยเอง เรื่องช่างซ่อมแซมบ้าน เพื่อนำมาเป็นข้ออ้างให้ ผู้ตาย มาพบที่ร้านอาหารดังกล่าว "
" เช่นเดียวกับข้อพิรุธ ที่จำเลยซื้อถุงขยะสีดำขนาดใหญ่ - ขนาดเล็ก อย่างละแพ็ก ก้อนดับกลิ่น และกระดาษทิชชูจำนวนมาก ซึ่งแม้ว่าสินค้าเหล่านี้จะเป็นสิ่งของใช้สอยใช้ชีวิตประจำวัน แต่ช่วงเวลาที่ จำเลย หาซื้อก็หลังจากผู้ตายหายตัวไปใหม่ ๆ ซึ่งหากมีการฆ่า ผู้ตาย สินค้าเหล่านี้ ก็สามารถใช้ประโยชน์กลบเกลื่อนร่องรอย หรือปกปิดการกระทำความผิดของ จำเลย ได้เป็นอย่างดี "
" จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนให้เห็นว่า จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตาย และเมื่อพิจารณาถึงความขัดแย้งระหว่าง จำเลยและผู้ตาย เห็นได้ว่า ทั้งสองมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ที่ผู้ตายเข้าใจว่า จำเลย มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับหญิงอื่น กระทั่งมีการทำบันทึกหลักฐานต่อรองกับ จำเลย ในการแบ่งทรัพย์สิน "
" ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ จำเลย โกรธแค้น ผู้ตาย มากยิ่งขึ้น โดยช่วงที่แยกกันอยู่ จำเลยได้เขียนจดหมายด่าว่าผู้ตายอย่างรุนแรง จึงชี้ให้เห็นว่า จำเลย หมดความรักใคร่ผู้ตาย และมีความเกลียดชังผู้ตายจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อีก "
" สรุปแล้วเห็นว่า พยานหลักฐาน ที่ โจทก์ทั้งสอง นำสืบมา แม้ส่วนใหญ่จะเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณี แต่ก็มีความสอดคล้องต้องกัน และมีเหตุผลต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน โดยเมื่อพิจารณาประกอบกับพฤติการณ์ที่เป็นข้อพิรุธของจำเลยหลายประการแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลย ได้แอบอ้าง เรื่องนัดพบช่างซ่อมแซมบ้าน เพื่อหลอกลวงผู้ตายไปพบที่ ร้านอาหารโออิชิ วันที่ 20 ก.พ. 44 "
" จำเลย ลอบนำยานอนหลับ ดอร์มิคุม ใส่ลงไปในอาหาร จนผู้ตายครองสติไม่ได้ จากนั้น จำเลยพาผู้ตายไปยัง อาคารวิทยนิเวศน์ ที่จัดเตรียมไว้ เพื่อทำการหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตาย ให้ปราศจากเสรีภาพ แล้วจำเลยลงมือฆ่าผู้ตาย โดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่วางแผนไว้ "
" จากนั้น จำเลย ชำแหละแยกศพผู้ตายออกเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ ทิ้งลงโถชักโครก ที่ ห้องพัก อาคารวิทยนิเวศน์ และ รร.โซฟิเทล ในวันที่ 21 ก.พ.44 เพื่อปิดบังการตาย "
" พยานหลักฐานของจำเลย ไม่อาจรับฟัง หักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองได้ ที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตาม ศาลชั้นต้ น ว่าจำเลย กระทำความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น "
" พิพากษายืนให้ประหารชีวิตจำเลย ! ! ! "
ถึงวันนี้ เวลา 6 ปีกว่า ที่ นพ.วิสุทธิ์ ใช้ต่อสู้ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองจะจบลง
เมื่อ ศาลฎีกา ตัดสินพิพากษายืน " ประหารชีวิต " อาจเรียกได้ว่า กระบวนการยุติธรรมได้ขับเคลื่อนตามกลไกจนบรรลุผลแล้ว
ขณะเดียวกัน เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าการใช้ หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ในคดีอาชญา กรรมของประเทศไทย เริ่มมีบทบาทมากขึ้นก็เพราะคดีนี้เช่นกัน
ถึงแม้ว่า นพ.วิสุทธิ์ ยังมีเวลา ที่เหลือในการใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือ เพื่อนนักโทษในเรือนจำ แต่ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า กรรมดีที่ก่อนั้น จะไปชดเชยเวรกรรมที่ทำไว้กับ พญ.ผัสพร ได้หรือไม่
และแม้วันนี้ ศาลฎีกา ได้ตัดสินพิพากษายืนไปแล้ว
แต่ยังไม่เคยมี คำสารภาพใด ๆ ออกจากปากของ นพ. วิสุทธิ์
ปมปริศนาว่าทำไมต้องฆ่า พญ. ผัสพร ยังคงมืดมิด และเป็นความลับของ นพ.วิสุทธิ์ เพียงคนเดียวไปชั่วทั้งชีวิต
ปี พ.ศ. 2545 ยังเกิดคดีพิษรักสามเส้า “หมอฆ่าหมอ” เกิดขึ้นที่ จ.แพร่ ตอนแรกตำรวจ สภ.เด่นชัย ไปตรวจสอบอุบัติเหตุรถเก๋งถูกเพลิงไหม้มีคนเสียชีวิตติดอยู่ภายใน พบพิรุธไม่มีร่องรอยอุบัติเหตุแต่รถเกิดไฟไหม้ได้อย่างไร เมื่อเช็กผู้ครอบครองรถจากกรมขนส่ง จึงทราบว่าผู้ตายคือ พญ.พัทธนันท์ ไชยวงศ์ หรือ “หมอออม” อายุ 25 ปี แพทย์ฝึกหัดประจำรพ.ปง จ.พะเยา เคยฝึกงานอยู่ รพ.พระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก เบื้องต้นจึงได้เรียกกลุ่มเพื่อนสนิทมาสอบจนทราบว่าผู้ตายชอบพออยู่กับ นพ.ศรชาติ ศิริโชติ หรือ หมอแฮม ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเพิ่งเดินทางมาหาหมอแฮม ที่ จ.พิษณุโลก ตำรวจจึงเชิญมาสอบสวนอย่างละเอียดเมื่อตรวจในรถของหมอแฮม ยังไปพบดินลักษณะเดียวกันกับที่พบบริเวณจุดเกิดเหตุ สุดท้ายหมอแฮมยอมเปิดปากสารภาพอ้างมีปากเสียงเรื่องรักสามเส้าจนยั้งอารมณ์ไม่อยู่ใช้มือบีบคอหมอออมจนเสียชีวิต ก่อนนำศพยัดกระโปรงรถแล้วเอาน้ำมันไปเผาอำพราง คดีนี้ศาลพิพากษาจำคุก 35 ปี 4 เดือน
พิษรักสามเส้า " หมอ " ฆ่า " หมอ " เผาศพอำพราง ! ?
" เด่นชัย เรียก อบต.ไทรย้อย "
" เด่นชัยเรียก อบต.ไทรย้อย "
" เด่นชัย แจ้ง อบต.ไทรย้อย ซึ่งใกล้เคียง ให้ ว.25 บนถนน สายเด่นชัย - อุตรดิตถ์ ตรวจสอบ เหตุเพลิงไหม้รถยนต์ "
เสียงพนักงานห้องวิทยุ สภ.อ.เด่นชัย จ.แพร่ เรียก หน่วยบรรเทาสาธารณภัย องค์การบริหารส่วนตำบล ( อบต. ) ไทรย้อย ให้ตรวจสอบเหตุ
" ว.2 ขอ ว.3 ทั้งหมด "
เสียง งัวเงีย ของ หน่วยบรรเทา ที่ต้องสะดุ้งตื่น หลังเผลองีบหลับไป เพราะนาฬิกาผนังห้องบ่งบอกเวลา 04.00 น. ของวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ 2545
" ตรวจสอบ เหตุเพลิงไหม้รถยนต์ บนถนนสาย เด่นชัย - อุตรดิตถ์ ช่วงหลักกิโลเมตรที่.... "
สิ้นเสียงคลื่นวิทยุรับ-ส่ง ชั่วครู่ หน่วยบรรเทา ต่างเปิดสัญญาณไซเรนรถยนต์ ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีก็ถึงจุดหมาย
เนื่องจากเป็นช่วงเช้ามืด การจราจรโล่ง แทบไม่มีรถผ่านไปมา
ก่อนจะแจ้งวิทยุไปขอกำลังเสริม
" ว.10 ที่ เกิดเหตุเพลิงไหม้ ขอ ว.7 รถน้ำด่วน "
.....สภาพเปลวไฟ กำลังลุกไหม้รถยนต์ท่วมคัน ! ! !
เจ้าหน้าที่บรรเทา เร่งฉีดน้ำอย่างขะมักเขม้น จนเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ มีควันไฟหลงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อย
ผู้ช่วยพนักงานสอบสวนขับรถพา พ.ต.ท.อดุลย์ กัปกัลป์ พนักงานสอบสวน สภ.อ.เด่นชัย มาถึงที่เกิดเหตุ
สารวัตรอดุลย์ ก้าวลงจากรถ พร้อม สมุดจดบันทึกตรวจที่เกิดเหตุ ก่อนตะโกนเสียงหลง
" เฮ้ย ! ไอ้หนุ่ม หยุดฉีด ๆ ๆ "
" แล้วเจ้าของรถไปไหนว่ะ " สารวัตร ถามขึ้นและสั่ง
" เอ็งลองเข้าไปดูในรถหน่อย คนขับมันรอดหรือเปล่า "
เจ้าหนุ่มบรรเทาสาธารณภัย เดินหายไปแว่บเดียว ก็หน้าตาตื่นกลับมา
" สารวัตรครับ ดำเป็นตอตะโกเลยครับ "
" อะไรว่ะ "
" คนขับครับ คนขับ "
" เออ..แล้ว ผู้หญิง หรือ ผู้ชาย "
" ไม่ทราบครับ "
" งั้นไปบอกเพื่อน ๆ ให้หยุดฉีดน้ำก่อน เดี๋ยวหลักฐานหายหมด "
หลังสั่ง หนุ่มบรรเทา ฯ เสร็จสรรพ
สารวัตรอดุลย์ รีบกดโทรศัพท์ รายงานแจ้งเหตุให้ พ.ต.อ.ปิยบุตร อัจฉริยมงคล ผกก.สภ.อ.เด่นชัย พ.ต.ท.วิรัตน์ วงษ์เนาวรัตน์ รอง ผกก.สส. และ พ.ต.ท.ชรินทร์ ณ ลำปาง สว.สส. รับทราบเบื้องต้น
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พ.ต.อ.ปิยบุตร ก็มาถึงจุดเกิดเหตุ
หลังเดินวนไปเวียนมาหลายรอบ เพื่อรอเวลาให้ฟ้าสาง พร้อมทั้งครุ่นคิดตั้งคำถามในใจไปเรื่อย ๆ เพราะสังเกตจาก สรีระ ที่ใช้ไฟฉายส่องดู ผู้ตายน่าจะเป็นผู้หญิง
ซึ่งหากเป็น ผู้หญิง ก็ไม่น่าจะเดินทางมาคนเดียว เพราะถนนสายนี้ค่อนข้างเปลี่ยว
เป็นการประเมินจากประสบการณ์ของ ผกก. ก่อนจะสั่ง
" อดุลย์ พี่ว่า น่าจะเป็นฆาตกรรม ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา รีบแจ้ง กองวิทยาการ และ แพทย์เวร มาร่วม ชันสูตร ด้วย "
ก่อนที่ ผู้เชี่ยวชาญ จะมาถึง
ผู้กำกับ ฯ ปิยบุตร หรือ อดีตพนักงานสอบสวนเก่า ก็เล่า บรรยาย เหตุและผล ให้ ลูกน้อง ที่ร่วมตรวจสอบที่เกิดเหตุ ถึงข้อพิรุธว่า
" หากเป็น คดีอุบัติเหตุ จะต้องมีรอยครูด รอยเบรก รอยยางรถยนต์ วัตถุที่แตกหักบนผิวถนน รวมทั้งในรถ พี่ชะโงกเข้าไป เห็นเกียร์ยังอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง ร่องรอยความเสียหายภายในรถผิดปกติ มีเศษเถ้าถ่านวางตรงหน้าตักคนตายเยอะมาก ฝาปิดถังน้ำมันรถหาไม่พบ "
ทุกคนในวงฟังแล้วพยักหน้า
" พี่ว่าผู้ตาย น่าจะเสียชีวิตจากที่อื่น แล้วคนร้าย นำศพมาเผาทำลาย "
ข้อมูลทั้งหมดที่ ผกก.ปิยบุตร วิเคราะห์มาทั้งหมด ถูกจดลงใน สมุดตรวจที่เกิดเหตุ
พร้อมทั้งรวบรวมผ่านสัญญาณเครื่องแฟกซ์ส่งตรงถึง พล.ต.ต.นิยม กลั่นกลิ่นหอม ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดแพร่ ในตอนสายของวันเดียวกัน ก่อนจะเริ่มประชุมเพียง 30 นาที
ซึ่งใน ที่ประชุม วันนั้น ผู้กำกับ ฯ ปิยบุตร เป็นผู้สรุปรายงาน ผลการตรวจที่เกิดเหตุให้ ผู้การ ฯ ทราบว่า
.....ผลการตรวจของ กองวิทยาการ ระบุว่า สภาพศพ มีคราบน้ำมันเชื้อเพลิงติดอยู่ตามร่างกาย เพื่อเป็นเชื้อเร่งเผาทำลาย
ก่อนจะแบ่งงานให้ ฝ่ายสืบสวน เร่งสืบว่าผู้ตายเป็นใคร มาจากไหน ?
หลังเลิกประชุม ผู้กำกับ ฯ ปิยบุตร รีบกดโทรศัพท์ไปที่ กรมขนส่ง จ.เชียงราย ทันที พร้อมแจ้ง ชื่อ - สกุล ตำแหน่ง ให้ เจ้าหน้าที่ ฯ ทราบ
.....ก่อนขอร้องให้ช่วยตรวจสอบ ทะเบียนรถ กง 636 เชียงราย ที่ถูกเผาว่า ใคร เป็นผู้ครอบครอง ?
พร้อมย้ำว่า
" พี่.....ถือสายรอนะ "
ครู่เดียวเสียง เจ้าหน้าที่ขนส่ง ตอบกลับมาเสียงใสว่า
" รถของ แพทย์หญิง พัทธนันท์ ไชยวงศ์ อายุ 25 ปี ค่ะ "
เล่าเอา ผู้กำกับ ฯ นิ่งอึ้ง ก่อนจะซักไซ้ไล่เรียง ถึงที่อยู่
" อยู่บ้านเลขที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย ค่ะ "
หลังกล่าวขอบคุณ และวางสายไปแล้ว
ผู้กำกับ ฯ ปิยบุตร รีบสั่งให้ ฝ่ายสืบสวน ติดต่อ พญ.พัทธนันท์ หรือ ญาติ โดยด่วน ! ?
ใกล้เที่ยงวันเดียวกัน " พิศมัย ไชยวงศ์ " วัย 50 ปี เดินจ้ำพรวดขึ้นมาบนโรงพัก
.....ก่อนจะแสดงตัวกับ พนักงานสอบสวน ว่าเป็น " มารดา " ของ พญ.พัทธนันท์ หรือ หมอออม พร้อมสอบถามว่า
" ลูกฉันเป็นอะไรหรือเปล่า "
" ใจเย็น ๆ ครับ ดื่มน้ำก่อน "
" คุณตำรวจเรียกฉันมา มีอะไรว่าได้เลยค่ะ " พิศมัย พูดออกไป แต่ในใจอดหวั่นไหวไม่น้อย
......เพราะลูกสาวติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา
" นี่ใช่ สร้อย และ พระ ของ หมอ หรือเปล่าครับ "
พิศมัย มองแวบเดียว ก็จำได้ว่า สร้อยคอทองคำ และ พระเลี่ยมทอง นั้น เธอเพิ่งซื้อเป็นของขวัญให้ลูกสาว ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาจาก คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งขณะนี้เป็น แพทย์ฝึกหัด ประจำ โรงพยาบาล อ.ปง จ.พะเยา ได้เพียงสัปดาห์
เธอลุกพรวดขึ้น จับแขนคู่สนทนาเขย่า พูดเสียงหลง พร้อมปล่อยโฮ
" ลูกสาวฉัน อยู่ไหน เป็นอะไรค่ะ คุณตำรวจ ๆ ๆ ๆ ๆ "
" ผมเสียใจด้วยครับ "
ร่างเธอล้มพับ หมดสติสัมปชัญญะ ! ! !
ผู้กำกับ ฯ ปิยบุตร สั่งตั้งแฟ้มเก็บข้อมูลทั้งหมดหลังสอบปากคำ " พิศมัย "
โดยให้ ทีมสืบ แยกย้ายกันไปหา พยานบุคคล กลุ่มเพื่อนของหมอออม ที่ โรงพยาบาล อ.ปง
และ กำลังส่วนหนึ่ง มุ่งหน้าไป โรงพยาบาลพระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก ซึ่ง หมอออม เคยเป็น แพทย์อินเทิร์น ( แพทย์ฝึกหัด ) ที่นั่น
วันรุ่งขึ้น 27 ตุลาคม พ.ศ. 2545 พ.ต.ท.จิตรพิสุทธิ์ อิ่มสงวน รอง ผกก.สส.ภ.5 พ.ต.ท.ชรินทร์ เดินทางไปยัง จังหวัดพิษณุโลก และประสาน พ.ต.อ.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผกก.สส.ภ.6 จนได้ข้อมูลว่า
หมอออม ขณะอยู่ โรงพยาบาลพระพุทธชินราช ได้มี นพ.ศรชาติ ศิริโชติ หรือ หมอแฮม แพทย์รุ่นพี่ ซึ่งมีคนรักอยู่แล้วคือ พญ.กนกวรรณ ไอยมณีรัตน์ หรือ หมอเจน ได้มาติดพันถึงขั้นมีปัญหากัน
จน หมอออม ย้ายออกไปอยู่ อ.ปง ! ! !
ทีมสืบ เริ่มเช็ค ข้อมูลทางลึก พบว่า ช่วงเวลา 11.30 น.-13.00 น. วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2545 " ผู้ตาย " และ " หมอแฮม " ยังติดต่อกันอยู่
นอกจากนี้ " หมอเจน " ได้ขึ้นรถปรับอากาศ เดินทางจากกรุงเทพ ฯ ขึ้นไป พิษณุโลก ! ! !
โดย หมอแฮม มารอรับที่ สถานีขนส่ง ในช่วงหัวค่ำ ! ! !
จากนั้น ทั้งสอง ได้ขับรถไปซื้อ น้ำมันเบนซิน 95 ที่ ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง
โดย " เด็กปั๊ม " จำหน้า " หมอแฮม " ได้ เนื่องจาก " หน้าตาดี "
ก่อนที่ ทั้งสอง จะชวนเพื่อน ๆ ไปร้องเพลงที่ คาราโอเกะ ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง
กระทั่งเที่ยงคืน หมอแฮม และ หมอเจน ได้แยกย้ายกับเพื่อน ๆ
วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ทีมสืบ เริ่มเปิด เกมรุก โดย พ.ต.อ.สุทธิพงษ์ ประสาน พ.ต.อ.ประยนต์ ลาเสือ ผกก.3 ป. และ พ.ต.ท.สุพจน์ พรมศิริ รอง ผกก.3 ป. ให้เชิญตัว หมอเจน จาก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มาสอบสวนปากคำ ที่กองปราบปราม ก่อนปล่อยตัวกลับไป
โดย กำลังส่วนหนึ่ง คอยดูความเคลื่อนไหว
พบว่า พญ.กนกวรรณ รีบเดินทางไปขึ้น เครื่องบิน มา จังหวัดพิษณุโลก ทันที
เมื่อถึง สนามบิน จังหวัดพิษณุโลก ทีมสืบสวน สภ.อ.เด่นชัย กับ กก.สส.ภ.6 สะกดรอยตามพบ นพ.ศรชาติ มารอรับที่สนามบิน
.....ก่อน ทั้งคู่ จะพากันเข้าไปพักที่ โรงแรมอัมรินทร์ลากูน
ทีมสืบ จึงเชิญ นพ.ศรชาติ มาสอบปากคำ พร้อม " ยึด " รถยนต์เก๋ง มาตรวจสอบ พบว่ามีร่องรอยล้าง ทำความสะอาด
เมื่อสอบถาม หมอแฮม อ้างว่า ฝนตก ทำให้รถเปรอะเปื้อน จึงนำไปล้าง
ผู้กำกับ ฯ ปิยบุตร ไม่ละความพยายาม ตรวจภายในรถละเอียดยิบ
กระทั่ง พบเศษดิน ติดอยู่ ก้านคลัตช์ จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ก่อนจะบึ่งไปจุดเกิดเหตุอีกครั้ง และเก็บเศษดินบริเวณนั้นใส่ถุง หิ้วส่ง กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และผลตรวจสอบพบ ลักษณะดิน เหมือนกันเป๊ะ
ตำรวจ จึงเชิญตัว หมอแฮม มาสอบปากคำอีกครั้ง
หมอแฮม ปฏิเสธ ไม่รู้ไม่เห็น
กระทั่ง ทีมสืบ ได้นำหลักฐานทั้งหมด แบไต๋ ให้ หมอแฮม ดู ถึงกับหน้าถอดสี และเปลี่ยนใจรับสารภาพว่า
มีปากเสียงกับ หมอออม หลายครั้ง ก่อนเกิดเหตุนัด หมอออม เดินทางมาพบที่ หอพักแพทย์ โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก ก่อนขับรถไปตามถนน อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร เมื่อสบโอกาสจอดรถ และใช้มือบีบคอ หมอออม จนเสียชีวิต
และนำศพไปไว้กระโปรงหลังรถก่อนขับกลับมาที่พิษณุโลกอีกครั้ง ! ! !
กระทั่งช่วงค่ำ หมอเจน เดินทางจาก กรุงเทพ ฯ ไปหาที่ จ.พิษณุโลก และชักชวนเพื่อน ๆ ไปร้องเพลงที่ คาราโอเกะ เป็นการอำพราง กระทั่งแยกย้ายจากเพื่อน ๆ ได้กลับมา หอพักแพทย์ และให้ หมอเจน ขับรถผู้ตาย ตามไป
กระทั่งถึงจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นทางเปลี่ยว จึงนำศพมาจัดฉาก " เผาอำพราง "
พนักงานสอบสวน จึงแจ้งข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ก่อนจะรวบรวมพยานหลักฐานขอหมายศาล จ.แพร่ จับกุม หมอเจน ฐานสมรู้ร่วมคิด
ต่อมา 2 ธันวาคม 2547 ศาลมีคำพิพากษาจำคุก นพ.ศรชาติ 35 ปี 4 เดือน ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และเผาทำลายศพ และจำคุก พญ.กนกวรรณ 2 ปี ข้อหาร่วมกันเผาทำลายศพ
ปิดฉากตำนานรักสามเส้า!
ด็อกเตอร์ ฆ่า เมียไม่ติดคุก !
กระหึมก้องไป ทั่วฟ้าเมืองไทย อีกคำรบ จนกลายเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา สำหรับคดี สามี ลงมือ ฆาตกรรม ภรรยา ของตนเอง
เมื่อผู้ตกเป็นจำเลยชื่อ ดร.พิพัฒน์ ลือประสิทธิ์กุล ฆ่าภรรยาของตัวเอง นางวรรณี ลือประสิทธิกุล จนเสียชีวิต ในเดือนมกราคม ปีพ.ศ. 2544
ดร.พิพัฒน์ ลือประสิทธิ์กุล เคยเป็น อาจารย์ สอน นักศึกษาปริญญาโท อยู่ใน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิดา เป็นชายหนุ่มที่มีชื่อเสียง มีเกียรติ และมีฐานะ ตลอดจนมีหน้ามีตาในสังคมในวงการการศึกษาของไทยในระยะที่ผ่านมา
ทำไมคนที่มี ฐานันดรสูงสุด ในสังคมในระดับหนึ่งขนาดนี้ จึงตัดสิน สังหาร ภรรยาของตนเองได้อย่างลงคอ
แต่เรื่องราว สังหารนั้น สังคมไทยในเวลานั้น ไม่สนใจมากเท่ากับ คำตัดสิน คือ
ด็อกเตอร์ฆ่าเมียไม่ติดคุก ! !
คดีนี้เลยเป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่สั่นสะเทือน กระบวนยุติธรรรม ของไทย
.....จุดเริ่มต้นของคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อ กลางดึก วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2544
ดร.พิพัฒน์ ลือประสิทธิ์สกุล ได้นัดหมาย นาง วรรณี ภรรยาของเขา จับรถมารับเขา ในเวลา 21.00 น. ตรง เนื่องจากเขาเสร็จสิ้นภารกิจการสอนนักศึกษา ในเวลาดังกล่าว
จาก สามทุ่ม เป็น สี่ทุ่ม จนใกล้ ห้าทุ่ม นางวรรณี ถึงปรากฏตัว
ทั้งที่ก่อนหน้า ดร.พิพัฒน์ พยายามติดต่อมือถือของ นางวรรณี หลายสิบครั้ง แต่ปลายสายไม่เปิดเครื่อง
ด้วยเกรงว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ภรรยาของตัวเอง ต่าง ๆ นานา และ การผิดเวลา นั้น เธอ ก็ไม่ได้แจ้งสาเหตุกลับมา
เขาพบ นางวรรณี ตอนห้าทุ่ม เธออยู่ในสภาพ มีกลิ่นเหล้าคละคุ้ง มึนเมา
จากคำให้การของเขา ในเวลาต่อมา บอกว่า เธอไปสังสรรค์กับเพื่อนผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง และรถติดมาก จึงมารับเขาช้า
ดร.พิพัฒน์ โทรศัพท์ ไปหา " เพื่อน " คนที่ภรรยาอ้าง
.....ปรากฏว่าเรื่องนี้ ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ไม่มีงานสังสรรค์ที่ไหนสักหน่อย
ภรรยาของเขา โกหก และนี่เธอไปกินเหล้ากับใครมา ? ?
ความคลุมเครือแค้นเคือง เริ่มปรากฏในจิตใจของ ด็อกเตอร์หนุ่ม
ตลอดระยะทางที่กลับบ้าน เขาครุ่นคิดตลอดเวลา ถึงความสัมพันธ์ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา
.....แม้จะมีลูกถึงสองคนแล้วก็ตาม แต่ยังไม่วายที่มีเหตุหึงหวงระหองระแหงเป็นระยะ
เขาคาดว่า ภรรยาของเขา กำลังปันใจให้คนอื่นอยู่.....แม้ไม่มีหลักฐานก็ตาม......
เมื่อมาถึง บ้านเลขที่ 166 ซอยสุขุมวิท 23 แขวงคลองตัน เขตวัฒนา บ้านพักของคนทั้งสอง " พยานหลายปาก " ให้การกับตำรวจ ตรงกันว่า " ได้ยินเสียงทะเลาะกัน "
รวมไปถึง เสียง ขว้างข้าวของหล่นแตกกระจายหลายครั้ง จนเกือบเที่ยงคืน เสียงนั้นก็ไม่หยุดแต่อย่างใด
ไม่มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุว่า การกระทำของคนทั้งคู่เป็นแบบใด
แต่ท้ายสุดทุกอย่างก็จบสิ้นลง เมื่อร่างของ นางวรรณี นอนจมกองเลือดอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก
เธอหมดสติ และน่วมไปทั้งตัวร่างกายบอบช้ำ ใบหน้าบวมปูดไปหลายส่วน
น้องสาวของนางวรรณี โทรศัพท์แจ้งตำรวจ สน.ทองหล่อ ว่า พี่สาว ถูก พี่เขย คือ ดร.พิพัฒน์ ทำร้ายร่างกาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่ ร.พ. พร้อมมิตร
สภาพ นางวรรณี ที่ตำรวจไปพบ เห็นชัดแน่นอนว่า เธอถูกทำร้ายอย่างสาหัส
และเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็เสียชีวิต เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
แพทย์ระบุว่า ม้ามแตก มีเลือดออกใต้เยื่อบุสมอง สาเหตุเพราะถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ! ! !
ตำรวจ สน.ทองหล่อ พยายามติดต่อ ผู้แจ้งความ
กลับได้รับข้อมูลที่น่าฉงน เพราะ คนที่เป็นเดือดเป็นแค้น ในตอนแรก อ้างว่าเข้าใจผิด นางวรรณี แค่ตกบันไดเท่านั้น
คดีทำท่าว่าจะไปไม่ถึงไหน กระทั่งมีการร้องเรียนไปยัง พล.ต.ท.อนันต์ ภิรมย์แก้ว ผบช.น. จึงสั่งการให้ นายตำรวจระดับสูง เข้าไปจี้คดี
ท้ายที่สุดพบว่า ดร.พิพัฒน์ ทำร้ายเมีย จนเสียชีวิต
แพทย์ชันสูตรระบุสาเหตุว่า สาเหตุการตายมาจากเยื่อสมองมีเลือดออกมาอย่างรุนแรง คล้ายกับถูกฟาดของวัตถุของแข็งอย่างแรง และม้ามของเธอแตกกระจาย ไม่มีคมอาวุธ หรือกระสุนปืนแต่อย่างใด
ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2544 ตำรวจ เข้าตรวจค้น คฤหาสน์หรู ของ ดร.พิพัฒน์ ที่อยู่กับ พี่สาว ย่านสุขุมวิท พบว่า มีการปรับเปลี่ยนไปจากสภาพเดิมทั้งหมด
แต่เจ้าหน้าที่ก็ตรวจพบคราบเลือดหลายแห่ง รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกนำไปทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน ก็ตามยึดมาได้ มีทั้ง โซฟาเปื้อนเลือด คราบเลือดที่พื้น วอลเปเปอร์ ผ้าม่าน
แต่ช้าเกินไปแล้ว ดร.พิพัฒน์ หลบหนีไปก่อนหน้านั้น ! ! !
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของ ญาตินางวรรณี ก็พยายามปกป้อง เขยผู้ร่ำรวย อย่างผิดปกติไปจากคดีอื่น ๆ
ซึ่งก็ได้รับการเปิดเผยว่า เนื่องจากที่ผ่านมา ดร.พิพัฒน์ ช่วยเหลือจุนเจือมาตลอด
แถมหลังเกิดเหตุมี การซื้อบ้าน และ โอนเงินหลักล้าน เข้า บัญชี ญาติภรรยา ด้วย ! ! !
เดือนตุลาคมปีเดียวกัน ดร.พิพัฒน์ ที่หนีไปอยู่กับเพื่อนที่ ประเทศลาว และ กัมพูชาอยู่ 2 เดือน ตัดสินใจเข้ามอบตัวกับตำรวจให้การสารภาพ
ก่อนหน้านั้น พ่อของ ดร.พิพัฒน์ กระจายข่าวให้สังคมรับรู้ตลอด เรื่องที่ว่า ลูกชายของตน จะมามอบตัวเร็ว ๆ นี้
โดยชี้ว่า ที่หนีไปก็เพราะ ลูกชายของตนจะถูก " ตำรวจจับตาย " ด้วยการวิสามัญ ฯ
โดยเขาจะมามอบตัวเอง มีการนัดหมายเวลาหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่พบไม่แต่เงา ด็อกเตอร์พิพัฒน์ แต่อย่างใด
ดร.พิพัฒน์ เข้ามอบตัวกับ ตำรวจ เมื่อ ปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 พร้อมรับทราบ ข้อกล่าวหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเสียชีวิต
ดร.พิพัฒน์ สู้คดีในชั้นศาล เขายอมรับเกือบทุกข้อกล่าวหา
ประเด็นสำคัญคือ โทษสูงสุดที่พึงได้รับคือ " ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา "
เจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ประกันตัวออกไปได้ ด้วยวงเงินประมาณเกือบ 800,000 บาท เนื่องจากผู้ต้องหารับสารภาพ และมามอบตัวโดยไม่มีเงื่อนไข และเชื่อว่าเขาจะไม่หลบหนีอีก
ต้นปี พ.ศ.2544 พนักงานอัยการ ยื่นเรื่องส่งฟ้องต่อศาล ตามสำนวนคดี กว่า 500 หน้า ที่ เจ้าหน้าที่ชุดสอบสวน ทำสำนวนส่งมา
" พนักงานอัยการ " กลายเป็น เป้า ที่ถูกจับตามองมากที่สุดในขณะนั้น ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
การพิจาณาคดี และการสืบพยานในครั้งนั้น กระทำอย่างรวดเร็ว ตามประมวลยุติธรรมสมัยใหม่ เพราะคดีนี้เป็นที่จับตาของประชาชนทั้งประเทศ
ในระหว่างพิจารณาคดี พยานหลายต่อหลายปาก ไม่ว่า ญาติของฝ่ายผู้ตาย ฝ่ายจำเลย ต่างให้การว่า ด็อกเตอร์พิพัฒน์ เป็นคนดี ช่วยเหลือครอบครัว และญาติ ๆ ของ นางวรรณี มาโดยตลอด ทั้งเงินค่าใช้จ่ายประจำเดือน การปลูกบ้านใหม่ และเป็นคนจิตใจเอื้ออารี ฯลฯ
และแล้วก็ถึงวันสำคัญที่ ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาคดี ดร.พิพัฒน์ ลือประสิทธิ์สกุล อายุ 44 ปี อดีตอาจารย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิดา ทำร้าย นาง วรรณี ลือประสิทธิ์สกุล ภรรยาจนเสียชีวิต
โดยให้ รอลงอาญา โทษจำคุก เป็นเวลา 3 ปี
ผลการพิพากษานี้ ได้สร้างปรากฏการณ์วลีที่ว่า " ด็อกเตอร์ฆ่าภรรยาไม่ติดคุก "
หนังสือพิมพ์ต่างพากันประโคมลงข่าวนี้ กลายเป็นกระแส ทอล์คออฟเดอะทาวน์ ไปทั่ว
โดยบางฉบับ ได้พิมพ์บางส่วนบางตอนในคำพิพากษาตัดสินว่า
วันที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมา พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ดร.พิพัฒน์ ต่อ ศาลอาญากรุงเทพใต้ เป็นจำเลย ในความผิดฐานทำร้ายร่างกาย นางวรรณี ภรรยา จนเสียชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 - 15 ปี
และตามกระบวนการที่ปรับปรุงใหม่ ให้ศาลสืบพยานอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว และเวลาเพียง 6 เดือนคดีนี้ก็ได้คำตัดสิน
วันที่ 18 กรกฎาคม นายเทพ อิงคสิทธิ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญากรุงเทพใต้ พร้อมองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีนี้
โจทก์บรรยายฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 17 - 18 ก.ค. 44 เวลากลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ได้บังอาจใช้กำลัง ชก ต่อย ตบ เตะ และใช้ของแข็งไม่มีคม ตีทำร้ายร่างกายผู้ตาย ที่ศีรษะ ใบหน้า ลำตัว หลายครั้ง ทำให้เกิดบาดแผลฟกช้ำหลายแห่ง ที่เปลือกตา ศีรษะ เข่าซ้าย และสมองช้ำบวมจนถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่บ้านพักของจำเลย ย่านคลองเตย
ภายหลังก่อเหตุ จำเลยได้หลบหนีไปอยู่ที่ ประเทศเวียดนามและลาว
ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 44 จำเลยได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ และให้การรับสารภาพโดยตลอดว่า ทำร้ายร่างกายผู้ตายจริง แต่กระทำไปเพราะบันดาลโทสะ
" ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คืนวันเกิดเหตุ จำเลยได้ทำร้ายร่างกายผู้ตาย เนื่องจากไม่พอใจผู้ตายขับรถช้า และมีอาการคล้ายดื่มสุราเมา ทั้งยังสงสัยเรื่องที่ผู้ตายยังโทรศัพท์ติดต่อกับคนรักเก่า จำเลยจึงทำร้ายร่างกาย โดยใช้หนังสือขว้างใส่ ใช้ร่มตีที่ใบหน้า และเตะผู้ตาย เป็นเหตุให้เสียชีวิต แม้ผู้ตายจะพยายามต่อสู้ ก็เพราะสืบเนื่องมาจากจำเลยเป็นฝ่ายหาเรื่องจับผิด และทำร้ายร่างกายก่อน ”
" แม้ผู้ตายพูดเกี่ยวกับคนรักเก่า ก็สืบจากจำเลยเป็นฝ่ายหาเรื่องและทำร้ายร่างกายก่อน เพราะไม่ไว้วางใจจึงเป็นลักษณะประชดประชันจำเลย มากกว่าที่จะเป็นการข่มเหงจำเลย กรณีนี้จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยบันดาลโทสะเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่การกระทำเพราะบันดาลโทสะ จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง "
ผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินอีกว่า
" พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี แต่คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี อย่างไรก็ตาม จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ที่กระทำความผิดไปเพราะอารมณ์โทสะที่เกิดขึ้นในชั่วขณะ และได้รับผลจากการกระทำโดยสูญเสียคนรักไป จำเลยเป็นผู้มีการศึกษาสูง เคยเป็นอาจารย์สอนที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์มาก่อน ยังสามารถใช้ความรู้อันเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติได้ ประกอบกับจำเลยยังมีภาระต้องดูแลบุตรซึ่งอายุยังน้อย "
" โทษจำเลยจึงให้รอลงอาญาไว้มีกำหนด 3 ปี แต่กำหนดเงื่อนไขการคุมประพฤติให้จำเลยใช้ความรู้สอนหนังสือนักเรียน นักศึกษา หรือประชาชนทั่วไปตามสถานศึกษาต่าง ๆ มีกำหนด 50 ชั่วโมง "
การที่ ดร.พิพัฒน์ จำเลยคดีทำร้ายร่างกายภรรยาจนเสียชีวิต แต่ไม่ต้องติดคุก ทำให้เกิดกระแสสังคมถาโถม ดร.พิพัฒน์ รุนแรงยิ่ง
พลังกระแสสังคมพุ่งเป้าเข้าหา ดร.พิพัฒน์ ทันที พร้อม ๆ กับการเคลื่อนไหวของ องค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรเพื่อเด็กและสตรี
รวมทั้งการจี้ให้ อัยการ เปิดเผย สำนวนที่ส่งฟ้อง รวมทั้ง สำนวนของตำรวจ ว่าเป็นมาอย่างไร มีข้อมูลครบถ้วนรอบด้านหรือไม่ ! ? ?
เพราะจะว่าไปแล้ว คดี ดร.นิด้า ถือว่าเป็นหนึ่งในข่าวใหญ่ของปี 2544 และได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง สาธารณชนรับทราบข้อมูลต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดเหตุ การหลบหนีของ ดร.พิพัฒน์ ฯลฯ
กลุ่มองค์กรสตรี ประกอบด้วยตัวแทนจาก กลุ่มแนวร่วมเพื่อความก้าวหน้าของผู้หญิง 39 องค์กร และ เครือข่ายผู้หญิงกับรัฐธรรมนูญ 46 องค์กร มีความเคลื่อนไหวแทบจะในทันที
นาย วสันต์ พานิช คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า กฎหมายยังมีช่องให้พนักงานรัฐเลือกปฏิบัติ แม้ว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับปีพ.ศ.2540 มาตรา 30 ระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในทางกฎหมาย ชายและหญิงย่อมมีสิทธิเท่าเทียมกัน และมาตรา 53 ระบุว่าเด็ก เยาวชนและบุคคลในครอบครัวมีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากรัฐ แต่กฎหมายลูกมีข้อความที่ขัดกัน
" เห็นได้จากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ตั้งเงื่อนไขว่า หากไม่เคยมีความผิดมาก่อน ต้องคำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษา อบรม อาชีพ ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ดุลพินิจวินิจฉัยเอาเอง "
พร้อมกันนี้ องค์กรต่าง ๆ เรียกร้องให้ อัยการ อุทธรณ์คดี ดร.พิพัฒน์ ฆ่าเมีย และร่วมส่งไปรษณียบัตรแสดงความเสียใจแก่ นางวรรณี ภรรยาดร.พิพัฒน์ ที่บ้านของ ดร.พิพัฒน์ ด้วย ! ! !
เช่นเดียวกับ " ครูหยุย " นาย วัลลภ ตังคณานุรักษ์ ส.ว.กทม. ประธานคณะกรรมาธิการกิจการสตรี เยาวชนและผู้สูงอายุ วุฒิสภา ยิ่งไม่เห็นด้วยกรณี ดร.พิพัฒน์ จะมาสอนหนังสือให้เด็ก ๆ โดยระบุว่าผลการวิจัยชัดเจนว่าคนที่ใช้ความรุนแรงมีโอกาสที่จะใช้ความรุนแรงอีกได้
" ผมมีสิทธิปฏิเสธคนแบบนี้ ไม่ให้มาสอนเด็กของผมไหม ผมขอเรียกร้องให้ กรมสามัญศึกษา ปฏิเสธด้วย ซึ่งผมจะขอให้ อธิบดี ปฏิเสธอย่างเป็นทางการด้วย เพราะผมกลัวว่าเด็กจะได้แบบอย่างที่ไม่ดี เด็กจะซึมซับรับเอาความรุนแรง "
ในขณะที่ องค์กรภาครัฐหลายแห่ง ก็ออกมาปฏิเสธว่า ไม่ต้องการให้ ดร.พิพัฒน์ ไปสอนหนังสือ จน กรมคุมประพฤติ ต้องมีความคิดว่า อาจจะให้เข้าไปสอนหนังสือนักโทษแทน ! ? ?
นอกจากนี้ องค์กรต่าง ๆ ยื่นหนังสือถึง อัยการสูงสุด ขอให้เปิดเผยคำฟ้องนี้ต่อสาธารณะ เพราะเชื่อว่าคำฟ้อง น่าจะมีอะไรบางอย่างที่ประชาชนควรจะได้รู้ รวมทั้งขอให้มีการอุทธรณ์คดีนี้ด้วย
และไปยื่นหนังสือถึง สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร เพื่อยืนยันว่าเป็นสิทธิที่ประชาชนจะต้องรู้ข้อมูลเหล่านี้
เนื่องเพราะกระแสสังคมที่ไม่เข้าใจทำให้ นายเฉลิมชัย ศรีเลิศชัยพานิช อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกคำแถลงการณ์ในนาม ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถึงกรณีศาลมี คำพิพากษารอลงอาญา 3 ปี ดร.พิพัฒน์
" ภายหลังที่องค์คณะพิจารณาพยานหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ได้จากการนำสืบของพนักงานอัยการโจทก์ที่เป็นไปตามหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยคดีนี้พนักงานอัยการนำสืบพยานรวม 3 กลุ่ม คือกลุ่มแรกเป็นนักศึกษาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กลุ่มที่สองเป็นคนรักเดิมของนางวรรณี ผู้ตาย และกลุ่มสุดท้ายเป็นพนักงานสอบสวนเพื่อสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด "
นายเฉลิมชัย กล่าวในแถลงการณ์อีกว่า พยานทั้ง 3 กลุ่มไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และเห็นข้อเท็จจริงขณะที่จำเลยทะเลาะและทำร้ายร่างกายนางวรรณี เป็นเพียงพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ก่อนและหลังที่จำเลยกับนางวรรณีทะเลาะกันโต้เถียงกันแล้ว จึงไม่มีการนำสืบ
ทั้งนี้ ในการพิจารณาคดีของศาล เมื่อพนักงานอัยการไม่มีพยานนำสืบให้เห็นเกี่ยวกับการกระทำผิดของจำเลย ศาลก็จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยนำสืบ และวินิจฉัยตามประเด็นที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องและจำเลยต่อสู้ไว้
" สำหรับข้อสงสัยที่ว่า เหตุใดศาลจึงลดโทษจำคุกให้จำเลย โดยรอการลงโทษเป็นเวลา 3 ปีนั้น เนื่องจากคดีนี้พนักงานอัยการไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์มานำสืบในชั้นศาล ซึ่งข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบเป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดีของศาลเป็นอย่างมาก โดยจำเลยให้การลักษณะตรงไปตรงมา แสดงถึงการรู้สำนึกในการกระทำผิด ซึ่งก่อนหน้านี้หากจำเลยจะแต่งเรื่องขึ้นมาว่านางวรรณีเป็นผู้ก่อเหตุเพื่อให้จำเลยพ้นผิดก็สามารถทำได้ "
อธิบดีผู้พิพากษา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ระบุด้วยว่า ในการ รอลงอาญา ศาลวินิจฉัยจาก ประมวลกฎหมายอาญา ม.56 โดยคำนึงถึงสติปัญญา การศึกษาอบรม อาชีพ สภาพความคิดและเหตุอื่นอันควรปรานี
อีกทั้งญาติของนางวรรณี ก็เบิกความเป็นพยานในลักษณะที่ไม่ติดใจเอาความจำเลย ประกอบกับจำเลยกระทำผิดเพราะอารมณ์โทสะอันเกิดจากความรักหึงหวงภรรยา
ดังนั้น องค์คณะจึงมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าจำเลยกระทำผิดจริง แต่สมควรรอการลงโทษจำเลย
" คดีนี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิจารณาคดีอย่างโปร่งใส สุจริต สามารถตรวจสอบได้ โดยศาลมีคำสั่งให้ สำนักงานคุมประพฤติ สืบเสาะข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำผิดของจำเลยเพื่อประกอบการพิจารณาลงโทษ ดังนั้น คงไม่สามารถนำผลของคดีนี้ไปเป็นบรรทัดฐานคดีอื่นได้ "
นายกิตติพงศ์ กิติยารักษ์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า ในฐานะนักกฎหมาย เห็นว่าคดีนี้ศาลคงต้องมีการชี้แจงข้อเท็จจริง และเหตุผลที่พิพากษาให้รอลงอาญาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ทำให้ต้องรอลงอาญา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
" กระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมา เรื่องของสามีทำร้ายภรรยามักมองว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว ทำให้ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่เสมอ จึงทำให้ผู้หญิงเกิดความรู้สึกว่ากระบวนการยุติธรรมไม่คุ้มครองสิทธิของผู้หญิงเท่าที่ควร ประกอบกับมีการตัดสินคดีนี้ขึ้น จึงจำเป็นที่ศาลต้องชี้แจงให้เข้าใจว่าการตัดสินคดีเช่นนี้จะไม่เป็นการส่งสัญญาณไปถึงคดีอื่น ๆ ว่าสามีทำร้ายภรรยาแล้วถือเป็นเรื่องภายในครอบครัว "
อย่างไรก็ตาม แม้ ผู้พิพากษา จะชี้แจงเหตุผลประกอบ รวมทั้งยกตัวอย่างหลาย ๆ คดีทั้งชาย-หญิงเป็นจำเลย ในลักษณะเดียวกันนี้ ก็มีที่รอลงอาญาเช่นกัน
แต่เนื่องจาก คดี ดร.พิพัฒน์ นั้น โด่งดังเกินไป และมีคนติดตามสนใจมาตั้งแต่เกิดเรื่องใหม่ ๆ
กระแสสังคมจึงแสดงออกมาอย่างที่เห็น พร้อมทั้งการจี้ไปยัง พนักงานอัยการ เพื่อให้ยื่นเรื่องอุทธรณ์
เพราะไม่ต้องการให้ทุกอย่างจบลงเพียงแค่นี้
ปิดฉากคดี "ดร.นิดา "
ฎีกา พิพากษายืน จำคุก 2ปี - รออาญา คดีทำร้าย เมียตาย
เป็นอันว่าปิดฉาก คดีอื้อฉาว และยืดเยื้อ มานานเกือบ 5 ปี ในคดี " ดร.นิดา " นาย พิพัฒน์ ลือประสิทธิ์สกุล อดีตจำเลยคดีฆ่า นางวรรณี ลือประสิทธิ์สกุล ภรรยา โดยทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะไปสิ้นใจที่โรงพยาบาล เหตุเกิดระหว่างวันที่ 17-18 กรกฎาคม พ.ศ. 2544
หลังจาก ศาลฎีกา มีคำพิพากษายืนตาม ศาลชั้นต้น และ ศาลอุทธรณ์ ตัดสินจำคุกเป็นเวลา 4 ปี จำเลยให้การสารภาพจึงลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือ 2 ปี โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ก่อน
คดีนี้ถือเป็นคดีที่สร้าง " ความปั่นป่วน " ให้วงการยุติธรรมมากที่สุดคดีหนึ่ง ถึงขนาดที่ ศาล ต้องออกแถลง ถึงเหตุผลการพิพากษาลงโทษ ดร.พิพัฒน์ โดยให้รอลงอาญาไว้ก่อน
รวมทั้งระบุว่าไม่สามารถนำคำตัดสินคดีนี้ไปอ้างอิงคดีอื่น ๆ ด้วย ! ? ?
จุดเริ่มของคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อ นางวรรณี ถูก นายพิพัฒน์ ทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยตอนแรกอ้างว่าประสบอุบัติเหตุ แต่ ญาตินางวรรณี สงสัยจึงเข้า แจ้งความ กับตำรวจ
ต่อมา นางวรรณี ก็สิ้นใจ
เจ้าหน้าที่ เข้ามาสอบสวนเรื่องนี้ ระหว่างนั้น ญาตินางวรรณี ขอถอนแจ้งความ
แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะเป็น คดีอาญา และ เกิดการตายขึ้นแล้ว
ตำรวจ พบว่า นางวรร ณีถูกทำร้ายโดย ดร.พิพัฒน์ จึงออกหมายจับ
แต่ ดร.พิพัฒน์ ชิงหลบหนีไป ก่อนที่จะเข้ามอบตัวให้การสารภาพ อ้างว่าทำไปเพราะบันดาลโทสะ หลังจับได้ว่า นางวรรณี ลอบพบปะกับ แฟนเก่า
ตำรวจ แจ้งข้อหา ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ส่ง อัยการ ให้พิจารณาสั่งฟ้อง
ศาลชั้นต้น และ ศาลอุทธรณ์ มีความเห็นตรงกันว่า " จำเลยไม่เจตนาฆ่า " แต่ลงมือด้วยบันดาลโทสะเท่านั้น
โดย ศาลชั้นต้น มี คำพิพากษา ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ( ที่ถูกวรรคหนึ่ง ) จำคุก 4 ปี คำให้การและคำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี
จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อพิเคราะห์ถึงสภาพแห่งความผิดที่จำเลยกระทำไป สืบเนื่องมาจากอารมณ์โทสะที่เกิดขึ้นในชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งจำเลยได้รับผลจากการกระทำนั้นโดยสูญเสียผู้ตายซึ่งเป็นภรรยาที่จำเลยรักไป ประกอบกับจำเลยเป็นผู้มีการศึกษาสูงและเคยเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จำเลยสามารถใช้ความรู้ของจำเลยสอนนักศึกษาหรือปฏิบัติงานด้านวิชาการอื่นอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติได้
ทั้งจำเลยยังมีภาระต้องดูแลบุตรซึ่งอายุยังน้อย เห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี กำหนดเงื่อนไขการคุมประพฤติให้จำเลยทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์โดยใช้ความรู้ของจำเลยสอนนักเรียน นักศึกษา หรือประชาชนทั่วไป ตามสถานศึกษาหรือสถานที่ต่าง ๆ ตามที่จำเลยและพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร มีกำหนด 50 ชั่วโมง
พนักงานอัยการ ยื่น อุทธรณ์ ก่อนที่ ศาลอุทธรณ์ จะมี ความเห็นพ้อง กับ ศาลชั้นต้น
" จำเลยเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เป็นสามีผู้ตาย และได้สนับสนุนให้เกียรติเชิดชูยกย่องผู้ตายต่อญาติมิตรสหายและบรรดาลูกศิษย์ของจำเลยเสมอ และให้การดูแลอุปการะญาติผู้ใหญ่ผู้ตายเสมอ จนเป็นที่กล่าวขานในหมู่คนที่รู้จักกันว่า จำเลยกับผู้ตายเป็นคู่สามีภริยาที่มีความรักใคร่ผูกพันต่อกันเป็นตัวอย่างอันดี "
แต่พฤติการณ์ของผู้ตายในระยะหลัง ก่อนจะเกิดเหตุล้วนชวนชี้ให้จำเลยมีข้อระแวงสงสัยอยู่มากว่า ผู้ตายให้ความสนิทสนม ให้ความสำคัญกับชายอื่นยิ่งกว่าจำเลยผู้เป็นสามี เหตุที่จำเลยทำร้ายร่างกายผู้ตายเป็นคดีนี้ ก็เนื่องเพราะความหึงหวงรักใคร่ในตัวผู้ตายจากสาเหตุดังกล่าว โดยผู้ตายผิดนัดขับรถมารับจำเลยล่าช้าผิดเวลาล่วงเลยไปจนถึงเวลาประมาณ 24 นาฬิกา และผู้ตายโต้เถียงกับจำเลยด้วยถ้อยคำท้าทายที่ไม่เคยพูดกับจำเลยมาก่อน ทำให้จำเลยโกรธจนตัวสั่นจึงเกิดเหตุขึ้น
แม้จากสภาพบาดแผลของศพผู้ตายจะแสดงว่าก่อนผู้ตายจะถึงแก่ความตายจำเลยได้ลงมือทำร้ายร่างกายผู้ตายอย่างรุนแรงอยู่บ้าง แต่ของแข็งไม่มีคมที่จำเลยใช้ทำร้ายผู้ตายก็มิใช่อาวุธโดยสภาพ และได้ทำร้ายผู้ตายด้วยอารมณ์โกรธอันมีเหตุชวนเชื่อดังที่จำเลยนำสืบ
หลังจากจำเลยทำร้ายผู้ตายแล้ว ได้ตามญาติพี่น้องของผู้ตายให้มาพบพูดจากับผู้ตายทันที ส่อแสดงให้เห็นถึงความเชื่อของจำเลยว่าผู้ตายถูกทำร้ายแล้วผู้ตายอยู่ในอาการบาดเจ็บไม่มากนัก อีกทั้งการที่จำเลยไม่ได้รีบเร่งนำผู้ตายไปส่งที่ร.พ.ทันที ก็เนื่องมาจากจำเลยเข้าใจผิดคิดว่าการที่ผู้ตายไม่พูดจาเพราะผู้ตายมึนเมาสุราที่ดื่มก่อนมาพบจำเลย
ต่อมาในตอนเช้า-เมื่อจำเลยทราบว่าผู้ตายอยู่ในอาการไม่ปกติ จำเลยเองก็ได้นำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลทันที
เมื่อตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้อง กฎหมายก็มิได้มุ่งประสงค์ถือเอาการถึงแก่ความตายของบุคคลที่ถูกทำร้ายร่างกายเป็นเรื่องร้ายแรง ที่จะต้องลงโทษผู้กระทำความผิดตามมาตรานี้ในสถานหนัก ดังเห็นได้จากบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปีดังกล่าวเท่านั้น
ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษจำคุกจำเลยเพียง 4 ปี และลดโทษให้กึ่งหนึ่งเพราะมีเหตุบรรเทาโทษเนื่องจากคำให้การและคำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา คงจำคุก 2 ปี จึงชอบแล้ว พิพากษายืน
อัยการตัดสินใจสู้ถึงศาลฎีกา และเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีนี้ออกมา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันโดยละเอียดรอบคอบแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติได้ว่า จำเลยเป็นอาจารย์ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และระมัดระวัง รักษาชื่อเสียง เกียรติยศ รวมทั้งอุปการะเลี้ยงดูบุตรและภรรยาอย่างดีมาโดยตลอด
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยใช้ของแข็งตีเข้าที่ศีรษะของผู้ตาย เป็นเหตุให้เลือดคั่งในสมอง ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยเป็นคนโหดร้าย ทั้งจำเลยใช้ร่มที่อยู่ในถุงไม้กอล์ฟแทนที่จะใช้ไม้กอล์ฟที่แข็งกว่าตี ซึ่งผู้ตายก้มตัวหลบทำให้ถูกตีที่ศีรษะจนล้มหมดสติ
จากนั้นจำเลยได้โทรศัพท์เรียกน.ส.คูณ คูรำ ญาติผู้ตายมาดูแล เหตุที่จำเลยไม่ได้นำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลเนื่องจากเข้าใจว่าที่ผู้ตายล้มลงเพราะผู้ตายเมาสุรา แต่เมื่อทราบผู้ตายมีอาการผิดปกติจึงพาส่งโรงพยาบาลทันที
" เห็นว่าคำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา สมควรลงโทษสถานเบา ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แก่รูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน "
หลังจากศาลสูงสุดมีคำพิพากษาออกมา ดร.พิพัฒน์ ซึ่งเดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมด้วย ทนายความ และ ญาติของน.ส.วรรณี ก็แสดงความยินดีเพราะเท่ากับ คดีนี้ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว
" รอฟังคำพิพากษาศาลฎีกามา 5 ปี รู้สึกดีใจกับผลคำพิพากษา เนื่องจากศาลท่านให้ความกรุณา ถือเป็นโชคดีของเรา ที่ผ่านมาผมยินดีรับผิดทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ ในตอนแรกที่ยังไม่เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะครั้งแรกยังรู้สึกสับสนอยู่ ต่อมาพอตั้งสติได้จึงทำความเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย "
ดร.พิพัฒน์ บอกอีกว่า คดีนี้ทำให้ครอบครัวมีความสูญเสียมามาก ตั้งแต่สูญเสียภรรยา มีผลกระทบต่อจิตใจของบุตรชายทั้ง 2 คน และชีวิตในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ทำอะไรไม่ได้ เดินหน้าไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ และเป็นบาปติดอยู่ในใจตลอด
อดีตอาจารย์หนุ่มของนิดา กล่าวอีกว่า หลังเกิดเหตุก็อยู่กับครอบครัวและลูก ๆ มาตลอด เพราะต้องการอยู่กับบุตรชายทั้ง 2 คน ซึ่งทั้ง 2 คนมีความเข้มแข็งมากไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่มีแฟนหรือภรรยาใหม่ เพราะจนถึงขณะนี้ก็ยังรักภรรยามากที่สุดเหมือนเดิม
" ใครก็สู้เขาไม่ได้ และรู้สึกเข็ด ไม่รู้จะมีใหม่ไปทำไม ขออยู่เป็นโสดจนกว่าลูกจะโตดีกว่า และตอนนี้ก็เลิกเล่นกอล์ฟไปเลย "
ดร.พิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาได้บำเพ็ญประโยชน์จนครบ 50 ชั่วโมงแล้ว โดยสอนหนังสือที่กรมแพทย์ทหารเรือ 10 ชั่วโมง และสอนหนังสือที่โรงเรียนวัดดมนียเขต อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ที่ได้รับความเสียหายจากคลื่นยักษ์สึนามิอีก 40 ชั่วโมง และปัจจุบันเป็นอาจารย์พิเศษสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยรังสิต
" อยากฝากเป็นอุทาหรณ์สำหรับชีวิตครอบครัวว่า ควรหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง หากเกิดอะไรขึ้นขอให้เฉยไว้ก่อน ต้องมีสติ เหมือนขโมยเข้าบ้านก็ทำเฉยเพื่อไม่ให้เกิดอันตราย "
อดีตจำเลยหนุ่มใหญ่กล่าวทิ้งท้าย
คดีที่เกิดขึ้นและจบลงคงเป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์ให้กับ คู่สามี-ภรรยา ถึงต้นตอปัญหาและการแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
มันมิเป็นผลดีกับใครเลยโดยเฉพาะลูก ๆ
















