ย้อนรําลึก 40 ปีสงครามเวียดนาม
หลังจากที่เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ทำสงครามระหว่างกันมาหลายทศวรรษ ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2518 รถถังของฝ่ายเวียดนามเหนือบุกเข้ายึดฐานที่มั่นสุดท้ายของฝ่ายเวียดนามใต้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพสหรัฐฯได้สำเร็จ
วันที่ 30 เมษายน จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับประชาชนชาวเวียดนาม ชัยชนะครั้งนั้นถือเป็นสัญลักษณ์ของการประกาศเอกราชที่ได้มาด้วยความยากลำบาก และกองทัพพร้อมอุทิศชีวิตเพื่อปกป้องประเทศชาติ ชัยชนะของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ในเวียดนามเหนือที่มีต่อเวียดนามใต้
จากการที่สงครามเวียดนามยืดเยื้อยาวนาน ทำให้มีชาวเวียดนามเสียชีวิตไปทั้งสิ้น 3 ล้านคน ในขณะที่ทหารอเมริกันเสียชีวิต 58,000 ราย
จุดเริ่มต้นของสงครามเวียดนามเเละบทสรุป
สงครามเวียดนาม หรือสงครามอินโดจีนครั้งที่สอง เป็นสงครามที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก เนื่องจากเป็นสงครามตัวแทนของสงครามเย็นที่โลกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและขัดแย้งกันรุนแรงมากในอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างฝ่ายเสรีนิยมกับคอมมิวนิสต์ ขณะที่ต่างฝ่ายต่างเห็นว่าลัทธิของตนดีกว่าอย่างสุดขั้ว เกิดขึ้นในประเทศเวียดนาม ลาว และกัมพูชา เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2498 ซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับผู้คนเป็นจำนวนมาก
ฝ่ายเสรีนิยมมีอเมริกาเป็นหัวหน้า ส่วนฝ่ายคอมมิวนิสต์มีสหภาพโซเวียตและจีนเป็นหัวหอก ทั้งสองฝ่ายปะทะกันก่อนในสงครามเกาหลีปีค.ศ.1950-53 และเสมอกันไปเมื่อเกาหลีแตกเป็นสองประเทศคือเหนือกับใต้
ส่วน สงครามเวียดนามปะทุตามมาในปี ค.ศ.1954-75 เป็นการสู้รบระหว่างฝ่ายเหนือใต้เช่นกัน ทางอเมริกานั้นนอกจากจะไม่ชนะแล้ว ยังสูญเสียจากการทุ่มส่งทหารเข้าไปรบถึง 2,5000,000 นาย เพื่อประกาศแสนยานุภาพ โดยเสียชีวิตไปกว่า 58,000 นาย บาดเจ็บ 2 แสนนาย และเชื่อว่าอีกแสนนายฆ่าตัวตายเพราะทนสภาพโหดร้ายไม่ไหว
ชาวอเมริกันในสหรัฐจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับสงครามครั้งนี้ และแทบจะไม่ลืมบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้เลย
สงครามเวียดนาม (อังกฤษ: Vietnam War) (ค.ศ. 1957-1975) เป็นสงครามระหว่างเวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ที่สนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกา เพื่อตัดสินว่าควรรวมเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวตามข้อตกลงเจนีวา ค.ศ. 1954 หรือไม่ สงครามจบลงด้วยชัยชนะของเวียดนามเหนือ และรวมประเทศเวียดนามทั้งสองเข้าด้วยกัน ซึ่งปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศเวียดนาม ในประเทศเวียดนามเองเรียกสงครามนี้ว่า สงครามปกป้องชาติจากอเมริกัน หรือ สงครามอเมริกัน
สาเหตุของสงครามเวียดนาม
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการเวียดมินห์ ได้ถือกำเนิดขึ้น โดย โฮจิมินห์ เป็นผู้นำ ระยะแรก การดำเนินการนั้น เพียงเพื่อหวังว่าจะขับไล่ญี่ปุ่นออกจากประเทศไปเท่านั้น แต่ครั้นในปี ค.ศ. 1944 พวกเวียดมินห์ได้ตั้งกองบัญชาการกองโจรขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนกำลังและอาวุธจากสหรัฐอเมริกา แต่กำลังการรบของเวียดมินห์นั้นยังเป็นกองกำลังเล็กๆ ยังไม่สามารถที่จะไปต่อต้านพวกญี่ปุ่นได้
ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป คือ ญี่ปุ่นได้ปลดอาวุธและขังทหารฝรั่งเศสประจำอินโดจีน จึงเป็นเหตุทำให้ฝรั่งเศสนั้นเสียศักดิ์ศรีไปมาก เพราะขณะเกิดเรื่องนี้ ญี่ปุ่นกำลังจะแพ้สงคราม ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวเวียดนามกลุ่มต่างๆ ที่ดิ้นรนเพื่อเป็นเอกราช ได้เริ่มดำเนินการทันที ซึ่งผู้นำนั้นก็คือ เบาไต๋ ซึ่งเคยเป็นจักรพรรดิแคว้นอันนัม ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็น "จักรพรรดิแห่งเวียดนาม" และต่อมาทำให้กลุ่มของเบาไต๋ มีความหวังยิ่งขึ้น คือ นายพลเดอโกลล์ ได้กล่าวคลุมเครือว่าอยากให้เวียดนามปกครองตนเอง ซึ่งทำให้พวกชาตินิยมในเวียดนามต่างก็มีความหวังในเรื่องเอกราชโดยสันติวิธี ยิ่งขึ้นไปอีก แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาได้ทำลายความหวังลงไป เพราะกลุ่มเวียดมินห์ได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น แต่คำสั่งนี้มีเจตนาแอบแฝง ไว้เพื่อหวังผลอีกทางหนึ่ง โดยมีเจตนาหาทางป้องกันไม่ให้ฝรั่งเศสกลับมามีอำนาจในเวียดนามอีก
ซึ่ง การที่กลุ่มเวียดมินห์นั้นได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น ได้ผลดีมากในทางภาคเหนือของประเทศ จักรพรรดิเบาไต๋ได้สละตำแหน่งประมุขของประเทศแล้วจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้น แล้วประกาศเอกราชในเวลาต่อมา ความสำเร็จในการยึดอำนาจครั้งนี้ ทำให้พวกคอมมิวนิสต์ที่ปะปนอยู่ในหมู่ชาตินิยมเวียดนามสามารถตั้งตนในหมู่ คณะชั้นนำของขบวนการปฏิวัติได้
ต่างชาติเข้าแทรกแซง
ฝรั่งเศสยังมีความพยายามที่จะยึดครองเวียดนามอยู่ แต่โอกาสยังไม่อำนวยเพราะขาดกำลังทหารและพาหนะลำเลียง แต่เวียดนามก็ยังคงตกอยู่ในสภาพดังเดิม เพราะมหาอำนาจฝ่ายพันธมิตรผู้ชนะสงครามได้เข้ามายึดครองแทน โดยมีอังกฤษเข้ายึดครองภาคใต้ของเวียดนาม จีนคณะชาติยึดครองทางภาคเหนือของเวียดนาม ชาวเมืองต่างไม่พอใจในการกระทำของอังกฤษ นายพลเกรซี่ย์ ผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษในเวียดนาม ได้ประกาศกฎอัยการศึกในเขตที่ยึดครอง สำหรับฝรั่งเศสมีทหารจำนวนเล็กน้อยได้มาถึงไซง่อนแล้ว ไปยึดตึกที่ทำการของรัฐบาล รื้อฟื้นอำนาจของฝรั่งเศสใหม่
![]() |
โฮ จิมินห์เริ่มเล็งเห็นถึงความเสียเปรียบ พยายามที่จะเอาชนะฝรั่งเศส ซึ่งกระทำได้ก็โดยการรวบรวมชาวเวียดนามที่มีหัวชาตินิยมไปเป็นพวก และเพื่อเป็นการปกปิดการหนุนหลังคอมมิวนิสต์ พร้อมกับแสดงให้ประชาชนเห็นว่าเป็น ขบวนการผู้รักชาติ โดยสั่งยุบพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย และจัดตั้ง แนวแห่งชาติ ขึ้นแทน ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์นั้นได้กลายเป็นองค์กรใต้ดิน ดำเนินการอย่างลับๆต่อมาเป็นเวลานาน
ข้อตกลงระหว่างจีนคณะชาติกับฝรั่งเศส
ภาค เหนือของเวียดนาม เป็นที่มั่นของขบวนการเวียดมินห์แต่มีกองทัพจีนคณะชาติอยู่ ฝรั่งเศสอยากให้จีนคณะชาติถอนตัวไปเพื่อจะได้ปราบพวกเวียดมินห์ และยึดภาคเหนือคืนได้สะดวกขึ้น ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 ฝรั่งเศสจึงได้ตกลงกับเจียงไคเซ็ค ยอมยกเลิกสิทธพิเศษในจีนเพื่อแลกกับการถอนทหารจีนออกไปจากภาคเหนือของ เวียดนาม โฮจิมินห์พอเข้าใจถึงผลจากข้อตกลงนี้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ต้องปะทะกับฝรั่งเศสและจีน จึงต้องยอมให้ฝรั่งเศสยึดที่มั่นบางแห่งในภาคกลางและภาคเหนือ เพราะขณะนี้ โฮจิมินห์ ยังไม่พร้อมที่จะรบหรือต่อต้านกับชาติใดๆทั้งสิ้น
พยายามแสวงหาสันติภาพ
ฝรั่งเศส และเวียดมินห์ต่างก็พยายามจะตกลงกันโดยสันติวิธีโดยโฮจิมินห์ยอมให้ฝรั่งเศส เคลื่อนกำลังเข้ายังฮานอยและไฮฟอง ส่วนฝรั่งเศสก็ตอบแทนด้วยการรับปากว่าจะให้เวียดนามเป็น ประเทศเสรี แต่ผลที่ได้รับจากการตกลงดังกล่าว ได้กลายเป็นสาเหตุแห่งความยุ่งยากร้ายแรงในเวลาต่อมา กล่าวคือ การประชุมเจรจากันระหว่าง 2 ประเทศนั้นไม่ลงรอยกันมากขึ้น เพราะการประชุมส่วนใหญ่เกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไม่ได้กล่าวถึง เสรีภาพเลย ฝรั่งเศสมุ่งที่จะยึดครองด้วยกำลังทหาร ในช่วงเวลานี้ได้เกิดเหตุร้ายในไฮฟองหลายครั้ง ฝรั่งเศสระดมยิงหมู่บ้านไฮฟองเสียหายมากมาย
ผลจากการกระทำดังกล่าว ทำให้ฝ่ายเวียดมินห์เห็นว่า การตกลงโดยสันติวิธีกับฝรั่งเศสคงไม่เป็นผล ดังนั้นจึงได้สั่งเคลื่อนกำลังพลโจมตีกองทหารฝรั่งเศสทั่วประเทศทันทีในวัน ที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1946
ปัญหาระหว่างฝรั่งเศส - เวียดมินห์
เอก ราชของเวียดมินห์ที่ชาวเวียดนามแสวงหา กลายเป็นปัญหาสำคัญทางการเมืองที่สำคัญที่สุด และเป็นผลทำให้ชาวเวียดนามที่มีหัวปานกลางที่สังกัดกลุ่มชาตินิยม ซึ่งในระยะแรกคิดจะปรองดองกับฝรั่งเศส โดยจะยอมรับการปกครองของฝรั่งเศสแบบใดแบบหนึ่ง แล้วต้องสัญญาให้เอกราชที่สมบูรณ์ในภายหลัง แต่ฝรั่งเศสไม่สนใจ จึ่งทำให้พวกชาตินิยมกลุ่มนี้พยายามจัดตั้ง แนวสหภาพชาตินิยม เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1947 และได้กลายเป็นพลังการต่อต้านที่สำคัญในเวลาต่อมา
ด้วย เหตุดังกล่าว ฝรั่งเศสจึงได้กลายเป็นที่เกลียดชังของพวกชาตินิยมชาวเวียดนาม แม้แต่พวกไม่เคยต่อต้านฝรั่งเศสและนักการเมืองก็ต้องให้ความร่วมมือกับพวก ปฏิวัติ หรือหนีไปนอกประเทศ ต่อมาในภายหลังฝรั่งเศสได้เสนอต่อเวียดนาม ให้มีเสรีภาพในวงกรอบแห่งสหภาพฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ให้ความแน่ชัดในทางปฏิบัติ จึงเป็นเหตุให้พวกเวียดมินห์ที่ไม่พอใจฝรั่งเศส ทำการกวาดล้างชาวเวียดนามด้วยกันเองที่สนับสนุนข้อเสนอดังกล่าวของฝรั่งเศส
ปี ค.ศ. 1948 โงดินห์เตียมได้เสนอให้ฝรั่งเศสยกฐานะเวียดนามขึ้นเป็นประเทศในเครือจักรภพ แต่ฝรั่งเศสไม่ยอมรับ แต่อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสก็พยายามที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดของตนด้วยการเชิญเบาไต๋ ขึ้นเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล แต่ก็ไม่เกิดผลดีแก่ฝรั่งเศสแต่อย่างใด เพราะฝ่ายชาตินิยมหมดความไว้วางใจในฝรั่งเศสเสียแล้ว นอกจากนี้พวกคอมมิวนิสต์เวียดมินห์ ได้ควบคุมความเคลื่อนไหวของพวกชาตินิยมโดยสิ้นเชิง และเบาไต๋ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมของประชาชน
การ มองข้ามความสำคัญของพลังความรู้สึกทางชาตินิยมของชาวเวียดนาม และการไม่แสวงหาสันติภาพด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นความผิดพลางขั้นแรกของฝรั่งเศส ตลอดจนไม่นึกถึงความสำคัญของความร่วมมือสนับสนุนจากประชาชน ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยให้ข้าศึกสามารถรวมตัวกันได้เป็นปึกแผ่นและรวดเร็ว ยิ่งขึ้น
สหรัฐอเมริกา ได้เริ่มเข้าช่วยฝรั่งเศสในการรบกับเวียดมินห์ เมื่อปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาได้เข้าไปพัวพันกับเวียดนามมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในด้านการทหาร เศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้นด้วย
สงครามการต่อสู้ และจุดสิ้นสุด
ความพยายามสุดท้ายของฝรั่งเศสที่จะเอาชนะกองกำลังกู้ชาติของเวียดนามเกิด ขึ้นที่ เมืองเดียนเบียนฟู ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ซึ่งหากฝรั่งเศสเอาชนะในการบครั้งนี้ได้ ก็จะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบได้
นายพล นาวาร์ แม่ทัพฝรั่งเศสได้รวบรวมกำลังพลถึง 22 กองพล พร้อมอาวุธหนักและเฮลิคอปเตอร์ติดปืนกล เข้าประจำฐานที่มั่นในเดียนเบียนฟู โดยอาวุธจำนวนมากได้รับการสนับสนุนมาจากรัฐบาลอเมริกันพันธมิตรของตน
ในเวลานั้นกองทัพกู้ชาติเวียดนามซึ่งได้รับความช่วยเหลือด้านอาวุธและเสบียงจากจีนคอมมิวนิสต์ ได้เคลื่อนกำลังเข้าโจมตีที่มั่นของฝรั่งเศส โดยกองกำลังผสมของเวียดนามและจีนได้ส่งทหารหน่วยปืนใหญ่ขึ้นไปบนเขา จากนั้นในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1954 การรบก็เริ่มขึ้น และดำเนินต่อเนื่องอย่างดุเดือดถึง 55 วัน จนถึงวันที่ 7 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1954 เดียนเบียนฟูก็แตก
ความพ่ายแพ้ที่เดียนเบียนฟู ทำให้ฝรั่งเศสสูญเสียอำนาจทางทหารในเวียดนามไปจนหมด ทางรัฐบาลฝรั่งเศสจึงยอมเปิดการเจรจากับโฮจิมินห์ที่กรุงเจนีวา ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1954
ในการประชุมที่เจนีวา มีตัวแทนเข้าร่วมประชุมจาก 9 ประเทศด้วยกัน คือ ฝ่ายเวียดนามเหนือ ลาว กัมพูชา จีน โซเวียต ฝรั่งเศส อังกฤษ อเมริกา และ ตัวแทนจากจักรพรรดิเบาได๋ของเวียดนามใต้ ทว่าในการประชุมครั้งแรกนั้น ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจาก นาย อัลแลน ดัลเลส ตัวแทนจากสหรัฐ ได้คัดค้านการที่จะให้เวียตนามได้รับเอกราชอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงทำให้การประชุมเกิดความยากลำบากขึ้น
ต่อมาในวันที่ 8 มิถุนายน ฝ่ายของโฮจิมินห์ได้ยื่นข้อเสนอที่ผ่อนปรนต่อที่ประชุม โดยทางเวียดนามเหนือ จะยอมให้เวียดนามแยกเป็นเหนือและใต้ในระยะชั่วคราว ทั้งๆ ที่ในเวลานั้น ฝ่ายเวียดนามเหนือสามารถครอบครองดินแดนได้ถึง 3 ใน 4 ของทั้งประเทศ ทั้งนี้เงื่อนไขผ่อนปรนดังกล่าวมีอยู่ว่า เวียดนามจะแบ่งเป็นสองส่วนโดยใช้เส้นขนานที่ 17 เป็นเส้นแบ่ง แต่ไม่ถือว่าการแบ่งครั้งนี้ เป็นการแยกประเทศอย่างถาวร จากนั้นภายในสองปีจะมีการกำหนดให้เลือกตั้งทั่วประเทศเพื่อความเป็นเอกภาพ ของเวียดนาม และภายในระยะเวลาก่อนการเลือกตั้งนั้น ทั้งเวียดนามเหนือและใต้จะต้องไม่เข้าเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศใดๆ หรือ ยอมรับความช่วยเหลือทางการทหารจากต่างประเทศ
ข้อเสนอดังกล่าวได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายที่เข้าร่วมประชุม ยกเว้น ฝ่ายของจักรพรรดิเบาได๋ และสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดี ทางสหรัฐได้ประกาศรับรองว่า จะไม่ทำการใดๆ ในอันที่จะทำลายข้อตกลงนี้
ทว่าเมื่อถึงวันที่ 20 กรกฏาคม ค.ศ. 1955 ซึ่งตามข้อตกลงเวนีวานั้น จะมีการเจรจากันเพื่อกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป และรวมเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้เข้าเป็นประเทศเดียวกัน ทว่า โงดินเดียมห์ นายกรัฐมนตรีของเวียดนามใต้ ได้ปฎิเสธการเจรจาโดยมีอเมริกาให้ การหนุนหลังอย่างออกหน้า จากนั้นในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้น โงดินเดียมห์ก็ขับไล่จักรพรรดิเบาได๋ออกนอกประเทศและตั้งตนเป็นประธานาธิบดี ของเวียดนามใต้ พร้อมกันนั้นก็เร่งสร้างกองทัพและสะสมอาวุธ โดยได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่จากสหรัฐอเมริกา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ชาวเวียดนามจำนวน มากในเวียดนามใต้ไม่พอใจและทำการคัดค้าน ทว่า โงดินเดียมห์ ได้ปราบปรามผู้ต่อต้านอย่างรุนแรง มีประชาชนถูกสังหารไปนับหมื่น ซึ่งทางเวียตนามเหนือก็ได้ประท้วงการกระทำของฝ่ายเวียดนามใต้อย่างแข็งขัน แต่ก็ไม่เป็นผล ดังนั้นประชาชนเวียดนามใต้จึงตั้งแนวร่วมปลดปล่อยประชาชาติเวียดนามขึ้นและ จัดตั้งกองทหารเพื่อป้องกันตัวเองจากอำนาจรัฐและดำเนินการต่อสู้กับรัฐบาล ของโงดินเดียมห์ ในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1960 ซึ่งฝ่ายตะวันตกเรียกแนวร่วมเหล่านี้ว่า
”เวียดกง” จากนั้น สงครามเวียดนาม ก็ระเบิดขึ้น โดยฝ่ายเวียดนามเหนือตัดสินใจใช้กำลังทหารทำสงครามเพื่อรวมประเทศเข้าด้วยกัน
ในปี ค.ศ. 1961 เนื่องจากทราบว่า เวียดนามเหนือซึ่งโน้มเอียงไปทางฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้รับความช่วยเหลือจากจีนและโซเวียต สหรัฐอเมริกาจึงได้เพิ่มความช่วยเหลือทางทหารให้กับเวียดนามใต้อีกหลายเท่า ทำให้การสู้รบในเวียดนามดุเดือดรุนแรงยิ่งขึ้น
ภายใต้การปกครองของโง ดินเดียมห์ การฉ้อราษฎรบังหลวงได้เป็นไปอย่างกว้างขวาง ทั้งยังมีตำรวจลับของรัฐบาลที่คอยคุกคามความปลอดภัยของประชาชน ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและทุกข์ยากจนไม่อาจทนได้ กาประท้วงอย่างรุนแรงขยายวงไปทั่ว มีผู้ประท้วงโดยการเผาตัวตายหลายต่อหลายคน
ขณะ เดียวกันทางสหรัฐเองก็เริ่มไม่พอใจในการปกครองของ โงดินเดียมห์ ที่นับวันจะไร้ประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลดีต่อการทำสงครามต่อต้านฝ่ายคอมมิวนิสต์ ดังนั้นในปี ค.ศ. 1963 ประธานาธิบดี จอห์น เอฟเคนเนดี้ ของสหรัฐจึงให้ฝ่ายทหารของเวียดนามใต้ทำการรัฐประหาร โค่นรัฐบาลโงดินเดียมห์ลง จากนั้นฝ่ายก่อการก็สังหารโงดินเดียมห์เสียในปีเดียวกัน
นับแต่นั้นมา อำนาจการปกครองเวียดนามใต้ ก็อยู่ในมือของคณะนายทหารภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐ พร้อมๆ กับสงครามทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยสหรัฐได้เพิ่มการช่วยเหลือทางทหารให้แก่เวียตนามใต้และส่งกองบินทิ้ง ระเบิดไปโจมตีเวียดนามเหนือและเขตยึดครองของฝ่ายเวียตกงในเวียดนามใต้ นอกจากนี้ สภาคองเกรสยังมีมติให้ส่งหน่วยนาวิกโยธินขึ้นบกที่เวียดนามใต้และเข้าร่วมรบ โดยตรง จนในที่สุดก็มีกองทหารสหรัฐทำการรบในเวียตนามมากถึง 540,000 คน
ระหว่างที่สงครามดำเนินไปนั้น กองกำลังของเวียดนามเหนือ และเวียดกงบางส่วนได้เข้าไปตั้งมั่นระหว่างพรมแดนเวียดนามกับกัมพูชาและลาว ทำให้สงครามขยายเขตเข้าไปในสองประเทศนี้ด้วย ซึ่งในช่วงปลาย
ของสงครามเวียดนาม กองบินทิ้งระเบิดสหรัฐได้ระดมทิ้งระเบิดในเขตภาคเหนือของลาวและบริเวณพรมแดน เวียดนามกับกัมพูชาอย่างหนัก เพื่อสกัดกั้นเส้นทางลำเลียงของฝ่ายคอมมิวนิสต์ แต่ก็ได้ผลสำเร็จไม่มากนัก
ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1968 กองทัพเวียดนามเหนือและกองกำลัง
เวียดกงได้ทำการรุกใหญ่ โดยเข้าโจมตีเมืองต่างๆ ทั่วเวียดนามใต้ รวมทั้งกรุงไซง่อนไปพร้อมๆ กัน ทว่าภายในไม่กี่สัปดาห์ กองทัพฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ถูกผลักดันให้ถอยกลับพร้อมกับสูญเสียกำลังพลไปเป็น จำนวนมหาศาล
อย่างไรก็ตาม แม้ฝ่ายเวียดนามเหนือ จะพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ทว่าการรุกใหญ่ในปี ค.ศ. 1968 ก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนของสงครามเนื่องจากฝ่ายสหรัฐเริ่มผลักภาระการทำสงคราม ให้กับกองทัพเวียดนามใต้
ใน ปี.ค.ศ. 1969 ประธานาธิบดี โฮจิมินห์ ผู้นำฝ่ายเวียดนามเหนือ ได้ถึงแก่อสัญกรรมและเมื่อถึง ปี ค.ศ.1973 กองทหารสหรัฐกลุ่มสุดท้ายก็ถอนกำลังออกจากเวียดนามใต้ ทว่าสงครามเวียดนามยังดำเนินต่อมาอีกสองปี
จนกระทั่งกองทัพเวียดนามเหนือและกองกำลังเวียดกงยกพลเข้ายึดกรุงไซง่อน เมืองหลวงของเวียดนามใต้ ได้ในเดือน เมษายน ปี ค.ศ. 1975 สงครามเวียดนาม ก็สิ้นสุดลง มีการเสียชีวิตเเละสร้างความเสียหายเป็นจํานวนมากเเละสร้างบาดแผลที่ไม่มีวันลืมให้กับผู้คนเวียดนาม
ภาพที่ท่านจะได้ชมต่อไปนี่อาจจะมีเนื้อหารุนแรงต้องกราบขออภัย 18+
เป็นภาพของสงครามเเละความเสียหายของผู้ที่ตกเหยื่อบริสุทธิ์และทหารที่สู้รบของผู้ที่เห็นแก่ตัวต้องการที่จะเป็นใหญ่เเละเเบ่งแยกแก่งแย่งอํานาจกันให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของตนเอง
ภาพการโยกย้ายศพทหารสหรัฐฯ ที่เสียชีวิตระหว่างสู้รบในป่าใกล้พรมแดนกัมพูชา โดยศพอยู่ระหว่างถูกดึงขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์ของสหรัฐฯ
ฮอร์ส ฟาส หัวหน้าช่างภาพของเอพีในช่วงสงครามเวียดนาม งานของเขาคือพยายามให้รูปได้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ทุกวัน และใช้รูปภาพสยบฝ่ายตรงข้าม
ความเลวร้ายของสงครามต่อผู้คนในพื้นที่
เป็นภาพของนายพลเหงียน หงอก โลน แห่งเวียดนามใต้ สังหารทหารเวียดกงด้วยปืนสั้นซึ่งจ่อติดศีรษะ
นิค อุท จับภาพ ฟาน ธิ คิม ฟุก เด็กหญิงวัย 9 ขวบ วิ่งหนีระเบิดนาปาล์มในสภาพเปลือย ภาพนี้กลายเป็นอีกภาพที่เป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งในสงครามเวียดนาม
ทหารสหรัฐฯ เสียชีวิตกว่า 60,000 คน และบาดเจ็บมากกว่า 3 แสนคน ส่วนชาวเวียดนามนั้น คาดว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 5 แสนคน และบาดเจ็บหลายล้านคน
พระภิกษุถิกกวางดึ๊กให้พระผู้เป็นศิษย์รูปหนึ่งเป็นผู้ราดน้ำมันเบ็นซิน ก่อนจุดไฟ เป็นการเผาตัวเองประท้วงการกดขี่ปราบปรามชาวพุทธ โดยรัฐบาลประธานาธิบดีโงดี่งเยียม
|
คุณพ่อชาวนาที่อยู่ในอาการตกตะลึง ไม่รู้จะทำอย่างไร อุ้มร่างไร้วิญญาณของลูกน้อย ที่ตกเป็นเหยื่อการทิ้งระเบิดของสหรัฐ ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้กับกรุงไซ่ง่อน เข้าไปขอความช่วยเหลือ จากทหารกองทัพรัฐบาลเวียดนามใต้ที่ผ่านไป
|
ทหารอเมริกันใช้เชือกล่ามศพ นักรบเวียดกงที่ถูกสังหารคนหนึ่ง ก่อนใช้รถลำเลียงพลลากไปตามทางเพื่อหาที่ทิ้ง
|
"หนูน้อยนาปาล์ม" คุณยายอุ้มหลานตัวน้อย ที่ลำตัวเต็มไปด้วยแผลไฟไหม้ จากระเบิดนาปาล์มที่สหรัฐทิ้งลงในเขตหมู่บ้าน เดินร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ผ่านไปมา
|
ทหารเวียดนามใต้คนหนึ่ง เตะเข้าที่ใบหน้านักรบเวียดกงที่ถูกจับเป็นเชลย ในขณะที่เพื่อนทหารอีกคนหนึ่งกำลังมัดมือ
|
คุณแม่ชาว จ.บี่งดิงที่อยู่ทางตอนเหนือของกรุงไซ่ง่อน พาลูกๆ ของเธอ 4 คนเสี่ยงชีวิตว่ายน้ำ ข้ามแม่น้ำสายหนึ่ง หนีการทิ้งระเบิดของฝ่ายสหรัฐ
|
พ.ท.ฮันล์ มัวร์ ผู้บังคับกองพันทหารม้า(อากาศ)ที่๗ กองพลทหารม้าที่๑ กองทัพบกสหรัฐอเมริกา
พ.ท.เหงียน ฮู อัน ผู้บังคับกองพันทหารราบภูเขาที่๓ กองพลทหารราบที่๓ส่วนหน้า กองทัพบกเวียดนามเหนือ
พล.ต.ฮันล์ มัวร์ ในวันนี้กลับมาเยี่ยมลาตรังเพื่อระลึกถึงความหลัง ส่วนนายทหารเวียดนามในภาพนี้ทั้งหมดคือ นายทหารและประทวนของกองทัพเวียดนามเหนือที่รบอยู่ในสมรภูมิลาตรังกับอเมริกาในครั้งก่อนนั่นเอง ส่วนตัว พ.ท.เหงียน ฮู อัน นั้น เสียชีวิตไปแล้วเมื่อปี ๑๙๘๖
ขอ สดุดีแด่ทหาร หาญกล้าผู้สละชีพและผู้ได้ รับบาดเจ็บ จากสงคราม เพื่อ ปกป้องชาติศาสนา พระมหากัษัตริย์ เพื่อ มิให้ ทฤษดี โดมิโน่ รุกมาถึงแผ่นดินไทย
ทหารไทยในค่ายฝึก ก่อนไปเวียดนาม
รวมตัวก่อนออกเดิน ทางไปเวียดนาม
ขึ้นเครื่อง C 130 ของ GI
ญาติ ของ ทหารกล้ามาอำลา ก่อนออกเดินทาง
เมื่อเครื่อง C130 ถึง เวียดนาม
ได้เวลา ออกศึก ของเหล่าทหารกล้า
เวียดกงยอมแพ้
ทหารหาญ กล้า ขอสดุดีแดทหารกล้าทุกท่าน
จะเห็นได้ว่า แต่ละภาพนั้นต่างก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ในช่วงสงครามได้เป็นอย่างดี ทั้งยังบ่งบอกอีกด้วยว่า สงครามนั้นเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความเดือดร้อน ปัญหา และความสูญเสียทุกอย่าง
ขอบคุณข้อมูลเเละรูปภาพจาก http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1430400617
http://www.clipmass.com
http://atcloud.com/stories/46884
https://www.youtube.com/watch?v=Ev2dEqrN4i0#t=38
http://www.dek-d.com/board/view/2638420/
http://www.komkid.com/
















